สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 291 หลบหน้า
บทที่ 291 หลบหน้า
หกคำนี้ ตอนที่พวกเธอเริ่มต้น เย้นหว่านกำลังรอ
ตอนนี้ได้ยินเขาพูดขนาดนี้มากะทันหัน เย้นหว่านกลับไม่ได้ดีใจแบบที่จินตนาการไว้ แต่ทว่ามีความเสียใจที่พูดไม่ออกบางอย่าง
เธอเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
โห้หลีเฉินมองเธออย่างเย็นชา ในริมปากบางพ่นคำว่า “เย้นหว่าน เธอไร้หัวใจจริงๆ”
ทิ้งไม่กี่คำนี้ที่ความหมายลึกซึ้งเอาไว้ เขาหมุนตัว สะบัดประตูออกไป
จนกระทั่งโลกเปลี่ยนมาเงียบสงบ เย้นหว่านยังตะลึงอยู่ที่เดิม ตั้งนานก็ยังไม่ได้สติกลับมา
ตรงหน้านั้น เป็นแววตาที่หนาวเย็นของชายหนุ่มที่จากไป คำพูดของเขาสะท้อนอยู่ข้างหูไม่ขาด
“ในเมื่อนี่คือสิ่งที่เธอเลือก ได้ ฉันจะทำให้เธอสมหวัง”
“แบบที่เธอหวัง ถอนหมั้น”
“เย้นหว่าน เธอไร้หัวใจจริงๆ”
แต่ละคำแต่ละประโยค ล้วนเผยความผิดหวังใจห่อเหี่ยวของชายหนุ่ม ทั้งยังมีความเด็ดขาด
ในที่สุดเธอก็บีบเขาไปได้สำเร็จแล้ว
ในใจเย้นหว่านยากลำบาก ทั้งรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรจะเสียใจ
นี่คือสิ่งที่เธอเลือกเอง ตัดสินใจเอง ไม่ใช่เหรอ?
ในห้อง กู้จื่อเฟยได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ผลักประตูห้องเปิดเบาๆ เดินออกไป
มองเย้นหว่านยืนอยู่ตรงนั้น รูปร่างเรียวบางราวกับคนพเนจร หล่อนเดินเข้าไปจับมือเธอไว้ ถามด้วยความห่วงใย
“เสี่ยวหว่าน เธอไม่เป็นไรนะ?”
ความจริงไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน?
แต่ตอนนี้หล่อนหาคำพูดอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
เย้นหว่านได้สติคืนมา มุมปากแข็งทื่อโค้งๆ “วางใจได้ ฉันไม่เป็นไร”
ถึงแม้ปวดใจ แต่ขอเพียงผ่านสองสามวันนี้ไปได้ก็ดีแล้ว
เธอกับโห้หลีเฉิน เดิมทีเป็นไปไม่ได้ เจ็บยาวนานไม่สู้เจ็บสั้นๆ ผลลัพธ์ของตอนนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด
กู้จื่อเฟยมองเย้นหว่านด้วยความเป็นห่วง เม้มริมฝีปากเล็ก กล่าวขอโทษ
“เสี่ยวหว่าน เรื่องในคืนนั้นฉินฉู่เป็นคนเห็นเข้าแล้ว ขอโทษนะ”
เย้นหว่านไม่โทษใครอื่น เธอมองกู้จื่อเฟย “จื่อเฟย ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ฉันจะไปนอนแล้ว เธอก็รีบนอนเหมือนกัน”
พูดจบ เธอหมุนตัวเดินเข้าห้อง ขึ้นเตียงนอน
กู้จื่อเฟยยังอยากปลอบใจ แต่หล่อนเข้าใจเวลานี้ไม่ว่าพูดอะไรต่างไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้เย้นหว่านว้าวุ่นใจ
หล่อนทำได้เพียงปิดไฟลง เข้าห้องไปเสียงเบาๆ พยายามไม่ไปรบกวน
กลางคืน อึมครึมและเงียบเหงา
นอนไม่หลับเป็นแน่
ตอนเช้าวันต่อมา เย้นหว่านยังอยู่บนเตียง ได้รับข่าวการพักผ่อนหนึ่งอาทิตย์จากบริษัท
พอดีกับตอนนี้เธอสภาพย่ำแย่ ไม่เหมาะกับการทำงาน เธอปิดมือถืออย่างสงบ ขดอยู่ในผ้าห่มต่อไป
เธอรู้สึกมาโดยตลอด สิ่งที่เธอต้องการคือออกห่างโห้หลีเฉินให้ถึงที่สุด แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเธอจะเสียใจ ปวดใจ
ปวดใจถึงขั้นที่หายใจลำบาก ปวดใจถึงขั้นนอนไม่หลับทั้งคืน ปวดใจถึงขั้นไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจทำเรื่องใดๆ……
เหมือนมีอะไรหลุดออกจากบนตัวเธออย่างนั้น
เย้นหว่านไม่เข้าใจมากจริงๆ เธอควบคุมความรู้สึกของตนเองตลอดมา ไม่หวั่นไหวต่อโห้หลีเฉิน
ทำไมยังเดินมาถึงจุดนี้ได้?
