สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 187 การให้ของขวัญ ต้องให้ด้วยใจ
บทที่ 187 การให้ของขวัญ ต้องให้ด้วยใจ
“ได้ได้ ฉันไม่มีปัญหา เดี๋ยวพ่อกับแม่ฉันก็มาแล้ว”
กู้จื่อเฟยรีบโบกมือไล่ สีหน้าซีดเซียวของเธอประดับไปด้วยรอยยิ้ม “เธอรีบไปเถอะ ตอนนี้ก็หนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว ถึงแม้จะไปสาย ก็ไม่ถือว่าสายจนเกินไป”
“งั้นฉันไปก่อนนะ มีอะไรรีบโทรหาฉันเลยนะ”
เย้นหว่านพูดย้ำอย่างไม่วางใจ
“โอเค วางใจได้ ฉันไม่เป็นไรแล้ว เธอรีบไปเถอะ อย่าให้คนอื่นเขาต้องรอนาน”
กู้จื่อเฟยรีบพยักหน้า แล้วพูดเร่งเร้าให้เย้นหว่านไปได้แล้ว
เย้นหว่านไม่รอช้า เธอรีบหยิบกระเป๋า แล้วเดินจากไปทันที
เธอเรียกรถแท็กซี่เดินทางออกจากโรงพยาบาล แล้วแวะไปที่ย่านการค้า
ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของโห้หลีเฉิน แน่นอนว่าเธอต้องเตรียมของขวัญไปด้วย และที่เธอผิดนัดกับเขา ไปร่วมงานสายขนาดนี้ เธอจะต้องเลือกของขวัญให้ถูกใจถึงจะดี
ถ้าเลือกของขวัญได้ถูกใจ โห้หลีเฉินเห็นแล้วก็ดีใจ และจะไม่โกรธเธออีก
แต่จากที่เย้นหว่านรู้จักกับโห้หลีเฉินมา เขาเป็นคนที่ดีไปซะทุกอย่าง ร่ำรวยมหาศาล ข้าวของที่ใช้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรขาดเหลือในชีวิต และพวกวัตถุโบราณหรือของมีค่า เธอก็ซื้อให้ไม่ไหว
คิดไปคิดมา เธอพยายามคั้นสมองทั้งหมด เย้นหว่านคิดว่าปกติโห้หลีเฉินมักจะใช้ปากกาเซ็นเอกสารเยอะมาก ของที่เขาใช้บ่อยที่สุดก็คือปากกา ของชิ้นนี้ ถึงจะมีเยอะ ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเขา
ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจซื้อปากกาให้โห้หลีเฉิน แล้วยังสลักชื่อไว้ด้วย แบบนี้ถึงจะแสดงถึงความใส่ใจ และไม่เหมือนใครด้วย
หลังจากที่ตัดสินใจได้ เย้นหว่านก็ตรงไปที่ร้านขายปากกา เพื่อเลือกปากกา
ยังดีที่ร้านขายปากกามีเยอะมาก แต่ไม่สามารถสลักชื่อให้ในทันทีได้ ต้องรอหนึ่งถึงสองวันถึงจะได้
แต่อีกเดี๋ยวเย้นหว่านต้องมอบให้โห้หลีเฉินเป็นของขวัญแล้ว มันไม่ทันการ
เธอจึงต้องเดินหาไปทุกร้าน แล้วถามทุกร้าน เธอเดินจนขาแทบหัก ตอนที่เธอใกล้จะหมดหวังเต็มที ในที่สุดก็หาร้านที่สามารถสลักชื่อให้ได้ในทันทีเจอ
ร้านนี้ไม่ใช่ร้านใหญ่โตอะไรมาก เมื่อเทียบกับร้านอื่น เห็นได้ชัดว่าดูธรรมดามาก แต่สินค้าข้างในร้านกลับครบครัน ปากกาแบรนด์ดัง แทบจะมีขายทุกแบรนด์
เย้นหว่านเลือกปากกาที่มีราคาค่อนข้างแพงมาหนึ่งด้าม หลังจากที่มองอย่างละเอียดแล้ว เธอก็ถามย้ำอีกครั้ง “ของแท้จริงๆใช่ไหมคะ ฉันจะเอาไปเป็นของขวัญให้คนอื่นนะคะ”
“ของแท้แน่นอนครับ ที่ร้านผมไม่ขายของปลอมอยู่แล้ว”
เจ้าของร้านร่างท้วมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เขายื่นมือมาหยิบปากกาในมือของเย้นหว่านไป
