สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 149 สถานที่เปลี่ยว
บทที่ 149 สถานที่เปลี่ยว
เรื่องข่าวลือกระพือขึ้นไม่หยุด ตอนที่เย้นหว่านไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรดี ก็ได้รับโทรศัพท์จากที่บ้านมาราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
คุณนายใหญ่ตระกูลโห้นัดพวกเขาทั้งบ้านทานข้าว ประมาณว่าอยากเลือกวันมงคลด้วยกัน กำหนดช่วงแต่งงานลงมา
เย้นหว่านวางสายโทรศัพท์แล้ว วิ่งไปหาโห้หลีเฉินอย่างรีบร้อน
เธอไม่ได้เคาะประตู พุ่งเข้ามาโดยตรง
โห้หลีเฉินไม่ชอบให้คนพุ่งพรวดพราดเข้ามามากที่สุด เงยหน้าอย่างไม่พอใจ พอมองเห็นว่าเป็นเย้นหว่าน ความโกรธในแววตาก็หายไปแบบไร้ร่องรอยขนาดนั้น
เขาวางปากกาเซ็นชื่อลง ถามขึ้น “เป็นอะไรแล้ว?”
เย้นหว่านเดินไปตรงข้ามของโต๊ะทำงาน สีหน้าลุกลี้ลุกลนนิดๆ มองไปทางโห้หลีเฉิน
“คุณโห้ เมื่อกี้แม่ฉันโทรมาหาฉัน บอกว่าให้สองครอบครัวไปกินข้าวด้วยกันมื้อหนึ่ง”
“อืม ฉันรู้แล้ว”
โห้หลีเฉินพยักหน้าอย่างเรียบเฉยมาก ราวกับนี่เป็นเพียงเรื่องปกติมากเรื่องหนึ่ง
เย้นหว่านสงสัยอยู่บ้าง รีบพูดเตือนสติไป
“กินข้าวครั้งนี้ ความหมายของคุณนายใหญ่ตระกูลโห้คืออยากกำหนดช่วงเวลาแต่งงานของพวกเรา”
“อืม”
โห้หลีเฉินยังคงตอบมาคำหนึ่งแบบเรียบนิ่งมาก
เย้นหว่านกลับคลุ้มคลั่งแล้ว พูดอย่างร้อนรนพอสมควร “คุณโห้ หรือว่าคุณไม่คิดหาทางปฏิเสธเหรอ? หรือว่าคุณมีวิธีแก้ไขอยู่แล้ว?”
สำหรับความสามารถในการจัดการปัญหาที่ยอดเยี่ยมของโห้หลีเฉินนั้น เย้นหว่านยังเฝ้ารอคอยไว้นิดๆ
ใครจะคาดคิดว่าโห้หลีเฉินจะพูดอย่างเรียบเฉย “ฉันจะแต่งงานกับเธอ”
ดังนั้นกำหนดวันแต่งงานอะไร เขาไม่เคยคิดจะปฏิเสธหรือขัดขวางโดยสิ้นเชิง
เย้นหว่านระเบิดไปทั้งตัว “แต่ฉันไม่เคยรับปากจะแต่งงานกับคุณ”
โห้หลีเฉินสายตาอึมครึม เสียงต่ำๆ พ่นออกมาจากริมฝีปากแน่วแน่มาก
“เธอจะรับปาก”
มั่นใจว่าจะชนะอย่างแน่วแน่ ไม่มีที่ว่างให้หารือใดๆ
เย้นหว่านรู้สึกหนาวไปทั้งตัว เธอคิดว่าเธอปฏิเสธมาโดยตลอด โห้หลีเฉินจะไม่แต่งงานกับเธอจริงๆ
แต่นึกไม่ถึงว่าเขาไม่ได้รับความเห็นด้วยของเธอ เหมือนจะยังทำไปโดยพลการ
“คุณโห้ เรื่องที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติย่อมมีผลลัพธ์ไม่ดี ทำไมคุณจะต้องบังคับฉัน? มีผู้หญิงมากมายขนาดนั้นที่ยินยอมแต่งงานกับคุณ คุณเลือกใหม่สักคนไม่ดีเหรอ?”
ผู้หญิงคนอื่นจะเหมือนเธอได้อย่างไร?