สองคืนหนึ่งวันเต็มๆ เย้นหว่านอยู่ในห้อง ไม่ได้ออกไป
ตอนเช้าวันต่อมา
กู้จื่อเฟยตอนที่ลุกจากเตียง เห็นประตูห้องเย้นหว่านยังปิดไว้ อดเริ่มกังวลไม่ได้
เมื่อวานหล่อนรู้ว่าเธอเสียใจ จึงจงใจไม่ไปรบกวน แต่เป็นแบบนี้ต่อไปอีก ร่างกายคงรับไม่ไหว
กู้จื่อเฟยคิดอยู่ ก็ไปทำบะหมี่ที่ห้องครัว คิดจะเข้าไปเรียกเย้นหว่าน
แต่เกินคาด ยังต้มบะหมี่ไม่เสร็จ เสียง “แกร๊ก……” เสียงเปิดประตูดังขึ้น
กู้จื่อเฟยมองเข้าไป เห็นเพียงเย้นหว่านเดินออกมาจากด้านในห้อง ใส่เสื้อผ้าธรรมดา บนหน้าไม่มีเครื่องสำอาง นอกจากซูบผอมไปหน่อยก็ดูไม่ออกว่ามีตรงไหนไม่ดี
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งทำให้คนกังวล
“เสี่ยวหว่าน เธอไม่เป็นอะไรจริงเหรอ?”
เย้นหว่านมองเห็นสายตาที่พินิจพิเคราะห์ของกู้จื่อเฟย หัวเราะเบาๆ เดินเข้าไปนั่งบนโซฟา “อืม ถึงแม้จะลำบากใจอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็คงผ่านไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”
กู้จื่อเฟยฟังเธอบอกแบบนี้ ถึงวางใจลงมา
ถ้าเธอบอกว่าไม่เสียใจเลยสักนิด หล่อนถึงควรเป็นห่วง
โล่งอกมาทีหนึ่ง หล่อนพยักหน้าพูด
“นี่ก็ถูกแล้วมั้ย นั่งรอดีๆ คุณหนูใหญ่ต้มบะหมี่ใกล้ออกจากเตาแล้ว รับรองว่าปลุกความอยากอาหารของเธอได้แน่!”
“ได้ นั่งรอบะหมี่ของคุณหนูใหญ่กู้” เย้นหว่านตอบรับอย่างให้ความร่วมมือ
เธอขอบคุณสวรรค์มากจริงๆ ที่ให้เธอครอบครองเพื่อนแบบกู้จื่อเฟยคนหนึ่ง ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หล่อนล้วนอยู่เคียงข้างกายเธอ ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นกับเธอ
หลายปีขนาดนี้ ไม่เคยเปลี่ยนเลย
กู้จื่อเฟยยกบะหมี่เข้ามาด้วยน้ำใสใจจริง วางบนโต๊ะ ชมเชยอย่างหลงตนเอง
“ดูๆ หน้าตาดูดีมากใช่รึเปล่า?”
เย้นหว่านมองเข้าไป เป็นบะหมี่บ้านๆ ที่ธรรมดา แต่เครื่องปรุงใส่เรียบร้อย น้ำซุปแดงๆ ไม่มันสักนิด ด้านบนยังมีต้นหอมสับเขียวๆ ลอยอยู่ หน้าตาไม่เลวจริงๆ ด้วย
“อืม ฝีมือเหมือนจะก้าวหน้าแล้ว”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว รีบชิมดูสิ รสชาติดีแบบหน้าตารึเปล่า!” กู้จื่อเฟยยื่นตะเกียบไปให้อย่างทนไม่ไหว
ความจริงเย้นหว่านไม่มีความอยากอะไรจริงๆ แต่กู้จื่อเฟยตั้งใจต้มบะหมี่เพื่อเธอ แถมยังห่วงใยเธอขนาดนี้อีก เธอไม่สามารถหมดกำลังใจได้
เธอรับตะเกียบมา คีบบะหมี่ใส่เข้าในปาก
หลังชิมรสชาติ เย้นหว่านชะงักวินาทีหนึ่ง
“เป็นอะไรเหรอ? คงไม่ใช่ไม่อร่อยมั้ง?” กู้จื่อเฟยทั้งแปลกใจทั้งสงสัย
เย้นหว่านพยายามกลืนบะหมี่ในปากลงไป ส่ายๆ หน้า บอกว่า
“ไม่ใช่ อร่อยมากเลย ไม่เชื่อเธอชิมดู”
กู้จื่อเฟยถึงวางใจลงมา พร้อมนั่งลงบนโซฟา เริ่มทานบะหมี่ด้วยอารมณ์คึกคัก
แต่ทว่าวินาทีนั้นที่เส้นบะหมี่เข้าปาก ชั่วขณะนั้นหน้าหล่อนก็เปลี่ยนไป
“แหวะ!” หลังคายบะหมี่กลับไปในชาม หล่อนบ่นขึ้น “ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ตอนที่เธอออกมา พอฉันใจลอย เลยเทเกลือไปเพิ่มแน่ๆ! เค็มจะตายแล้ว”
เย้นหว่านมองท่าทางหล่อนระทมทุกข์มาก อดหัวเราะไม่ได้
กู้จื่อเฟยหันหน้ามองเธอ เห็นเธอกำลังหัวเราะ รีบวางตะเกียบลง กดทับเธอลงบนโซฟา จับเธอจักจี้
“เสี่ยวหว่าน ใครให้เธอร้าย ให้เธอไม่พูดความจริง!”
