สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 236 หยุดพัก
บทที่ 236 หยุดพัก
“คุณโห้ !”
เย้นหว่านกัดฟัน และเอ่ยปากอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงก็หนักแน่นขึ้น
เสียงที่แหลมคมราวกับดาบที่แหลมคม ทำลายบรรยากาศที่หดหู่ในห้องลง
เธอหันกลับไป แล้วมองเขาด้วยสายตาเย็นชา มุ่งมั่นจนทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บในใจ
“ระหว่างพวกเรา มันเป็นเพียงความสัมพันธ์ตามสัญญาตั้งแต่เริ่มต้น และมันจะเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบนี้เท่านั้น เวลาตามสัญญามันมาถึงตั้งนานแล้ว เมื่อกลับไปถึงเมืองเฉิงหนาน ฉันจะไปบอกคุณย่าโห้เอง ว่าพวกเราจะถอนหมั้น”
โห้หลีเฉินตัวแข็งทื่อ
เย้นหว่านพูดต่อว่า “แต่ก่อนหน้านั้น ฉันหวังว่าคุณโห้จะสามารถจัดการกับผลพวงทั้งหมดที่จะตามมาได้ และไม่ต้องการให้คุณเข้ามาแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของฉันอีก”
ทุกประโยค ก็เพื่อจะวาดเส้นแบ่งเขตกับเขาอย่างชัดเจน เพื่อผลักดันเขาให้ไกลออกไป
เฉียบขาดมากจนไม่เหลือโอกาสให้เขาแม้แต่เสี้ยวเดียวอีกแล้ว
โห้หลีเฉินจ้องมองเย้นหว่าน เห็นเพียงสีหน้าไม่แยแสของเธอ แม้กระทั่งในขณะนี้เขาก็ยังรู้สึกงุนงง ว่าหัวใจก้อนนี้ของเธอ แท้จริงแล้วทำมาจากก้อนหินหรือเปล่า
มิฉะนั้นทำไม เขาคอยประคบมานานขนาดนี้ ทำไมมันถึงไม่อุ่นขึ้นเลยล่ะ
“เธอต้องการที่จะถอนหมั้นกับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”
เสียงของโห้หลีเฉินต่ำมาก ทุกคำดูเหมือนจะหนักแน่นเป็นพิเศษ
แต่กลับดูเหมือนเป็นการใช้ไพ่ใบสุดท้ายมากกว่า
คนที่พูดออกมาก่อนอย่างเย้นหว่าน ตอนนี้กลับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ในใจคับแน่นจนน่าตระหนก
ราวกับถ้าตอบกลับไปแล้ว ทุกอย่างก็จะสูญสลายหายไปทันที
เธอรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เธอกำหมัดแน่น เย้นหว่านตอบกลับไปอย่างยากลำบากว่า “อืม” เสียงหนึ่ง
เมื่อสิ้นเสียงลง ภายในห้องก็เงียบจนน่ากลัว
โห้หลีเฉินยังคงจ้องมองเย้นหว่าน ในดวงตาสีเข้ม แสงไฟค่อยๆริบหรี่ลงทีละนิด กลายเป็นมืดมิดจนน่าใจหาย
เขายังคงยืนตัวตรง ร่างที่สูงใหญ่ราวกับถูกสาปให้เป็นหิน กลายเป็นเพียงรูปแกะสลัก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงได้เอ่ยปากอย่างแผ่วเบาและยากลำบากออกมา
“เธอไปเถอะ”
ร่างกายของเย้นหว่านสั่นสะท้านอย่างเงียบงัน
ไปเถอะ
ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือให้เธอไปแล้ว
ผลลัพธ์ที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด แต่สุดท้ายเมื่อได้มันมาแล้ว ทำไมถึงไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความผ่อนคลายและมีความสุขเลย แต่มันกลับหายใจลำบาก และอึดอัดราวกับปลาที่กำลังจะขาดน้ำเลยล่ะ
จ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาของโห้หลีเฉิน ยังคงหล่อเหลา แต่ที่น่าเศร้าคือ มันเหมือนกับมีช่องว่างระหว่างเขาและเธอที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ข้ามไปไม่ได้แล้ว
ไม่ควรมีใครต้องดิ้นรนอีกแล้ว นี่คือระยะห่างที่พวกเขาควรรักษาไว้
เย้นหว่านเก็บกักความรู้สึกที่หนักอึ้งในใจ จับราวจับของกระเป๋าเดินทางไว้แน่น จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
ย่างก้าวของเธอสับสน วุ่นวาย ราวกับกำลังวิ่งหนี
หรืออาจจะมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด เธอกลัวว่าถ้าเกิดเดินช้า เธอจะรู้สึกเสียใจภายหลัง
ดูร่างเล็กนั้นที่ลับหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของโห้หลีเฉินก็ยิ่งเศร้าหมองยิ่งๆขึ้นไปอีก ความอ่อนแอและสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับน้ำที่ท่วมล้นตลิ่ง ไหลบ่าเข้ามาปิดล้อมเขาเอาไว้
