สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 240 ถือหนังสือกลับหัวแล้ว
บทที่ 240 ถือหนังสือกลับหัวแล้ว
เว่ยชีตามเข้ามาทีหลัง แล้ววางถาดลงบนโต๊ะที่อยู่ตัวเดียวในห้อง แล้วมองดูเก้าอี้ที่มีอยู่ตัวเดียวภายในห้องนี้
เขาพูดขึ้นว่า “คุณเย้นครับ ดื่มกาแฟสักหน่อยก่อนจะค่อยๆดูเถอะครับ จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย”
เท้าของเย้นหว่านหยุดชะงักลง จริงอยู่ที่วันนี้เธอสภาพสติของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชอบเผลอสติล่องลอยอยู่บ่อยๆ
ในที่สุดก็ได้พบกับหนังสือดีๆเหล่านี้ เธอจะใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองไม่ได้
ดังนั้นเย้นหว่านก็เลยเดินมาที่โต๊ะ แล้วนั่งลงดื่มกาแฟ แต่กลับสังเกตเห็นว่า บนโต๊ะมีเก้าอี้อยู่ตัวเดียว
ฉูรั่วไป๋เองก็เดินตามมา แล้วก็เห็นว่ามีเก้าอี้อยู่แค่ตัวเดียว ก็ยังดูประหลาดใจมากเหมือนกัน
เว่ยชีอธิบายด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “นี่มีไม่ค่อยมีคนมา เลยไม่ได้เตรียมเก้าอี้ไว้หลายตัวมั้ยครับ คุณฉู คุณไปยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาจากห้องข้อมูลห้องนั้นสิครับ”
ขณะพูด เว่ยชีก็ยังพูดเสริมไปอีกคำด้วยว่า “ผมยังมีธุระที่ต้องไปทำต่อแล้วตอนนี้ คงไปช่วยคุณยกไม่ได้”
ฉูรั่วไป๋กำลังคิดจะพูดว่าเขาไม่นั่งก็ได้แต่ก็ถูกหยุดไว้ตรงลำคอเสียแล้ว
เว่ยชีพูดขนาดนี้แล้ว ถ้าเขายังไม่ไปยกอีก และเขาจะดูเป็นคนขี้เกียจขนาดไหนกัน
ต่อหน้าเย้นหว่าน ฉูรั่วไป๋ไม่อยากทิ้งภาพลักษณ์แบบนั้นไว้ให้เธอจดจำ เพราะตั้งแต่วันที่เริ่มรู้จักกัน ภาพลักษณ์เพลย์บอยของเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไข้มันกลับมาได้เลย
“เสี่ยวหว่าน ฉันไปยกเก้าอี้มาก่อนนะ”
ฉูรั่วไป๋หันไปพูดกับเย้นหว่านอย่างอ่อนโยน
เย้นหว่านพยักหน้ารับ แล้วมองส่งฉูรั่วไป๋เดินจากไป จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวที่มีอยู่ในห้องนี้
“คุณเย้น ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
เว่ยชีเองก็เดินจากไปตาม แถมยังดึงประตูของห้องข้อมูลเล็กปิดให้อย่างใส่ใจ
หลังจากที่ฉูรั่วไป๋ออกมาจากห้องข้อมูลเล็ก เขาก็รีบเร่งเดินไปทางห้องข้อมูลอีกห้องหนึ่ง เขามีลางสังหรณ์ว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น รู้สึกว่าทิ้งเย้นหว่านไว้ที่ห้องข้อมูลเล็กคนเดียวแล้วไม่ปลอดภัย
เขาแทบจะล้มเลิกที่จะไปยกเก้าอี้ แล้วเดินกลับไปทั้งอย่างนี้
แต่ในเมื่อคำพูดก็พูดออกไปแล้ว ให้กลืนกลับเข้าไปก็ดูน่าขายหน้า อยู่ด้วยกันแต่เขากลับไม่มีที่นั่ง จากนิสัยของเย้นหว่านแล้ว ก็คงจะอ่านหนังสืออย่างสบายใจต่อไปไม่ได้อีก
เมื่อคำนึงถึงสภาพโดยรวมแล้ว ฉูรั่วไป๋ก็ยังจำเป็นต้องมีเก้าอีกตัวหนึ่ง
ตอนที่เขาเดินไปถึงหน้าประตูห้องข้อมูลนั้น กลับพบว่าประตูของห้องข้อมูลถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
ประตูของห้องข้อมูล ในช่วงกลางวันก็ถูกเปิดไว้อยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ
ฉูรั่วไป๋ขมวดคิ้ว แล้วยื่นมือไปบิดลูกบิดประตู แต่ประตูนี้ไม่เพียงถูกปิดไว้ แต่กลับถูกล็อกเอาไว้ด้วย
นี่มันเพิ่งแปบเดียวเท่านั้นเอง ทำไมถึงได้ถูกล็อกได้ล่ะ ?
เมื่อคิดได้ว่าเว่ยชีเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมา ฉูรั่วไป๋ก็คิดได้ทันทีว่าเว่ยชีเป็นคนลงไม้ลงมือ จงใจสินะ ?