“อ่า รีบปล่อยฉัน จื่อเฟยฉันผิดแล้ว~~ผิดแล้วยังไม่พอเหรอ?”
……
หนึ่งอาทิตย์ที่พักร้อน เย้นหว่านล้วนอยู่ในบ้านของกู้จื่อเฟย
ช่วงเวลาส่วนใหญ่กู้จื่อเฟยก็อยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนเธอ หยอกล้อเธอให้มีความสุข
หลายวันต่อมา อารมณ์ของเย้นหว่านดีขึ้นมากมาย
เช้านี้ “เสียงกริ่งมือถือดังขึ้น “กริ๊งๆๆ”
เย้นหว่านยังสะลึมสะลือ ง่วงมาก คลำหามือถือ ไม่ได้มองคนที่โทรมา รับไปโดยตรง
“ฮัลโหล?”
“เสี่ยวหว่าน หนูนอนอยู่เหรอ?” ในมือถือเสียงที่อ่อนโยนน่าเคารพลอยมา
เย้นหว่านตะลึงนิดหน่อย ชั่วขณะนั้นก็ตอบสนองเข้ามา เป็นเสียงของคุณย่าโห้หลีเฉิน
ความง่วงของเธอหายไปหมด รีบนั่งตัวตรง พูดอย่างมีมารยาท
“อืม วันนี้สุดสัปดาห์ ปกติหนูจะตื่นสายค่ะ”
จูเหลียนอีงหัวเราะแล้ว ยิ่งชอบเย้นหว่านขึ้นอีก
ผู้หญิงคนอื่นเหล่านั้น นอนตื่นสายยังอยากปิดปัง แสร้งหาข้ออ้างมากมาย
ยังเป็นเย้นหว่านแม่หนูคนนี้ที่ทำให้คนอื่นชอบ
หล่อนเอ่ยปากอย่างเมตตา “เสี่ยวหว่าน หนูกลับมาได้นานมากแล้ว วันนี้เป็นสุดสัปดาห์พอดี กลับมาสักหน่อยเถอะ”
ได้ยินแบบนี้ รอยยิ้มบนหน้าเย้นหว่านแข็งทื่อ ยังมึนงงอยู่บ้าง
โห้หลีเฉินยังไม่ได้บอกคุณย่าเรื่องถอนหมั้นเหรอ?
นี่ทำให้เย้นหว่านลำบากใจ
ที่ผ่านมาจูเหลียนอีงดีต่อเธอมาก เธอก็ชอบจูเหลียนอีงที่อ่อนโยนน่าเคารพด้วย
แต่กลัวเวลานี้จูเหลียนอีงยากจะยอมรับได้ เย้นหว่านยังหาข้ออ้างที่อ้อมค้อม
“คุณย่าคะ ขอโทษค่ะ สุดสัปดาห์นี้หนูกับเพื่อนสนิทนัดกันจะไปเดินช็อปปิ้งแล้ว ยังต้องทำธุระอย่างอื่นด้วย คงเข้าไปไม่ได้ค่ะ หวังว่าคุณจะให้อภัย”
ในคำพูดของเธอแฝงด้วยคำที่เกรงใจมากมาย
จูเหลียนอีงในสายนั้นลำบากใจมากที่ไหนกัน? พูดอย่างผิดหวังพอสมควร จากนั้นวางสายโทรศัพท์ไป
เย้นหว่านวางมือถือด้วยอารมณ์หนักหน่วง รู้สึกผิดต่อจูเหลียนอีงบ้าง
โดยเฉพาะจูเหลียนอีงเป็นผู้อาวุโสที่จิตใจดีคนหนึ่ง