และแล้วเขาก็ไม่สามารถจับเธอเอาไว้ได้
ผลักเธอให้ไกลขึ้นและไกลขึ้นไปอีก
เมื่อออกจากห้อง เย้นหว่านก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ และเดินเข้าไปในลิฟต์
จนถึงตอนที่ประตูของลิฟต์ปิดลง ร่างกายที่แข็งทื่อของเธอถึงได้ผ่อนคลายลงมาบ้าง แต่ภายในใจกลับเหมือนถูกฉีกออกด้วยมือ แหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เจ็บปวดจนทำให้เธอเป็นตะคริวไปทั้งตัว
เธอยืนพิงผนังลิฟต์ สีหน้าซีดเผือด หอบหายใจอย่างยากลำบาก
เธอกะพริบตาช้าๆ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งดี ว่าตัวเองผลักไสอะไรออกจากตัวของเธอไป…….
ทั้งๆที่นี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม หัวใจถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้
หรือบางที มันอาจจะเป็นแค่ความเคยชิน
ภายในห้อง เงียบจนน่ากลัว
โห้หลีเฉินยังคงยืนอยู่กับที่ในท่าเดิมแบบนั้น สายตายังคงมองตรงไปที่ทิศทางของประตู
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาถึงเริ่มขยับเล็กน้อย
ระหว่างการเคลื่อนไหวเหล่านั้น เผยให้เห็นถึงสภาพของความอ่อนล้า เขากดโทรออกไปสายหนึ่ง
พูดออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เว่ยชี ไปส่งเย้นหว่านด้วย”
เนื้อหาในโทรศัพท์ท่อนนั้น ทำให้เว่ยชีรู้สึกงุนงง เย้นหว่านจะไปที่ไหนกะทันหันอีกแล้วหรือ? แถมยังต้องให้เขาไปส่งอีก
เขากำลังคิดจะถาม แต่สายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปแล้ว
เว่ยชีมองดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับมืดไป มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเรื่องราวมันไม่ปกติกันนะ
แต่เขาก็มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงอยู่เสมอ และรีบเดินไปที่ประตูทางเข้าของโรงแรมทันที ในขณะเดียวกันก็ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมไปด้วย เพื่อตรวจสอบตำแหน่งปัจจุบันของเย้นหว่าน
เย้นหว่านลากกระเป๋าเดินทางไปที่ห้องที่ตัวเองพักอยู่ เมื่อวางกระเป๋าเดินทางลง ก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะอยู่ยังไงก็ยังรู้สึกเบื่อหน่าย และอึดอัด
เธอก็เลยออกมาจากห้องอีกครั้ง ตั้งใจจะไปเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่อยู่ที่โรงแรมฟีโร่ที่ไปพักมาเมื่อคืน และถือโอกาสเช็คเอาท์ให้ฉูรั่วไป๋ด้วย
เย้นหว่านจิตใจหดหู่ ก้มหน้าเดินไปจนถึงหน้าประตู แล้วก็เห็นลัมโบร์กีนีที่คุ้นเคยของโห้หลีเฉินคันนั้น
ใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาทันที
เขากำลังจะออกไปเหรอ ? หรือว่าจะกลับไปที่เมืองเฉิงหนานกัน
เมื่อกี้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แล้วจะให้เธอเผชิญหน้ากับเขายังไง แค่เดินผ่านไปและไม่ต้องไปสนใจอย่างนั้นเหรอ
ภายในใจของเย้นหว่านกำลังคิดฟุ้งซ่านไปทั่ว ในตอนนั้นเอง ประตูด้านที่คนขับก็ถูกเปิดออก บนใบหน้าของเว่ยชีประดับไปด้วยรอยยิ้มสุภาพ แล้วเดินมาตรงหน้าของเย้นหว่าน
“คุณเย้นครับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง”
เย้นหว่านชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถึงจะรู้ตัวว่าคุณท่านโห้ไม่อยู่
หัวใจที่ถูกแขวนอยู่บนที่สูงของเธอถูกปลดปล่อยลงมา แต่กลับยิ่งเศร้าหมองกว่าเดิมอย่างน่าประหลาด
“ผู้ช่วยเว่ย ฉันเรียกรถไปเองก็ได้ค่ะ คุณไปทำงานของคุณเถอะ”
เธอคิดว่าเว่ยชีมีงานที่ต้องออกไปทำ แล้วเห็นว่าเธอออกมาพอดี เลยออกปากว่าจะไปส่งเธอด้วย
แต่เว่ยชีกลับยิ้มออกมา “คุณเย้นครับ ผมมาเพื่อจะไปส่งคุณโดยเฉพาะเลยครับ เป็นคำสั่งของคุณท่านเอง”
เย้นหว่านนิ่งอึ้งไป
คำสั่งของโห้หลีเฉิน ?