“เอาเล่มนี้เลยใช่ไหมครับ คุณต้องการจะสลักชื่อว่าอะไรครับ เดี๋ยวผมจะรีบทำให้ตอนนี้เลย”
“อืม งั้นก็สลัก…”
เย้นหว่านนิ่งคิด แต่กลับคิดไม่ออกว่าควรจะสลักอะไรลงไป สุขสันต์วันเกิด คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา คำพูดพวกนี้มันล้าสมัยมากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโห้หลีเฉินไม่เหมาะสมที่จะใช้
สุดท้าย เธอจึงพูดว่า “สลักรูปยิ้มก็ได้ค่ะ”
หวังว่าตอนที่เขามองปากกาจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
“ได้เลยครับ”
เจ้าของร้านร่างท้วมรีบเอาปากกาไปตรงโต๊ะเครื่องมือ เพื่อเตรียมจะสลักชื่อ
ก่อนจะเริ่มสลัก เขาหันกลับมาถามย้ำอีกครั้ง “คุณลูกค้า คุณแน่ใจแล้วนะครับ ปากกาที่สลักชื่อแล้ว ทางร้านไม่รับคืนนะครับ”
“อืม แน่ใจค่ะ””งั้นรบกวนคุณไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์นะครับ ผมจะได้เริ่มสลักชื่อเลย”
ต้องจ่ายเงินก่อนถึงจะสลักชื่ออย่างนั้นเหรอ
เย้นหว่านชะงักไปเล็กน้อย แต่เธอก็ตอบตกลง โดยไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังจากเธอจ่ายเงินแล้วจับใบเสร็จเดินกลับมา เจ้าของร้านร่างท้วมก็เริ่มลงมือ ไม่นานเขาก็ทำการสลักรูปยิ้มลงบนปากกาเรียบร้อย
เป็นรูปยิ้มเวอร์ชันต้นฉบับที่ง่ายมาก หัวกลมๆ ดวงตากับริมฝีปากเป็นตัวยู
ดูไปแล้ว ถึงแม้จะเรียบง่าย แต่ก็ถือว่าโอเค
“คุณลูกค้า พอใจไหมครับ”
เจ้าของร้านร่างท้วมถามเย้นหว่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตาของเขากลับดูเจ้าเล่ห์พิกล
เย้นหว่านพยักหน้าให้ “ก็พอใช้ได้ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมเอาไปใส่กล่องให้นะครับ ผมจะใช้กล่องที่หรูหราใส่ให้เลยครับ”
เจ้าของร้านร่างท้วมหยิบปากกามาจากมือของเย้นหว่านไปอีกครั้ง ก่อนจะนำมาใส่กล่องเล็กๆ
เย้นหว่านยังอยากจะดูปากกาให้ละเอียด แต่ตอนที่ได้รับกลับมา ปากกาก็อยู่ในกล่องของขวัญเรียบร้อยแล้ว
เธอจึงทำได้แค่หยิบกล่องของขวัญใส่ลงไปในกระเป๋าอย่างเบามือ
โห้หลีเฉินเห็นของขวัญชิ้นนี้ เขาจะชอบไหมนะ เธอกังวลใจเล็กน้อย
หลังจากซื้อของขวัญเสร็จ เย้นหว่านก็กลับไปที่บริษัท เปลี่ยนใส่ชุดราตรี ก่อนจะแต่งหน้าบางๆ แล้วเรียกแท็กซี่เดินทางไปที่คฤหาสน์เซียวเออร์ทันที
สามทุ่ม
งานเลี้ยงเริ่มมาได้สักพักแล้ว ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยง ล้วนแต่ใช่ชุดสูทชุดราตรีกันทุกคน แขกที่มาร่วมงานมีทั้งบรรดาไฮโซตระกูลดัง และพวกนักธุรกิจ
พวกเขายืนคุยกันเป็นกลุ่ม บทสนทนาที่คุยกัน ก็ล้วนแต่เป็นคำพูดเชื่อมสัมพันธ์ หรือจะเป็นเรื่องธุรกิจ
และมีอยู่ไม่น้อยที่กำลังจ้องมาทางเจ้าของงานเลี้ยงในคืนนี้ หรือก็คือโห้หลีเฉินนั่นเอง ทุกคนต่างก็จ้องจะหาโอกาสเข้ามาชนแก้วกับโห้หลีเฉิน เพื่อประจบประแจง
