สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 131 คุณโห้ คุณกำลังมีความรัก?
บทที่ 131 คุณโห้ คุณกำลังมีความรัก?
น้ำเสียงไม่พอใจนัก “เว่ยชี อาหารเช้าล่ะ?”
ในสายนั้น เว่ยชีมึนงง รีบตอบทันที “ตอนเช้าที่ผมไปส่งอาหารเช้า เจอคุณเย้นซินกำลังทำอาหารเช้าอยู่ หล่อนบอกว่าหล่อนจะทำเอง ให้ผมออกไปแล้วครับ”
“หล่อนให้นายไป นายก็ไปแล้ว?”
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินยิ่งดูไม่ดียิ่งขึ้น รัดคนเอาไว้แน่นอย่างเย็นเฉียบ “แยกไม่ออกว่าใครเป็นเจ้านายของนาย นายอยากไสหัวออกไปเหรอ?”
“เจ้านายครับ ผมผิดไปแล้ว”
เว่ยชียอมรับผิดทันใด และนอบน้อมจริงใจอย่างมาก
โห้หลีเฉินยังคงน้ำเสียงเย็นยะเยือก “จำเอาไว้ให้ดีในชีวิตของฉัน นอกจากเย้นหว่านแล้ว ใครก็ไม่ยกเว้นทั้งนั้น”
“ครับ จำไว้แล้วครับ เจ้านาย”
“เข้ามาส่งอาหารเช้าใหม่อีกรอบ”
โห้หลีเฉินวางสายโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเย็นชา
เย้นหว่านยืนอยู่ด้านข้าง มองเขาด้วยความตะลึง
คำพูดประโยคนั้นของเขาเมื่อสักครู่ เธอฟังชัดเจนดี ‘นอกจากเย้นหว่านแล้ว ใครก็ไม่ยกเว้นทั้งนั้น’ ดังนั้นกล่าวได้ว่าเขาให้ท้ายทุกอย่างสำหรับเธอทั้งนั้น?
อยู่กับเขาทางนี้ เธอมีตัวตนที่พิเศษมาโดยตลอด?
ดังนั้นถึงจะไปกินอาหารข้างทางเป็นเพื่อนเธอ กินบะหมี่รสแย่ที่เธอทำ ให้เธอใช้ห้องครัวในบ้านเขา……
หัวใจของเย้นหว่านเต้นแรงขึ้นฉับพลัน ราวกับถูกไฟช็อต
เธอที่เดิมที่มีคำสาบานอันเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ ตอนนี้กลับไม่ค่อยเข้าใจนัก สรุปแล้วโห้หลีเฉินมีความคิดอะไรต่อเธอกันแน่
ไม่นานเว่ยชีก็ส่งอาหารเช้าเข้ามาอีกครั้ง จมอยู่กับท่าทีที่ทำเรื่องผิดมาตลอด แถมยังเจอกับสายตาเย็นชาของโห้หลีเฉินอีก
เขากดดันมาก อารมณ์ย่ำแย่มาก
เย้นซินพูดขึ้นก่อน “ฉันช่วยนายจัดเอง”
ขณะพูด หล่อนอยากไปหยิบจานในกล่อง กลับโดนเว่ยชีหลบออกห่างอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ท่าทีของเว่ยชียืนหยัดมาก ยังมีความไม่พอใจต่อเย้นซินอยู่ด้วย
“ไม่ต้องครับ ผมทำเองก็พอ เจ้านายไม่ชอบให้ของกินของเขาถูกคนนอกจับ”
เป็นคนนอกอีกแล้ว
โห้หลีเฉินเคยพูด ตอนนี้ผู้ช่วยของเขาก็พูดเช่นกัน
เย้นซินกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆ ไฟไหม้แก้มอย่างร้อนแรง ในหน้าอกยังมีไฟโกรธลุกโชน แค้นเคือง
เว่ยชีไม่สนใจหล่อน จัดวางชามตะเกียบไว้เรียบร้อยด้วยความเร็วมาก จากนั้นจากไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้ความกดดันของโห้หลีเฉิน
ประสบกับเรื่องราวในวันนี้ เขาถือว่าเข้าถึงที่สุดแล้ว อยู่กับโห้หลีเฉินทางนี้ คนพิเศษเพียงหนึ่งเดียวคือเย้นหว่าน
ต่อไป เขาเพียงต้องเอาใจใส่เย้นหว่านให้ดีก็พอ
