สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 134 เธอไปออกเดตแล้ว
บทที่ 134 เธอไปออกเดตแล้ว
เธออยากจะโต้กลับ แต่พอมองมู่จื่ออี้ที่นั่งตรงข้าม คงไม่ค่อยดีที่จะอธิบายอะไรในเวลานี้
เธอได้แต่พูดว่า “เธออย่าเดามั่ว กลับไปไว้ฉันจะบอกเธออีกที”
“ฮ่าๆ ดูแล้วฉันรบกวนพี่สาวออกเดตแล้วสิ เอาล่ะ รอพี่กลับมาค่อยเล่าให้ฉันฟัง ออกเดตให้มีความสุขนะ”
เย้นซินหัวเราะอยู่แล้ววางสายลง
เย้นหว่านกลับขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้มพอสมควร เพียงแค่ทานข้าวธรรมดามื้อหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ออกเดตอะไร
กลับไปเธออาจจะต้องพูดกับเย้นซินให้รู้เรื่อง
พนักงานออกไปเรียบร้อย เย้นหว่านวางสายโทรศัพท์ มองเห็นมู่จื่ออี้กำลังมองเธอด้วยสายตาแวววาว
เย้นหว่านยิ้มพูดประโยคหนึ่ง “โทรศัพท์ของน้องสาวน่ะ ใช่แล้ว เมื่อกี้คุณอยากพูดอะไรนะ?”
มู่จื่ออี้หัวเราะ ส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่มีอะไร”
“อ่อ” เย้นหว่านพยักหน้า มองเห็นพนักงานยกของหวานเข้ามาแล้ว
เขตคฤหาสน์วิลล่าส้ายน่า
เวลาอาหารเย็น เว่ยชีนำอาหารที่พ่อครัวที่จ้างมาทำโดยเฉพาะมาส่งให้
ข้างโต๊ะอาหารในวันนี้ มีเพียงโห้หลีเฉินและเย้นซิน
ทั้งสองคนอยู่กับตามลำพัง ทำให้เย้นซินไม่ต้องพูดว่าดีใจมากแค่ไหน ตั้งแต่เริ่มต้นบนใบหน้าก็มีรอยยิ้มที่ปิดซ่อนไม่อยู่
“พี่เขย ฉันตักซุปให้พี่นะคะ”
เย้นซินเลียนแบบที่ปกติเย้นหว่านทำ ตักซุปให้โห้หลีเฉินถ้วยหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว
จากนั้นวางตรงหน้าของโห้หลีเฉินอย่างระมัดระวัง มองเขาด้วยสายตาที่รอคอย “พี่เขยลองชิมดูค่ะ ซุปนี้รสชาติดีรึเปล่า?”
ท่าทางรอคอยของหล่อน ราวกับซุปถ้วยนี้เป็นหล่อนเข้าครัวทำด้วยตนเอง
ซุปเป็นอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน รสชาติก็ไม่เลว เพียงแค่ถูกเย้นซินตักมาให้ ชั่วขณะนั้นโห้หลีเฉินไม่มีความปรารถนาจะทานมันเลย
อาหารจีนที่อยู่เต็มโต๊ะอาหารด้วย
ตอนที่เย้นหว่านอยู่ ความจริงเขาชอบทานอาหารจีน ไม่ถือสาที่จะทานกับข้าวจานเดียวกับเธอ แต่ว่าตอนนี้……
แม้แต่ความอยากจับตะเกียบคีบ โห้หลีเฉินยังไม่มีทั้งนั้น
เขาขมวดหัวคิ้ว จากนั้นลุกขึ้นยืน
“พี่เขย พี่จะไปไหนคะ?”
เย้นซินมองโห้หลีเฉินจะไปด้วยความประหลาดใจ รีบถามออกไป
ไม่ง่ายที่หล่อนจะมีโอกาสอยู่ตามลำพังกับโห้หลีเฉิน แต่โห้หลีเฉินจะไปแบบนี้ได้อย่างไรกัน
ร่างสูงใหญ่ของโห้หลีเฉินแผ่ความห่างเหิน เงียบเหงาออกมาแล้ว เขาพูดออกมาไม่กี่คำอย่างขอไปที
“เธอกินไปเองเถอะ”
พูดจบ เขาก็เดินขึ้นไปข้างบน
“พี่เขยคะ พี่ล่ะ? พี่ไม่กินแล้วเหรอ?”