แต่ว่า ถึงแม้คืนนี้จะเป็นวันเกิดของโห้หลีเฉิน แต่เขากลับมีสีหน้าบึ้งตึง และแผ่รังสีความเยือกเย็นออกมาตั้งแต่งานเริ่ม
เขาดูสูงศักดิ์และห่างเหินมาก
มีหลายคนที่เดินเข้ามาทักทายอย่างมีมารยาท แต่ไม่กล้าพูดประจบประแจงอะไรมาก
ในเวลานี้ โห้หลีเฉินถือแก้วไวน์ไว้ในมือ ยืนตรงอย่างสง่าผ่าเผย ค่อยๆจิบไวน์ แล้วเหลือบตามองไปทางประตูบ่อยๆ
ในแววตาสุดแสนจะรอคอย และเวลาผ่านไปนาน เขาก็ยังไม่เห็นเงาของคนคนนั้นปรากฏตัวออกมาเลย
สีหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศรอบตัวก็น่ากลัวมาก
คนที่ขี้ขลาดอยู่บ้าง ต่างก็ไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้าไปขอชนแก้วด้วยเลยสักครั้ง
“เฉินคะ”
มู่หรุงชิ่นใส่รองเท้าส้นสูงเดินเข้ามาหาโห้หลีเฉินอย่างสง่างาม
เธอใส่ชุดราตรีเว้าหลังสีแดงเข้ม ทำให้รูปร่างของเธอดูเซ็กซี่มาก ตอนก้าวเท้าเดินยิ่งสวยเซ็กซี่มากขึ้น จนไม่มีใครสามารถละสายตาจากเธอได้
เธอเดินมาหยุดยืนข้างๆโห้หลีเฉิน ระยะห่างไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “คุณดูท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
พอเห็นชุดราตรีสีแดงที่มู่หรุงชิ่นใส่อยู่ สายตาของโห้หลีเฉินยิ่งแข็งกร้าวขึ้น
คืนนี้ ควรจะเป็นเย้นหว่านที่ใส่ชุดราตรีสีแดงยืนอยู่ข้างๆเขา แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับกล้าหนีไปได้…
“ไม่มีอะไร”
โห้หลีเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะยกไวน์ขึ้นมาดื่ม
มู่หรุงชิ่นตาเป็นประกาย หลังจากนั้น เธอก็เรียกพนักงานที่ถือถาดเครื่องดื่มเข้ามา แล้วยื่นแก้วไวน์แก้วใหม่ให้โห้หลีเฉิน
“คืนนี้แขกที่มาร่วมงานค่อนข้างเยอะ ฉันอยู่ข้างๆคุณดีกว่าค่ะ จะได้ช่วยคุณดื่มสองสามแก้ว”
“ตามใจ”
โห้หลีเฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ สำหรับเขาแล้ว งานเลี้ยงในคืนนี้ กลายเป็นงานที่น่าเบื่อไปแล้วเรียบร้อย
เขาแค่ต้องทำเหมือนปกติ นั่นก็คือยืนรอชนแก้วกับแขกที่มาร่วมงานเท่านั้น
มู่หรุงชิ่นยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนจะเดินเข้าไปอีกสองก้าว ตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ ใกล้กับโห้หลีเฉินมาก เหมือนเป็นคู่ควงของโห้หลีเฉินในคืนนี้
ในเวลาเดียวกัน ก็มีแขกเดินมาชนแก้วอวยพร
“คุณโห้ครับ เป็นเกียรติของผมมากที่มีโอกาสได้มางานวันเกิดของคุณคืนนี้ สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
ชายสูงวัยพาคู่ควงมาด้วย เขายิ้มกว้าง ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นมา
โห้หลีเฉินไม่มองหน้าคนที่ชนแก้วกับเขาแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาชนแก้วกับอีกฝ่ายจนทำให้เกิดเสียง แกร๊ง
หลังจากนั้น เขาก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว