สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 122 อืม ฉันฉีกสัญญาแล้ว
บทที่ 122 อืม ฉันฉีกสัญญาแล้ว
เธอหยิบสายโทรศัพท์เข้ามาอย่างโมโห พูดแบบกลัดกลุ้ม “เรื่องอะไร?”
“อารมณ์ไม่ดีเหรอ?”
ในสายนั้น เสียงทุ้มต่ำเซ็กซี่ของชายหนุ่มลอยมา
อารมณ์ไม่ดีไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ
เย้นหว่านตอบกลับเสียงหน่วงๆ “ไม่มี”
เงียบเสียงไปสองวินาที โห้หลีเฉินก็พูดอีกครั้ง “มาที่ห้องทำงานสักหน่อย”
“มีธุระอะไรก็คุยในโทรศัพท์เถอะ”
เย้นหว่านปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด ตอนนี้เธอเพียงแค่อยากขีดความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจนหน่อย เจอกับเรื่องคุณนายท่านประธานในอนาคตกระตุ้นมาอีกครั้ง อธิบายอย่างไรคงไม่กระจ่าง
โห้หลีเฉินน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ใช่เรื่องที่ใช้คำพูด”
เย้นหว่านสำลัก หมดคำจะพูดแล้ว
ช่วงนี้เธอพบว่าโห้หลีเฉินคนนี้ไม่เพียงจู้จี้ เรื่องไร้สาระนับวันก็ยิ่งมาก
ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ เธอจึงได้แต่ไปที่ห้องทำงานท่านประธาน
บางทีเป็นเพราะคำพูดของลั่วอาน ตอนนี้เธอถึงรู้สึกว่าสายตาเหล่าเพื่อนร่วมงานที่มองเธอแปลกๆ มีสังเกตอย่างเคารพ และอิจฉา ทั้งยังมีริษยาด้วย
อย่างไรเสียต่างก็ไม่คิดว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมงานธรรมดา
ขมับเย้นหว่านปวดนิดหน่อย
“ก๊อกๆๆ”
ถึงหน้าประตูห้องทำงาน เย้นหว่านเคาะประตูตามธรรมเนียม จากนั้นถึงเดินเข้าไป
โห้หลีเฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เงยหน้ามองเธอ “ต่อไปเธอเข้ามาได้เลย ไม่ต้องเคาะประตูก็ได้”
กลับไปกลับมาหลายครั้งขนาดนั้น จะเคาะจนเจ็บมือเอาได้ง่ายๆ
วิธีปฏิบัติพิเศษมากไป อาจเคยชินได้ง่าย เย้นหว่านรีบพูดปฏิเสธ
“ควรมีมารยาทค่ะ ยังไงก็ต้องเคาะ”
ความหมายภายใต้คำพูดนั้น พวกเขายังต้องรักษาความสัมพันธ์แบบสุภาพเอาไว้ อย่าสนิมกันเกินไป
โห้หลีเฉินไม่สนใจสักนิด กวักมือทางเธอ
“เข้ามา”
“จะทำอะไรคะ?”
เย้นหว่านยืนไม่ขยับ
โห้หลีเฉินถึงชี้ไปที่เอกสารตรงหน้าของตนเอง “พลิกหน้าให้ฉัน”
พลิกกระดาษอีกแล้ว คิดถึงอันตรายตอนนั่งอยู่บนตักของโห้หลีเฉินจนเกือบเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เย้นหว่านยิ่งอับอายหน้าแดงแล้ว ไม่สบายไปทั่วตัว
“คุณสามารถให้เว่ยชีพลิกให้คุณได้”
โห้หลีเฉินเงยหน้ามองเธอ “เขาขี้เหร่เกินไป”
เว่ยชีที่อยู่นอกประตูหดมุมปาก เขาอยู่เฉยๆ ก็ยังโดนพาดพิง
เย้นหว่านคิดแล้ว จึงพูดอีกครั้ง “ด้านนอกคุณมีเลขาสวยๆ ตั้งหลายคน เลือกได้ตามชอบใจสักคนก็ได้หนิ พวกหล่อนเป็นมืออาชีพกันทั้งนั้น”
ดวงตาโห้หลีเฉินหรี่ลง มองเย้นหว่านอย่างตรงไปตรงมา ล้ำลึกราวกับไฟ
“แต่ฉันมองเห็นแค่เธอที่ถูกชะตา”
หัวใจเย้นหว่านเต้นแรงสักหน่อย เขาอย่าพูดจาให้มีเลศนัยขนาดนี้ได้มั้ย?