เย้นหว่านเห็นเย้นซินสีหน้าไม่ดี สัมผัสได้ถึงอารมณ์ในตอนนี้ของหล่อน ถอนหายใจทีหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้เท่าไร
นิสัยของโห้หลีเฉิน จริงๆ แล้วไม่ง่ายที่จะสานสัมพันธ์ขนาดนั้น
ทำให้เขาไม่ดีใจ เธอยั่วโมโหเลยต้องอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
แต่โดยเฉพาะเป็นน้องสาวของตนเอง เย้นหว่านจึงได้แต่ยิ้มบอกไป “มา กินข้าวกัน”
เย้นซินนั่งลง เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดี ความอยากอาหารต่ำมาก ทานไปแค่ไม่กี่คำเอง
มีคนนอกอยู่ด้วย ความอยากอาหารของโห้หลีเฉินก็ไม่ดีเช่นกัน ทานไม่ไม่เท่าไรก็วางตะเกียบลง
มีเพียงเย้นหว่านที่ทานเยอะหน่อย แต่พวกเขาสองคนกลับไม่ทานแล้ว เธอเกรงใจที่ตนเองทานมากเกินไป
ดังนั้นอาหารเช้ามื้อหนึ่ง ไม่นานม่านผืนใหญ่ก็ปิดฉากลง
ตั้งแต่แรกจนจบโห้หลีเฉินไม่ได้มองเย้นซินสักแวบเดียว เพิกเฉยหล่อนอย่างถึงขั้นสุด
เขาลุกขึ้นมา พูดกับเย้นหว่าน “ฉันจะไปห้องหนังสือ เอากาแฟไปให้ฉันแก้วหนึ่ง”
“ได้”
เย้นหว่านตอบอย่างสบายใจ
เย้นซินถูกกระทำเหมือนคนไม่มีตัวตน นั่งอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายห่อเหี่ยว
หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง หล่อนมองเย้นหว่านยกกาแฟจะขึ้นไปข้างบน ทันใดนั้นจึงพูดว่า
“พี่ พี่เขยไม่ชอบฉันรึเปล่า?”
เสียงของหล่อนสะอึกสะอื้นไม่ได้รับความเป็นธรรม ราวกับจะร้องไห้ออกมา
สถานการณ์แบบนี้ เดิมทีเย้นหว่านควรปลอบใจหล่อนว่าไม่มีเรื่องแบบนี้ แต่ว่าคำพูดจ่อที่ปากนั้น พอมองท่าทางน่าสารเหลือทนของเย้นซิน เธอกลับพูดไม่ออกแล้ว
ไม่รู้ทำไมถึงมักจะรู้สึกว่าคำว่าชอบที่เย้นซินพูด ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
เย้นหว่านเม้มริมฝีปาก แล้วพูดว่า “โห้หลีเฉินก็นิสัยเป็นแบบนี้ ไม่สนิทสนมกับใครทั้งนั้น เธออย่าคิดมาก เธออยู่ที่นี่ ยุ่งกับเขาให้น้อยดีที่สุดจะดีกว่า อยู่กับฉันก็พอ”
อย่างแรกนิสัยของโห้หลีเฉินไม่ค่อยดีจริงๆ ไม่ค่อยมีเยื่อใยต่อคนนอก เย้นซินที่หาเรื่องเข้าไปมีแต่จะรนหาที่ตายเอง
อย่างที่สองโดยเฉพาะไม่ได้จะเป็นสามีภรรยากันจริงๆ และไม่จำเป็นต้องสนิทสนมกันเกินไป
สีหน้าของเย้นซินกลับดูแย่มากในชั่วขณะนั้น หล่อนมาที่นี่ก็เพื่อบากหน้ามาหาโห้หลีเฉิน ไม่ใช่มาเป็นคนรับใช้ของเย้นหว่าน
ภายในใจหล่อนทั้งโกรธเคืองทั้งไม่กล้า ภายนอกกลับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ได้”
เย้นหว่านวางใจแล้ว จึงยกกาแฟขึ้นไปด้านบน
ตอนไปถึงห้องหนังสือ เธอมองเห็นโห้หลีเฉินกำลังประชุมทางไกลอยู่ เขาใส่หูฟัง พูดภาษาที่เธอฟังไม่เข้าใจ
เย้นหว่านรีบเดินเสียงเบาลงทันที ค่อยๆ วางกาแฟและผลไม้ตรงหน้าของโห้หลีเฉิน
จากนั้นเตรียมจะรีบออกไป
เวลานี้โห้หลีเฉินมองทางเธอทันใด ถอดหูฟังข้างหนึ่งออก ก่อนจะพูดกับเธอ