“คุณฉู ประตูนี้ถูกล็อกไว้แล้วเหรอ ? เมื่อกี้ตอนผมเดินออกมายังเปิดไว้อยู่เลย สงสัยคงถูกลมพัดมั้งครับ”
เว่ยชีเดินเข้ามา แล้วมองดูประตูที่ถูกปิดไว้ทีหนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าไร้เดียงสา แถมยังพูดเตือนอย่างใส่ใจด้วย
“ประตูนี้เป็นประตูนิรภัย ถ้าปิดแล้วก็จะล็อกอัตโนมัติ ต้องใช้กุญแจมาเปิดถึงจะเปิดได้ ตรงแผนกบริการน่าจะมีกุญแจนะครับ ให้ผมช่วยคุณโทรเรียกให้พวกเขาเอาขึ้นมาให้ไหมครับ”
“ไม่ต้อง”
ฉูรั่วไป๋เองก็ไม่อยากปฏิเสธ แต่จากสัญชาตญาณของผู้ชาย เขาก็รู้สึกว่าเว่ยชีไม่ได้มีเจตนาดี
ให้เขาโทรไปขอกุญแจ แล้วกุญแจจะเอาขึ้นมาได้ไหม
“ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก คุณไปทำธุระของคุณเถอะ ผมจัดการเองก็ได้”
“ครับ ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วย ก็โทรบอกผมก็ได้นะครับ”
เว่ยชีพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มจนจบ ก่อนจะเดินไปจากฉูรั่วไป๋ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแค่เปลือกนอกแต่ภายในไม่ยิ้ม
ฉูรั่วไป๋จ้องแผ่นหลังของเว่ยชีเขม็ง รู้สึกแค่ว่าผู้ช่วยคนนี้ ทำไมถึงได้น่ารังเกียจเหมือนเจ้านายของเขาไม่มีผิด
เขาไม่ได้มีเบอร์โทรศัพท์ของเว่ยชีด้วยซ้ำ แล้วจะโทรหาเขาได้ยังไง
ก็แค่จงใจพูดเพื่อยั่วโมโหเขาชัดๆ
ฉูรั่วไป๋มีแต่เพลิงโกรธจัดแน่นอยู่เต็มท้อง รีบร้อนโทรไปที่แผนกต้อนรับของโรงแรม
แผนกต้อนรับกล่าวอย่างสุภาพว่าส่งกุญแจขึ้นมาให้โดยเร็ว ฉูรั่วไป๋ก็เลยยืนรออยู่ที่หน้าประตู
และในมุมหนึ่งของริมทางเดิน เว่ยชีที่ยืนฟังบทสนทนาในโทรศัพท์ของ ฉูรั่วไป๋เข้าไป ก็เผยรอยยิ้มที่ไร้ความปรานีออกมา
เขาพึมพำเสียงเบา “คุณชายฉู ค่อยๆรอไปเถอะ”
ในห้องข้อมูลเล็ก
เย้นหว่านจิบกาแฟไปสองคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาหาหนังสือต่อ
หนังสือหลายเล่มที่นี่เป็นของล้ำค่า ปกติแล้วเธอไม่เคยหาเจอเลย จู่ๆเธอก็เหมือนได้รับยากระตุ้น และอยากจะให้ตัวเองมีตาอยู่สักร้อยคู่ จะได้อ่านหนังสือพวกนี้ให้หมดได้
แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับ 9Q
เย้นหว่านอดทนต่อแรงปรารถนาที่จะหอบหนังสือเหล่านี้ออกไปทั้งหมด แล้วเดินเข้าไปข้างใน แล้วก็เจอโซนที่เกี่ยวกับ 9Q
ตาของเธอเปล่งประกายขึ้นทันที แล้วเดินเข้าไปอย่างดีอกดีใจ
แต่ตอนที่เธอเดินเข้าไปถึง ก็ต้องหยุดชะงักไป เพราะตกตะลึงที่พบว่าตรงหน้าชั้นหนังสือมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่
ชายหนุ่มสวมสูทลายทางสีดำเข้ม ความสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเขาทำให้เขาดูสูงเพรียวเป็นพิเศษ ทั้งสูงส่ง เพียงแค่เงาด้านข้าง ก็หล่อเหลาจนแทบจะทำให้คนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งได้แล้ว
เขายืนหันข้าง ในมือถือหนังสืออยู่แล้วหนึ่ง และกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านมันอยู่
ใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบราวกับใบมีด ปรากฏต่อหน้าสายตาของเย้นหว่าน ท่าทางที่จริงจังและมีสมาธิ มันดูดีเหมือนภาพวาดที่ทำให้เวลาหยุดนิ่งได้เลย
เย้นหว่านรู้สึกเหมือนว่าแม้แต่การเต้นของหัวใจก็ถูกหยุดลง เผลอมองเขาจนสติหลุดลอยไปไกล
ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตได้ว่ามีผู้มาเยือน ชายหนุ่มก็เลยเงยหน้าขึ้นมา แล้วหันไปมองเย้นหว่าน สายตาเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง
“เย้นหว่าน เธอมาที่นี่ได้ยังไง”
เสียงทุ้มต่ำไพเราะเสนาะหู งดงามราวกับท่วงทำนองซิมโฟนีของไวน์ชั้นเลิศ
ตอนนั้นเองเย้นหว่านถึงได้ดึงสติกลับมาได้ และหน้าแดงขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อกี้เธอจ้องเขาจนเผลอเคลิ้มไป น่าขายหน้าที่สุดเลย
เธอรีบร้อนอธิบายว่า “ฉัน ฉันมาที่นี่เพื่อหาข้อมูล”
“อืม”
โห้หลีเฉินตอบรับไปเสียงหนึ่ง แล้วดึงสายตากลับไปอยู่บนหนังสือ แล้วอ่านหนังสือต่อ
ดูเหมือนว่ามันจะน่าสนใจมาก ในบรรยากาศเงียบสงบ ทำให้คนลังเลจนไม่กล้าที่จะขัดจังหวะ
เดิมทีเย้นหว่านอยากจะถามว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ก็ถูกกลืนกลับไปแล้ว
ในใจของเธอรู้สึกแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย มองดูโห้หลีเฉินในมุมนี้ ช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน แต่กลับไม่เหมือนสิ่งที่เธอเคยพูดเอาไว้ กลับยิ่งดูห่างเหิน
ห่างเหิน ถึงจะดีไม่ใช่เหรอ
เย้นหว่านปลอบใจตัวเอง พยายามอดกลั้นความรู้สึก แล้วเบี่ยงเบนสายตาไปจากตัวของโห้หลีเฉินอย่างยากลำบาก หันกลับไปหาหนังสือต่อ
บนชั้นหนังสือเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ 9Qทั้งหมด หนังสือส่วนมากสำหรับเย้นหว่านแล้ว ต่างก็มีคุณค่าทั้งหมด
แต่ในที่ๆไม่ไกลจากนี้กลับมาโห้หลีเฉินยืนอยู่ แม้ว่าเขาจะเงียบก็ตาม แต่ความมีตัวตนของเขากลับไม่ได้ต่ำเลย ทำให้ใจของเย้นหว่านเริ่มเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ สงบใจไม่ได้เลย
จะมายืนดูข้างๆเขาแบบนี้ไม่ได้
สายตาของเย้นหวานกวาดผ่านชั้นหนังสืออย่างรวดเร็ว เลือกหนังสือที่เธอกำลังต้องการที่สุด หลังจากหาได้สองเล่มแล้ว เล่มที่สาม กลับถูกวางไว้อย่างเงียบเชียบอยู่ตรงหน้าของโห้หลีเฉิน
เธออยากเข้าไปหยิบ และเตรียมที่จะบอกกับเขา ให้เขาช่วยหลบไปหน่อย
แต่เห็นว่าโห้หลีเฉินกำลังอ่านหนังสือเงียบๆ เย้นหว่านก็พูดไม่ออก อีกอย่าง ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดคุยกันแบบดีๆมาหลายวันแล้ว
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เย้นหว่านก็ยอมตัดใจ ตัดสินใจว่าจะยังไม่ดูหนังสือเล่มนั้น
เธอกอดหนังสือสองเล่มในอก จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะตัวเดียวที่มีอยู่ในห้องนี้ แล้วนั่งลง อ่านหนังสือ
แต่เมื่อเปิดหนังสือออก ใจของเธอก็ยังไม่สงบนิ่ง ความสนใจดูเหมือนว่าจะลอยไปอยู่ที่ตัวโห้หลีเฉินอย่างควบคุมไม่ได้
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ?
ดูเหมือนเขาจะไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานออกแบบเลย แล้วทำไมถึงได้มาดูหนังสือออกแบบ ?
หรือว่าเพื่อมาหาเธอเหรอ ? แต่เมื่อกี้เขาก็ดูเหมือนไม่ได้ต้องการจะคุยกับเธอเลยนี่นา
ในใจของเย้นหว่านคิดฟุ้งซ่านไปหมด ในตอนนั้นเอง ด้านหน้าก็มีเสียงทุ้มต่ำอันไพเราะของชายหนุ่มดังขึ้นมา
“เธอถือหนังสือกลับด้านน่ะ”
เย้นหว่านตื่นตกใจขึ้นมาทันที รีบร้อนก้มดูหนังสือที่กางอยู่ตรงหน้าของตัวเอง แล้วก็เห็นว่าหนังสือมันกลับหัวอยู่จริงๆ
แล้วเธอยังเปิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่หลายหน้า
นี่เธอกำลังดูอะไรอยู่กันแน่ !
เย้นหว่านอายจนหน้าแดงก่ำ แล้วก็อ้างออกมาด้วยความหัวเสีย “ฉันรู้แล้ว”
ไม่ต้องเงยหน้าขึ้น ก็รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คือโห้หลีเฉิน เรื่องน่าขายหน้าแบบนี้ยังถูกเขาเห็นเข้าแล้ว ตอนนี้เธอแทบจะไม่น่าจะเงยหน้ามองเขาด้วยซ้ำ