เธอหน้าแดง ว้าวุ่นใจไม่กล้ามองเขา
“คุณ คุณโห้ ฉันยังมีงานต้องทำจริงๆ งานพลิกกระดาษง่ายๆ แบบนี้ คุณก็หาคนอื่นมาทำเอาสิ”
“เย้นหว่าน เธอเหมือนจะลืมไปนะ มือข้างนี้ฉัน เพื่อใครแล้ว……”
โห้หลีเฉินยกมือของตนเองที่พันแผลจนกลายเป็นบ๊ะจ่างขึ้นแกว่ง สายตาที่มองเย้นหว่านราวกับมองคนเนรคุณ
จิตใจดีงามของเย้นหว่านโดนแฉอย่างรุนแรง
เธอยุ่งยากใจพักหนึ่ง มองไปรอบๆ ห้องทำงานที่กว้างใหญ่แล้ว จากนั้นยกเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้าไปวางด้านข้างของโห้หลีเฉิน
โห้หลีเฉินมองเธอ ดวงตาหรี่ๆ “เธอไม่ต้องลำบากขนาดนี้”
“ไม่เป็นไร แบบนี้ก็สะดวกดี”
เย้นหว่านดึงริมฝีปากยิ้ม เธอไม่อยากนั่งบนตักของเขาอีก
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปาก ผิดหวังไปนิดๆ ดูแล้วลูกไม้อย่างเดียวกัน ใช้ครั้งที่สองยังไม่ได้ผลขนาดนั้น
เย้นหว่านเหมือนนักเรียนประถมที่นั่งอยู่ข้างกายโห้หลีเฉิน นั่งตัวตรง พลิกหน้ากระดาษให้โห้หลีเฉินอย่างจริงจัง ให้ความร่วมมืออย่างสอดคล้องกัน
จังหวะการทำงานถือว่าราบรื่น
“ก๊อกๆๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยพนักงานฝ่ายบริหารชั้นสูงสองสามคนเดินเข้ามากัน
เย้นหว่านรีบหยุดการกระทำในมือลง อยากลุกขึ้นยืน โห้หลีเฉินกลับจับมือของเธอเอาไว้ ลากเธอนั่งลงไปบนที่นั่ง
เย้นหว่านสายตาประกายวิบวับ เขินอายอยู่บ้าง
“คุณโห้ ถ้าฉันนั่งอยู่ที่นี่ หากโดนคนเห็นเข้าคงไม่ค่อยดี จะเข้าใจผิดเอาได้”
ความสัมพันธ์ของพวกเขาคลุมเครือพอแล้ว หากเป็นแบบนี้อีก ยิ่งจะเติมน้ำมันให้ไฟอย่างไม่ต้องสงสัย
น้ำเสียงโห้หลีเฉินทุ้มต่ำ กำกวมปลุกปั่น “ฉันไม่ถือสา”
แต่เธอถือสาไง
เย้นหว่านหงุดหงิดอยากเถียงต่อสักหน่อย แต่พอเงยหน้ากลับเห็นพนักงานฝ่ายบริหารระดับสูงสองสามคนมองเธอกับโห้หลีเฉินตาค้างขนาดนั้น ในดวงตาแต่ละคู่นั้นล้วนสังเกตอย่างหลักแหลม
จากท่าทีคลุมเครือของโห้หลีเฉินที่คุยกับเธอต่อไปอีก ความสัมพันธ์นี้ของเธอกับโห้หลีเฉิน กลัวว่าตอนนี้จะถูกยืนยันแล้ว
เย้นหว่านหลับตาอย่างทุกข์ใจ พยายามกดความรู้สึกการมีตัวตนของตัวเองให้เล็กลง นั่งอยู่นิ่งๆ สามารถรักษาระยะห่างนิดหน่อยขนาดนั้นกับโห้หลีเฉิน
โห้หลีเฉินไม่ได้รู้สึกตัวสักนิด ร่างสูงใหญ่เข้ามาใกล้ทางเย้นหว่านแบบตามอำเภอใจเหลือเกิน ไหล่ของทั้งสองเกือบโดนกันเข้า
ยิ่งมือของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะจับมือน้อยของเธอไว้ทันที กุมเล่นอยู่ในฝ่ามือ
ชั่วขณะนั้นเย้นหว่านหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยปากเบาๆ “คุณโห้ คนอื่นคุยกับคุณอยู่นะ” มีสมาธิหน่อยได้หรือไม่ ปล่อยมือเธอออกก่อนไหม?