“ประชุมนี้ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมง ถ้าเธอเบื่อก็ออกไปเดินเล่นซื้อของ”
เย้นหว่านไม่อยากเสียเวลาเขาประชุม จึงรีบพยักหน้า “ได้”
“การ์ดวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง เธอหยิบเอาเอง อยากซื้ออะไรก็รูดเลย”
โห้หลีเฉินพูดแบบเรื่องราวควรจะเป็นเช่นนั้น ในสมองเย้นหว่านพลันนึกถึงแบล็คการ์ดใบนั้นขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
เขาช่างใจกว้างต่อเธอเสียจริง
เย้นหว่านพยักหน้าอีก “ได้ค่ะ”
“อืม”
โห้หลีเฉินถึงตอบรับคำหนึ่ง ก่อนสายตาจะย้ายไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
ส่วนผู้คนที่อยู่ในสายเวลานี้ กลับเหมือนเครื่องแฮงค์ไปหมด ตกตะลึงจนตาค้าง
พวกเขาเป็นบุคคลสำคัญที่โห้หลีเฉินส่งไปอยู่ที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ทุกครั้งที่ประชุมล้วนเป็นเรื่องที่ลับ และสำคัญ เมื่อสักครู่กำลังพูดเรื่องสำคัญมาเรื่องหนึ่ง แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าโห้หลีเฉินจะถอดหูฟังออก พูดคุยกับคนอื่น
ถ้าคุยเรื่องงานก็แล้วไป แต่ที่ได้ยินนั้น เขาพูดอะไรกัน
ถามเธอว่าเบื่อหรือเปล่า สามารถไปเดินซื้อของได้
เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยไม่รู้จะเล็กน้อยไปถึงไหน……
โห้หลีเฉินกลับเหมือนไม่ได้รู้สึกไม่เหมาะสมสักนิด มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยใบหน้าที่ไม่มีความรู้สึกอะไร เสียงเรียบนิ่งดั่งน้ำ
“ว่าต่อ”
หลายคนนั้น “……”
เวลาประมาณสามวินาทีที่เงียบไป หนึ่งในนั้นถามขึ้นอย่างลองเชิง “ลูกพี่ ลูกพี่มีความรักแล้วรึเปล่า?”
มีความรัก?
โห้หลีเฉินเงยหน้ามองภาพเย้นหว่านที่เดินไปหน้าประตูเบาๆ แววตาแฉลบแสงอ่อนนุ่มที่ไม่ทิ้งร่องรอยไป
อารมณ์เขาเหมือนเปลี่ยนไปไม่เลวนัก พูดเสียงต่ำ “อืม ฉันใกล้จะแต่งงานแล้ว”
หลายคนนั้นเหมือนระเบิดไปชั่วพริบตา ขณะเดียวกันในหูฟังก็มีเสียงแปลกประหลาดหลายแบบลอยมา
เหมือนบีบเมาท์จนแตกกระจาย เหมือนกดคีย์บอร์ดพัง เหมือนตกลงไปจากเก้าอี้……
วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ โห้หลีเฉินก็ทำงานยุ่งอีก ไม่ต้องการเธอ เย้นหว่านอยู่ไปก็ไม่มีอะไรทำ จึงตัดสินใจไปเดินเล่นสักหน่อย ผ่อนคลายอารมณ์
เย้นซินก็ไปด้วยกันกับเธอ
เดิมทีอยากเดินเฉยๆ เย้นซินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจคิดเกี่ยวกับเรื่องของโห้หลีเฉิน
สถานการณ์ในตอนนี้ช่างไกลกว่าที่หล่อนคาดการณ์เอาไว้
ที่จริงคิดว่าการพึ่งความสัมพันธ์ของน้องสะใภ้ บางทีโห้หลีเฉินจะดีกับหล่อน ส่วนหล่อนแค่ต้องปีนไปตามเสา จัดการความสัมพันธ์กับโห้หลีเฉินให้ดีก่อน ค่อยใช้ประโยชน์จากเสน่ห์ของหล่อนให้เขาหวั่นไหวก็คือเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
แต่ว่า….