โห้หลีเฉินขมวดหัวคิ้ว ลุกขึ้นยืน ร่างสูงใหญ่เอียงมาข้างหน้า ข้ามผ่านโต๊ะมาเกือบเข้ามาใกล้ด้านหน้าของเธอ
เสียงของเขาต่ำมาก “เย้นหว่าน ความคิดที่ฉันมีต่อเธอ ตอนนี้เธอยังไม่เข้าใจเหรอ?”
เธอสามารถปฏิเสธได้ แต่เขาไม่ชอบเธอพูดอะไรพวกนี้
เห็นท่าทางชายหนุ่มทำหน้าเคร่งขรึม เย้นหว่านจิตใจเหม่อลอยแวบหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นเธอเกือบคิดว่าความคิดที่เขาบอกนั้น คือชอบเธอถึงอยากแต่งงานกับเธอ
เย้นหว่านกัดฟันพูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณมีคนที่ชอบแล้ว”
โห้หลีเฉินตะลึง นึกไม่ถึงว่าเย้นหว่านจะพูดเรื่องพวกนี้ออกมา
เขามองเธอไปตรงๆ “ใครบอกกับเธอกัน?”
เสียงของเย้นหว่านต่ำอยู่บ้าง มีอารมณ์ตกต่ำที่เธอเองก็พูดไม่ถูก
“ฉันรู้แล้วกัน”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วอย่างแรง ในหน้าอกผุดไฟโกรธขึ้น
เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไปรู้มาจากที่ไหน?
เขาจับไหล่ของเธอไว้ จ้องมองเธอ พูดแต่ละคำแต่ละประโยคจริงจังเป็นพิเศษ
“เย้นหว่าน เธอฟังฉันให้ชัดๆ ฉันโห้หลีเฉินชาตินี้เคยชอบแค่คนเดียว นั่นก็คือ……”
“พี่ ฉันเก็บของเสร็จแล้ว จะไปเลยไหม?”
เวลานี้เสียงของเย้นซินลอยเข้ามาจากด้านนอก ยังมีเสียงฝีเท้าของหล่อนเดินเข้ามา
ใบหน้าหล่อเหลาของโห้หลีเฉินมืดลง
เย้นหว่านจิตใจว้าวุ่นอยู่บ้าง เมื่อสักครู่ที่โห้หลีเฉินพูดหมายความว่าอะไร?
คำพูดนี้ของเขา ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่เหมือนกำลังพูดว่ามู่หรุงซิ่น……
ยังไม่ทันที่เธอจะเข้าใจ เย้นซินก็เดินมาถึงหน้าประตู มองเห็นโห้หลีเฉินกำลังโอบแขนของเย้นหว่าน หล่อนลังเลสักนิด พูดแบบอึดอัด
“งั้นฉันลงไปรอพี่นะ?”
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินแล้วลนลานอยู่บ้าง รีบผลักเขาออกไป
“ไม่ต้องหรอก พวกเราลงไปด้วยกันเลย”
เธอไม่กล้ามองโห้หลีเฉิน หันหน้าเดินไปข้างนอก
ท่าทีโห้หลีเฉินไม่อยากถอนหมั้นเหมือนชัดเจนมาก เธอดื้อดึงกับเขาอีกก็ไม่มีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอยิ่งไม่รู้ว่าคนที่เขาบอกว่าชอบเพียงคนเดียวเป็นใคร……
มองภาพด้านหลังของเย้นหว่านที่รีบออกไป สายตาโห้หลีเฉินมืดลงอีก
คนที่เขาชอบ?
หรือว่าผู้หญิงคนนี้เข้าใจอะไรผิดมาโดยตลอด?
