สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1235 ถังจุ้ย
เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากท่านอาวุโสแปด แผนการช่วยคนก็ต้องชะลอไปก่อน
พวกเขาปรึกษากัน สำหรับหยูฉู่สองกับตระกูลหยูแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือขุมทรัพย์ หากขุมทรัพย์ทั้งหมดนั้นเสียหายไป ย่อมทำให้ตระกูลหยูนั้นเกิดความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้ง หยูฉู่สองยังได้รับความคุ้มครองอย่างนานหนา ระยะเวลานี้จึงไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ ทว่าพวกเขาน่าจะนึกไม่ถึงว่า เย้นหว่านจะจับตาดูขุมทรัพย์นั้นอย่างไม่กะพริบตา
ถึงตอนนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับขุมทรัพย์ ตระกูลหยูจะต้องวุ่นวายอย่างแน่นอน
เมื่อเย้นหว่านกับท่านอาวุโสแปดพูดคุยรายละเอียดกันเรียบร้อย และส่งข่าวคราวให้กับหัวหน้าคนงานแล้ว พวกเขาก็ออกจากเหมืองไปอย่างเงียบๆ
แผนการของเย้นหว่านก็คือ จะลักลอบเข้าไปก่อน เพื่อระเบิดปากทางเข้าขุมทรัพย์ เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมากมาช่วยกันขนย้ายก้อนหิน เพื่อเปิดปากทางอีกครั้ง
ซึ่งคนงานจำนวนมากขนาดนี้ จะต้องเป็นคนที่ไม่แพร่งพรายความลับเรื่องขุมทรัพย์
สำหรับคนงานเหล่านี้ ท่านอาวุโสแปดจะเป็นคนคัดเลือกก่อน
พวกเขารู้ตำแหน่งและการมีอยู่ของขุมทรัพย์มาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นถูกกักขังและควบคุมเสมือนนักโทษ ซึ่งไม่มีทางรู้ความลับหรือแพร่งพรายความลับนี้ได้
ถึงเวลานั้น หยูฉู่สองจะให้พวกท่านอาวุโสแปดมาซ่อมทางเข้าขุมทรัพย์ ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสดีของพวกเขา
เพียงแต่ว่า ขุมทรัพย์มีความสำคัญต่อตระกูลหยูเป็นอย่างมาก และด้านในคฤหาสน์ของตระกูลหยูจึงมีการป้องกันอย่างแน่นหนา
หากคิดจะดำเนินการอย่างเงียบๆและระเบิดทางเข้าขุมทรัพย์ ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
โชคดีที่ตอนแรกเย้นหว่านไปอาบน้ำแร่กับโห้หลีเฉิน ทำให้พวกเขาเคยเข้าไปในขุมทรัพย์อยู่หลายครั้ง จึงพบช่องระบายอากาศที่ซ่อนอยู่ระหว่างทาง
หากพบตำแหน่งของช่องระบายอากาศและค่อยๆเจาะเข้าไป ก็มีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จ
เรื่องนี้มอบหมายให้กลุ่มเย้นเมิ่งไปทำ
พวกเขาคือบุคคลอัจฉริยะที่ตระกูลเย้นปั้นขึ้นมา แทบจะไม่มีอะไรที่พวกเขาทำไม่ได้ อีกทั้งยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ช่วงเวลานี้ เย้นหว่านรอข่าวคราวจากพวกเขาอยู่ในป่าแถบชานเมือง
การรอคอยนับว่าปลอดภัยดี ทว่าสำหรับเย้นหว่านในตอนนี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเธอ
เธอนอนอยู่ด้านในเต็นท์ พลางมองไปยังหลังคาเต็นท์ที่มืดมิด ในใจรู้สึกราวกับว่า เธอกำลังกดก้อนหินก้อนใหญ่ จนเธอเองรู้สึกหายใจลำบาก
อีกทั้งเธอก็ยังรู้สึกปวดหัวเข่าและข้อศอกอยู่บ้าง เด็กหนุ่มบอกไว้ว่า ผลข้างเคียงของการทำอะไรที่รวดเร็วนั้น จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งทุกคนก็แตกต่างกันไป
ก่อนหน้านี้เย้นหว่านไม่รู้สึกปวดข้อศอก แต่หลายวันมานี้ เธอก็เริ่มรู้สึกปวดขึ้นมาแล้ว
เธอมาคิดๆดูแล้ว นี่อาจเป็นผลข้างเคียงที่เริ่มปรากฏให้เห็น
ต่อจากนี้ไป ก็ไม่รู้ว่าพบเจอกับอะไรอีก……
เธอนวดคลึงข้อศอก ในใจของเธอนิ่งสงบ ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือ การโค่นล้มตระกูลหยู เพื่อช่วยโห้หลีเฉินและคนอื่นๆออกมา
สิ่งอื่นที่ทุ่มเทไป ทำไมถึงไม่มีค่าพอที่จะกล่าวถึงล่ะ?
เพียงแต่ค่ำคืนนี้ เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงว่า ตอนนี้โห้หลีเฉินเป็นอย่างไรบ้าง เย้นโม่หลินและป่ายฉีจะเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขายังมีชีวิตอยู่ไหม?
การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งทะเลทรายที่ยุบลงมาแบบกะทันหัน ทำให้โห้หลีเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส โอกาสรอดของเขามีน้อยและน่าสงสารมาก……
ยิ่งคิดยิ่งท้อแท้ใจ ยิ่งคิดยิ่งหมดหวัง ยิ่งคิดยิ่งถูกความมืดกลืนกิน ราวกับว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในขุมนรก
เย้นหว่านแข็งใจสู้ เพราะเธอถูกกลืนกินและรู้สึกพังทลายด้วยความมืดมน
เธอลุกขึ้นนั่งในทันที
เธอใช้หลังมือเช็ดน้ำตา พลางกัดฟันกรอด “เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น โห้หลีเฉิน ฉันจะไปพบคุณที่ปรโลก”
“อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้ฉันแต่งงานกับคุณแล้ว ดังนั้นก็อย่าคิดที่จะสลัดฉันทิ้งเด็ดขาด”
เธอโอบกอดความคิดที่จะไม่ยอมแยกจากเขาด้วยจิตใจที่แน่วแน่ ในใจของเย้นหว่านจึงกลับมาหายใจได้อย่างโล่งคอ
เธอไม่อยากให้ค่ำคืนแห่งความมืดมาสร้างความทรมานให้กับเธอ และเธอเองก็ไม่อยากคิดไปเรื่อยเปื่อย เธอจึงลุกขึ้นมาและเดินออกไปนอกเต็นท์ด้วยความคิดที่อยากจะออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลาย
ทว่า เธอก็เห็นว่าเด็กหนุ่มยังไม่ได้นอน และกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าในมุมสี่สิบห้าองศา
ท่าทางเขาดูเหมือน เขาจะรู้สึกเจ็บปวดที่เป็นไปตามวัยของเขา
เย้นหว่านเดินไปหาเขา “อกหักมาเหรอ?”
เด็กหนุ่มดึงสติกลับมา สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ “ผมไม่มีแฟน”
“แล้วนายคิดอะไรอยู่เหรอ?”
“ไม่ได้คิดอะไรครับ”
คำพูดของเด็กหนุ่มช่างดูเย็นชา อีกทั้งยังเป็นคนพูดตัดบทเอง จนทำให้คนอื่นไม่อยากจะชวนเขาคุยต่อ
ทว่า เย้นหว่านก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ตอนนี้เธอรู้สึกสงบมาก เธอเดินไปนั่งข้างๆเด็กหนุ่ม จากนั้นก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าเป็นเพื่อนเขา
เมืองเฟยเป็นเมืองที่เจริญมาก แต่มีปัญหามลภาวะที่ค่อนข้างรุนแรง ถึงแม้จะอยู่ในชานเมือง ทว่าท้องฟ้าก็ดำทะมึน มองไม่เห็นดวงดาวสักดวง
ท้องฟ้าในยามราตรีเช่นนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งหดหู่ใจ
เย้นหว่านรู้สึกไม่ปลื้มเอาเสียเลย เธอจึงก้มหน้ามองเด็กหนุ่ม
เธอชวนคุย เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัด “นายชื่ออะไร?”
เด็กหนุ่มเงียบ
เย้นหว่านถามต่อ: “เป็นความลับเหรอ?” เธอไม่อยากเงียบแบบนี้ต่อไป เธออยากหาเรื่องชวนคุย เพื่อที่เธอจะได้ไม่คิดมาก
เด็กหนุ่มตอบ: “ผมไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร คนในองค์กรต่างก็เรียกผมว่า หมายเลข 73 ”
“นายตามหาน้องสาวเจอแล้วไม่ใช่เหรอ หรือหล่อนไม่รู้เรื่องนี้?”
เด็กหนุ่ม: “หลังจากที่ผมหลงทาง ผมก็กลายเป็นความเจ็บปวดภายในใจของแม่ เมื่อมีคนพูดถึงผม แม่ก็จะเสียใจ ดังนั้นทุกคนจึงไม่เอ่ยถึงผม และแม้น้องสาวจะรู้ว่าตัวเองยังมีพี่ชาย แต่เธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวของผมสักเท่าไหร่ และไม่รู้จักชื่อของผม หลังจากที่แม่ผมเสียไปแล้ว บนโลกนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมชื่ออะไร”
น้ำเสียงของเขานิ่งเฉย ราวกับถูกลมราตรีพัดปลิวไป
น้ำเสียงที่เศร้าสลด กลับสร้างความประทับใจให้กับเธอ
อยู่มาทั้งชีวิต ตามหาคนในครอบครัวเจอแล้ว แต่ชื่อตัวเองกลับตามกลับมาไม่ได้
ในโลกใบนี้ ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบาก
เย้นหว่านเอ่ยปาก “น้องสาวนายแซ่ถัง นายก็แซ่ถัง”
“ชื่อถังอานล่ะ เป็นไง?”
เด็กหนุ่มงงงวย “อะไรนะ?”
” ตั้งชื่อนายว่าถังอานดีไหม? นายคงจะไม่ได้เป็นคนนิรนามที่เรียกว่า หมายเลข 73ตลอดไปใช่ไหม? ถังอาน แปลว่าปลอดภัยและอยู่เย็นเป็นสุข”
สีหน้าของเด็กหนุ่มขยับเล็กน้อย “ความหมายโดยนัยก็ดีอยู่หรอก แต่ว่าผม……ไม่คู่ควรกับชื่อนี้”
เขามองดูนิ้วมือที่เรียวยาวของตัวเอง มือคู่ที่ไม่รู้ว่าแปดเปื้อนกรรมชั่วไปมากขนาดไหน
“หลายปีมานี้ ผมทำเรื่องไม่ดีมามากมาย ผมทำให้หลายครอบครัวแตกหักกันจนนับไม่ถ้วน คนอย่างผมไม่คู่ควรกับอนาคตที่สุขสบายและสงบสุขหรอกครับ”
เย้นหว่านถอนหายใจ “รู้ข้อผิดพลาดของตัวเองก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ อีกทั้งเมื่อก่อนนายก็ถูกบังคับให้ทำอย่างจำใจ……”
“ถึงอย่างไร นับแต่นี้ไปผมก็ยังต้องชดใช้ความผิด”
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็ค่อยๆพูดสองคำนี้ออกมา”ถังจุ้ย จากนี้ไป ชื่อนี้จะเป็นชื่อของผม”(จุ้ยแปลว่าความผิด)
จะมีใครที่ไหนใช้คำว่า ความผิด มาตั้งเป็นชื่อตัวเอง?
เย้นหว่านมองเด็กหนุ่ม ทว่าเธอกลับไม่สามารถโต้แย้งเขาได้ เพราะเธอเข้าใจดีทั้งอารมณ์และความคิดของเขา
ถังจุ้ย ถังจุ้ย
การตั้งชื่อนี้ เพื่อเตือนตัวเองถึงบาปกรรมที่เขาต้องชดใช้ไปตลอดชีวิต
ที่จริงแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้มีจิตใจที่ไร้เดียงสา
“โอเค ต่อไปฉันจะเรียกนายว่า ถังจุ้ย”
เด็กหนุ่มจ้องไปที่ท้องฟ้าอย่างไม่ละสายตา ดวงตาของเขานิ่งเงียบราวกับทะเล
มีเสียงกวัดแกว่งจากกิ่งไม้ที่ดูบางตา
ไม่นาน เย้นเมิ่งก็เดินออกมาจากป่า “คุณหนูครับ พวกเราเจอทางเข้าระบายอากาศนั่นแล้ว”
นี่คือข่าวดีที่สุดที่เย้นหว่านได้ยินในวันนี้
“ไป ไประเบิดขุมทรัพย์!”
เย้นเมิ่งสองจิตสองใจ “คุณหนู ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน คุณหนูจะนอนสักตื่นแล้วค่อยไปก็ไม่สายนะครับ”
“ค่ำคืนที่ดึกดื่น ผู้คนเงียบสงบ เหมาะที่จะฆ่าคนและจุดระเบิดไม่ใช่หรือไง?”
เย้นหว่านยกมุมปาก แววตาดูคลุมเครือเสมือนอาวุธที่แหลมคม