“อืม”
โห้หลีเฉินตอบรับเธออย่างเป็นธรรมชาติมาก ทว่ายังคงจับมือของเธอบีบเล่น
ราวกับมือของเธอเป็นของเล่นชิ้นน้อย บีบฝ่ามือของเธอไม่หยุด เล่นนิ้วของเธอต่อไปอีก ทั้งยังอยากหักเล็บ
เย้นหว่านทั้งโมโหทั้งผวา ด้านหน้าฝ่ายบริหารระดับสูงสองสามคนนี้ล้วนเป็นคนฉลาด จะมองเรื่องที่เธอกับโห้หลีเฉินกำลังทำออกหรือไม่?
เมื่อสะบัดโห้หลีเฉินไม่ออก เย้นหว่านจึงได้แต่นั่งตรงดิ่ง พยายามรักษาท่าทางที่จริงจัง
พนักงานฝ่ายบริหารสองสมคนนี้รายงานไปด้วย พินิจพิเคราะห์ในใจไปด้วย เหมือนแน่ใจในความสงสัย ความสัมพันธ์ของท่านประธานกับเย้นหว่านคลุมเครือไม่กระจ่างจริงๆ เหมือนความสัมพันธ์คู่รัก
ต่างก็รู้กันว่าตำแหน่งข้างกายท่านประธานนั้น หลายปีมาขนาดนี้ไม่มีใครมีความกล้า หรือมีสิทธิ์เคยไปนั่งเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหรือว่าพวกเขาดูไม่ออกกันหรือ? ถึงแม้พวกเขาจะกำลังรายงาน แต่ว่าความคิดของท่านประธานเหมือนจะอยู่ที่ตัวของเย้นหว่าน ต่างก็ขอไปทีกับพวกเขา
นี่ชัดเจนแล้วว่าเป็นอาการของคนที่รักอย่างหลงใหล
ดูแล้วในที่สุดบริษัทจะได้ต้อนรับคุณนายท่านประธานที่สูงส่งเสียแล้ว……
เย้นหว่านนั่งนิ่งมาตลอด ไม่ง่ายที่จะรอให้พนักงานระดับสูงสองสามคนนี้รายงานกันเสร็จ กระทั่งออกไป เธอถึงเหมือนโล่งอกไปทีหนึ่ง หมดแรงลงทั้งตัวฉับพลัน
ทำเอาเธอเหนื่อยแทบตาย
โห้หลีเฉินมองเธอเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ไม่ช้าหรือเร็วคนที่บริษัทก็ต้องรู้สถานะของเธอ คู่หมั้นไง”
“พวกเราไม่ใช่จะถอนหมั้นกันเหรอ?”
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินอย่างประหม่า เตือนสติเขาเรื่องนี้ไปอย่างเคร่งขรึม
โห้หลีเฉินสายตามืดมน น้ำเสียงแน่วแน่ “ไม่ถอนแล้ว”
เย้นหว่านตกใจ เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นคนเอาเรื่องทำลายสัญญามาพูดอย่างมีเหตุผลพูดได้เต็มปากเต็มคำขนาดนี้
เธอลุกขึ้นยืน มองเขาอย่างจริงจัง
“คุณโห้ พวกเราตกลงกันแล้วว่าเป็นเพียงการหมั้นปลอมๆ เท่านั้น คุณไม่สามารถกลับคำแบบนี้ได้ หรือมาฉีกสัญญาตามอำเภอใจ”
“อืม ฉันฉีกสัญญาแล้ว”
โห้หลีเฉินจ้องมองเย้นหว่าน น้ำเสียงจริงจังเป็นปกติ “เป็นการชดใช้ ฉันเป็นของเธอแล้ว”
เย้นหว่านสำลักค้าง หัวใจเต้นรัวฉับพลัน
คุณโห้นี่กำลังตลบตะแลงเหรอ?
โห้หลีเฉินลุกขึ้นยืน ร่างสูงใหญ่เหมือนภูเขาลูกหนึ่งตั้งตระหง่านตรงหน้าเย้นหว่าน ทำให้เธอโดนปกคลุมอยู่ภายใต้เงาของเขา
เขาเข้ามาใกล้เธอ สายตาที่ล้ำลึกหมุนเวียนด้วยความลึกซึ้ง
“เย้นหว่าน ฉันจะแต่งงานกับเธอ”
งานหมั้นจอมปลอมฉากหนึ่ง สุดท้ายกลับกลายเป็นการแต่งงานที่จริงใจแล้ว