การนัดทานข้าวของสองตระกูลอยู่ที่โรงแรมเกินห้าดาว ถึงแม้เย้นหว่านกับเย้นซินจะพักอยู่ในบ้านของโห้หลีเฉิน แต่ก็ต้องไปที่โรงแรมด้วยกันกับพ่อแม่
ดังนั้นพวกเธอจึงนั่งรถกลับไปก่อนแล้ว
ระหว่างทาง อารมณ์เย้นหว่านซับซ้อนไปหมด ในใจยุ่งเหยิงเป็นก้อน จัดการอย่างไรก็ไม่กระจ่าง
เย้นซินเล่นมือถือมาตลอด พูดคุยกับคนอื่น มองไปนอกหน้าต่างไม่ขาด
ตอนที่ผ่านถนนเก่าเส้นหนึ่ง หล่อนพูดขึ้นทันใด
“หยุดรถหน่อย”
คนขับรถจอดรถลงที่ข้างทาง
เย้นหว่านมองทางเย้นซินอย่างสงสัย “เป็นอะไรแล้ว?”
“พี่ ฉันมีของอย่างหนึ่ง ต้องไปซื้อด้านหน้า พอดีผ่านมาแล้ว พี่ลงไปซื้อเป็นเพื่อนฉันได้รึเปล่า?”
เย้นซินจับมือของเย้นหว่าน พูดแบบออดอ้อน
เย้นหว่านมองดูเวลา ห่างจากเวลานัดทานข้าวช่วงเย็นยังมีเวลาบ้าง คงพอทัน
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไร ลงไปด้วยกันกับเย้นซินแล้ว
คนขับรถนำรถมาจอดด้านข้าง รอพวกเธออยู่
นี่คือเขตถนนเก่าที่ยังไม่ได้ปรับปรุง บ้านเรือนเก่าแก่อยู่บ้าง ร้านค้าล้วนเป็นแบบเก่า ถนนไม่เป็นระเบียบ แต่ว่าตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้ว คนก็ไม่มากนัก
เย้นซินเหมือนคุ้นเคยกับแถวนี้มาก หัวเราะแล้วลากเย้นหว่านไปตลอดทาง
“พี่ พี่อย่ามองที่นี่เก่าไปบ้างเลย แต่ของในร้านเก่าของที่นี่ เป็นของที่หาซื้อข้างนอกได้ไม่ง่ายๆ นะ”
“ซื้อในเน็ตก็ไม่ได้เหรอ?”
“ในเน็ตถึงแม้ว่าจะหาได้ ก็เทียบของแท้ที่นี่ไม่ได้”
เย้นซินพูดยิ้มกริ่ม รีบดึงเย้นหว่านเดินไปด้านใน
พวกเธอผ่านถนนมาหลายสาย ตั้งแต่ถนนที่หรูหราจนมาถึงถนนที่ลับตาคน คนที่มาด้านในนี้มีไม่ถึงสองคนแล้ว ร้านค้าที่เปิดก็ไม่มาก ดูเหมือนล้วนเป็นร้านเก่า เหมือนจะปิดได้ทุกเวลา
เย้นหว่านแปลกใจมาก นึกไม่ถึงปกติเย้นซินจะมาเดินซื้อหาของในสถานที่แบบนี้
“คือร้านตรงหน้านั่นแหละ”
เดินมาสักพักหนึ่ง เย้นซินชี้ไปตรงร้านค้าตั้งโดดเดี่ยวแห่งนั้น
ร้านนั้นแม้กระทั่งป้ายร้านยังไม่มี หน้าประตูแขวนข้าวของรกรุงรัง มองไม่ออกว่าสรุปแล้วขายอะไร
เย้นหว่านได้แต่เดินตามเย้นซินเข้าไป
“เถ้าแก่ ฉันมาเลือกซีดี”
เย้นซินเดินเข้าไป ยิ้มทักทายหัวทองที่นั่งอยู่ด้านใน
หัวทองกำลังสัปหงก พูดอย่างรำคาญมาก “เลือกเอาเอง”
ขณะพูดเขาก็เงยหน้ามองไปเฉยๆ ตอนที่มองเห็นสาวสวยอายุน้อยสองคนตรงหน้า ดวงตาประกายแล้ว
บนใบหน้านั้นรีบเผยรอยยิ้มที่มีเจตนาแอบแฝง
พูดตีสนิท “สาวสวยทั้งสอง อยากเลือกซีดีอะไร? ที่นี่อะไรฉันก็มีหมด ยังมีรุ่นที่ไม่มีพิมพ์บางอย่างด้วยนะ”
เห็นหัวทองทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ เย้นหว่านขมวดคิ้วแล้ว รู้สึกไม่สบายมาก