เย้นซินลนลานนิดๆ ร้อนใจลุกขึ้นมา ดึงแขนของโห้หลีเฉินเอาไว้
ร่างสูงใหญ่ของโห้หลีเฉินหยุดลงทันใด ทั่วทั้งตัวแพร่กระจายกลิ่นอายเย็นเฉียบที่ทำให้คนหวาดกลัวออกมา
เขายกมือขึ้นฉับพลัน สะบัดเย้นซินออก
บนหน้าหล่อเหลามีความรำคาญที่ไม่ปกปิดสักนิด “เย้นซิน อย่าพยายามท้าทายฉัน”
เย้นซินแข็งทื่อทันที มีไอเย็นผุดออกมาจากปลายเท้า จนกระทั่งลามไปถึงยอดศีรษะของหล่อน
ผู้ชายคนนี้อันตรายที่สุด
ทว่ายิ่งเป็นแบบนี้ เขายิ่งน่าดึงดูดมาก ยิ่งทำให้หล่อนไม่อาจถอนตัวขึ้น อยากจะพิชิตเขา แล้วได้เขามา
ในใจมีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ บนใบหน้าเย้นซินกลับซีดขาว อยากจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเวลาอย่างน่าสงสารเหลือทน
“ขอโทษค่ะ พี่เขย ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันเพียงแค่……พี่สาวให้ฉันดูแลพี่ ฉันต้องดูแลพี่กินข้าวให้ดี……”
โห้หลีเฉินหรี่ตาลง เย้นหว่านให้หล่อนดูแล?
ผู้หญิงคนนั้นวิ่งออกไปแล้ว ยังห่วงใยเขา กลับทำให้เขาอบอุ่นหัวใจ แต่ให้ผู้หญิงคนอื่นมาดูแลเขา ทำให้โห้หลีเฉินหงุดหงิดมาก
หรือเธอไม่รู้ว่าชายหญิงแตกต่างกัน? ถึงแม้จะเป็นเพียงน้องสาว
โห้หลีเฉินมองเย้นซินอย่างเย็นชาทีหนึ่ง สีหน้าเย็นยะเยือกเรียบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร หมุนตัวเดินไป
“พี่เขย……”
เย้นซินยังอยากตามขึ้นไปแบบไม่ยินยอม ทว่ารู้สึกถึงความร้ายกาจที่เย็นเฉียบบนตัวโห้หลีเฉิน ที่จริงยังไม่มีความกล้าไปดึงเขาอีก
โห้หลีเฉินสูงส่งเย็นชา หล่อนเตรียมใจไว้แต่แรก เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าเขาจะสูงส่งเย็นชาดั่งเช่นภูเขาน้ำแข็ง แม้แต่เข้าใกล้ยังยากลำบากขนาดนั้น
แต่หล่อนจะยอมแพ้ง่ายดายได้อย่างไรกัน
เย้นซินวิ่งเหยาะๆ ไปข้างตัวโห้หลีเฉิน ความห่วงใยเต็มใบหน้า “พี่เขย งั้นฉันเปลี่ยนผ้าพันแผลให้พี่ก่อนแล้วกันนะ”
จบแล้ว หล่อนก็เสริมไปอีกประโยค “พี่สาวเป็นคนให้ฉันเปลี่ยนให้พี่ เวลาที่พี่เขยเปลี่ยนผ้าพันแผลจะรอให้เธอกลับมาไม่ได้ ปล่อยไว้นานคงไม่ดี”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของโห้หลีเฉินยิ่งดูไม่ดี
นี่เย้นหว่านคิดจะกลับมากลางดึก? กินข้าวมื้อเดียวเธอยังกล้าเที่ยว
อีกอย่างให้ผู้หญิงคนอื่นมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขา โดนมือของเขา……
ออร่ารอบตัวของโห้หลีเฉินยิ่งต่ำลง ลูกตาเย็นๆ กวาดทางเย้นซิน อันตรายสุดๆ
“อย่าตามขึ้นมา”
สี่คำธรรมดานี้ กลับมีพลังคุกคามที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ยิ่งเป็นการข่มขู่
ฝีเท้าของเย้นซินหยุดแบบไม่ได้ควบคุม สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
ในใจหล่อนไม่ยินยอมที่สุด แต่ว่าร่างกายตอบสนองโดยสัญชาตญาณที่สุด เป็นความหวาดกลัวอย่างมากล้น ไม่กล้าก้าวไปด้านหน้าอีกสักก้าว
อารมณ์โห้หลีเฉินไม่ใช่ดีมากนัก หลังจากไปที่ห้องหนังสือ เริ่มจัดการงานทันที จากนั้นใช้การประชุมทางไกลด่ากราดคนกลุ่มหนึ่งไป
ผู้บริหารระดับสูงมากมายรู้สึกเพียงว่าท้องฟ้ามืดดำไปทั่ว นี่มันกลางคืนแล้ว เดิมควรกลับบ้านผ่อนคลายอารมณ์ ใช้เวลาหวานชื่นกับภรรยาลูกๆ แต่กลับโดนท่านประธานเรียกมาทำงาน ยังโดนด่าจนสงสัยในชีวิต……
สรุปพวกเขาทำผิดอะไร ล่วงเกินใครแล้ว?
“ก๊อกๆๆ”
เสียงเคาะประตูเบาๆ มีจังหวะดังขึ้นมา
เดิมทีออร่าโห้หลีเฉินต่ำมากกำลังทารุณคน เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองทางหน้าประตู
วิธีเคาะประตูนี้แบบนี้ เป็นเย้นหว่านกลับมาแล้ว
มองดูเวลา ยังเร็วอยู่มาก
อารมณ์ของโห้หลีเฉินดีมาทันตาเห็น แม้แต่ความมืดมนบนใบหน้าหายไปมาก เขาเอ่ยปากเสียงต่ำ “เข้ามา”
“แอ๊ด”
ประตูห้องโดนเปิดออก
เย้นซินถือถาดใบหนึ่ง ด้านบนวางกาแฟและขนมหวานไว้ เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พี่เขยคะ พี่ยังไม่ได้กินอะไร เป็นห่วงว่าพี่จะหิว ฉันเลยให้ผู้ช่วยเว่ยส่งขนมหวานกับกาแฟเข้ามาให้”
มองเห็นเย้นซิน สีหน้าที่ละมุนเมื่อสักครู่ของโห้หลีเฉินก็อึมครึมลงมาทันที
เขาพูดอย่างหน้าเย็นชา “ไม่ต้อง ออกไป”
“แต่ว่าพี่ยังไม่ได้กินอะไร……ถ้าพี่สาวกลับมารู้เข้า ฉันไม่มีทางจะอธิบายกับเธอ……”
พี่สาวอีกแล้ว
เย้นหว่านวางใจมอบเขาให้ผู้หญิงคนอื่นดูแลขนาดนั้น?
ยิ่งคิดโห้หลีเฉินยิ่งโมโห
เขาตวาดเสียงเย็นเฉียบ “ออกไป”
เสียงทุ้มต่ำเหมือนเกล็ดหิมะลอยในเดือนมิถุนายน หนาวเย็นที่สุด
ชั่วพริบตาเดียวพนักงานที่อยู่ในสายทางนั้นผิวหนังตึงแน่นกันหมด สามารถพูดได้ว่าท่านประธานอารมณ์ไม่ดีแล้ว คืนนี้เกรงว่าพวกเขาจะต้องตายกับเป็นหมู่แล้ว?
เย้นซินรู้สึกหวาดกลัวมาก อยากหนีออกไปโดยสัญชาตญาณ หล่อนกัดฟัน เผยท่าทางที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
มองทางโห้หลีเฉิน พูดเสียงต่ำๆ “พี่เขยคะ มีอะไรต้องการพี่ก็เรียกฉันนะคะ ฉันจะอยู่ที่หน้าประตู”
เย้นซินถึงออกไป
ในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ไม่มีเสียงจากในสายวิดีโอคอล แม้แต่เข็มเล่มหนึ่งตกก็ได้ยิน
โห้หลีเฉินสีหน้าอึมครึม อารมณ์รำคาญอย่างไร้เหตุผล
เขาไม่สามารถควบคุมเย้นหว่านได้ เธออยากออกไปทานข้าว เขาก็รับปากให้เธอไปอย่างง่ายดาย แต่เจอเย้นซินตอแยมาขนาดนี้ เขากลับรำคาญอย่างมาก
คืนนี้ถ้าเย้นหว่านกล้ากลับมาดึก เขาจะต้องบีบเธอให้ตาย