เขารู้ได้ยังไงว่าเธอจะออกไป อีกอย่าง ให้ไปส่งเธอในเวลาแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่
หรือว่า ให้ไปส่งเธอไปจากที่นี่เหรอ ให้เธอไปอยู่ที่โรงแรมฟีโร่เลยใช่ไหม จะได้ไม่ต้องอยู่ที่นี่ให้รกหูรกตาเขาอีก
ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน ไม่ต้องเห็นหน้ากันก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด…..
ในใจของเย้นหว่านยิ่งหดหู่เข้าไปอีก ทั้งตัวแข็งทื่อ “งั้นคุณรอฉันสักครู่นะ ฉันไปเอากระเป๋าเดิน…….”
“ไม่ต้องเอาแล้ว”
คำพูดของเย้นหว่านยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกฉูรั่วไป๋ที่กำลังเดินออกมาจากโรงแรมขัดจังหวะเสียก่อน
ฉูรั่วไป๋ก้าวยาวๆพุ่งมาทางเย้นหว่านอย่างรวดเร็วราวกับดาวหาง สายตาทอดมองมาทางเธอ ในดวงตาฉายแววปวดใจ และเป็นห่วง
“ในเมื่อที่นี่ยังมีห้องว่าง เธออยู่ที่นี่จะสะดวกกว่า และยังช่วยประหยัดเวลาที่จะไปทำงานด้วย ที่โรงแรมฟีโร่ไม่ต้องไปพักแล้ว เดี๋ยวฉันพาเธอไปเก็บของมาเอง”
เย้นหว่านคาดไม่ถึงว่าฉูรั่วไป๋จะมาปรากฏตัว และยิ่งน่าแปลกใจที่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้มากกว่านั้นด้วย
เธอกำลังยืนรอ และลังเลอยู่เล็กน้อย
ถึงแม้ที่นี่จะสะดวกที่สุด แต่ตอนนี้เธอกับโห้หลีเฉินอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้ว ถ้ายังอยู่โรงแรมเดียวกันอีก ยังไงก็ต้องเจอกันเข้าไม่วันใดก็วันหนึ่ง
และดูเหมือนว่าเขาจะดูความคิดของเย้นหว่านออก ฉูรั่วไป๋ก็เลยพูดต่อว่า
“ถึงแม้ว่าเธอจะไปอยู่ที่โรงแรมฟีโร่ ก็ยังต้องมาทำงานที่นี่ทุกวันอยู่ดี เข้าๆออกๆจะยิ่งทำให้ยุ่งยากมากไปกว่าเดิมเสียเปล่าๆ”
นี่คือความจริงแน่นอนอีกข้อหนึ่ง
เย้นหว่านลังเล แต่กลับไม่ได้พูดออกมาทันที
พักอยู่ที่นี่สะดวกที่สุด แต่ถ้าเกิดโห้หลีเฉินไม่ชอบใจให้เธออยู่ที่นี่ต่อไปล่ะ…..
“คุณเย้นครับ ที่คุณฉูพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย ถ้าหากคุณจะไปอยู่ที่อื่น ไปๆมาๆก็ดูจะไม่สะดวกจริงๆ ผมส่งคุณไปข้าวของกลับมาก็แล้วกันครับ”
เว่ยชีเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม
เย้นหว่านชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปที่เว่ยชีอย่างคาดไม่ถึง และรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขาไม่ใช่มาเพื่อส่งเธอให้ไปจากที่นี่เหรอ แล้วตอนนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ?