สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 311 ขอให้เวลานี้ยาวนาน
บทที่ 311 ขอให้เวลานี้ยาวนาน
ด้านในห้องที่มืดสลัวเงียบสงบ มีเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ คล้ายจมสู่ท่ามกลางการนอนหลับลึก
ช่วงเวลากลางดึก
ดวงตาของโห้หลีเฉินค่อยๆ ลืมขึ้น มองความมืดมิดตรงหน้า เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งมา สายตามองผ่านความมืดไป มองเห็นกองเล็กๆ บนโซฟานั้น
เธอหลับสนิทมาก
ช่วงกลางคืนสองวันนี้ เพราะอาการบาดเจ็บทำให้นอนหลับไม่สนิท กลางดึกยังต้องการดื่มน้ำ ล้วนแล้วแต่ให้คนที่มาเฝ้าไข้เทให้ แต่พอว่าเห็นคนเฝ้าไข้กลายเป็นเย้นหว่าน……
เขานิ่งแวบหนึ่ง เกือบจะไม่ได้ครุ่นคิดแต่อย่างใด ดึงผ้าห่มออกอย่างเบามากๆ เตรียมลงจากเตียง
แต่พอเขาพึ่งขยับ เสียงงัวเงียของหญิงสาวก็ดังขึ้นมา
“มีอะไรเหรอ?”
ตามมาด้วยเสียงพูดจา แวบเดียวเย้นหว่านลงมาจากบนโซฟา เดินไปที่ข้างกายของโห้หลีเฉินท่ามกลางความมืด
เธอมองเห็นโห้หลีเฉินลุกขึ้นนั่ง จึงรีบขวางไว้ด้านหน้าเขาทันที
“คุณอยากเข้าห้องน้ำเหรอ?”
ในความมืดมิด มองหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัด แต่โห้หลีเฉินกลับจ้องเค้าโครงของเธอตรงๆ
เขาแปลกใจมาก “ยังไม่ได้หลับ?”
“หลับไปแล้ว” เย้นหว่านส่ายหน้า ครุ่นคิดว่าต้องเปิดไฟหรือไม่
โห้หลีเฉินถามอีก “งั้นเธอตื่นได้ยังไง? เมื่อก่อนเธอหลับดีมาก”
“คุณได้รับบาดเจ็บ ฉันไม่กล้าหลับลึก”
เย้นหว่านตอบอย่างเป็นธรรมชาติมาก ราวกับนี่เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นเช่นนั้น
ทว่ากลับทำให้หัวใจของโห้หลีเฉินสั่นเทาอย่างแรง มองผู้หญิงตรงหน้าแบบคาดไม่ถึง
นี่คือเธอห่วงใยต่อเขาเหรอ?
เย้นหว่านเห็นโห้หลีเฉินไม่พูดอะไรตั้งนาน ชั่วขณะนั้นสับสนนิดหน่อย “คุณเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า? เดี๋ยวฉันไปเรียกหมอเข้ามา”
พูดอยู่ เย้นหว่านอยากวิ่งออกไปข้างนอก กลับถูกฝ่ามือใหญ่ที่กว้างหนาข้างหนึ่งคว้าที่ข้อมือไว้
เธอตะลึงค้าง
โห้หลีเฉินมองเธอผ่านความมืดไปตรงๆ เสียงทุ้มต่ำ “ฉันแค่อยากดื่มน้ำ”
เย้นหว่านถึงโล่งอกไปทีหนึ่ง ขอเพียงเขาไม่ได้เจ็บตรงไหนก็พอ
เธอรีบบอกไป “คุณรอเดี๋ยวนะ ฉันจะรีบเทน้ำมาให้คุณ”
ไม่นานเย้นหว่านก็เทน้ำอุ่นแก้วหนึ่งจากในห้องครัวเข้ามา เธอใส่น้ำนี้เข้าไปในแก้วเก็บอุณหภูมิไว้ล่วงหน้า สามารถรักษาอุณหภูมิไว้ได้สิบสองชั่วโมง น้ำที่เธอนำมากำลังพอเหมาะ
เธอยืนอยู่ข้างเตียง นำน้ำยืนให้เขา ขณะเดียวกันพูดว่า
“คุณอยากทำอะไร เรียกฉันก็พอ ไม่ต้องลงมาเองหรอก”
ถ้าเมื่อสักครู่เธอไม่ตื่น เขาคงไม่ได้จะเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาน้ำดื่มเองเหรอ? เช่นนั้นร่างกายของเขาคงรับไม่ไหว
เห็นลักษณะที่เคร่งขรึมจริงจังของเย้นหว่านแบบนั้น หัวใจของโห้หลีเฉินเหมือนโดนขนนกปัดผ่านเบาๆ สั่นไหวเป็นช่วงๆ
เขายกมือนำผ้าห่มที่เธอพึ่งคลุมให้เขาเรียบร้อยดึงออกมุมหนึ่ง ตบๆ ตำแหน่งด้านข้าง
“ขึ้นมา”
เย้นหว่านตกใจ “หา?”
“ฉันหนาวนิดหน่อย”
ดังนั้นจึงต้องการใครสักคนมาทำให้ร่างกายอบอุ่น?
เย้นหว่านมึนงงสักพัก พูดโดยจิตใต้สำนึก “ฉันจะเพิ่มผ้าห่มให้คุณผืนหนึ่ง”
โห้หลีเฉินพูดเสียงทุ้ม “ฉันคลุมหนักไปไม่ได้ จะทับบาดแผลเอา”
“งั้น……เครื่องปรับอากาศ?”
“อากาศแห้งแล้งไม่ดีต่อการฟื้นตัวของบาดแผล”
เย้นหว่าน “……”
ดูเหมือนมีเหตุผลขนาดนี้ ดังนั้นใช้คนให้ความอบอุ่นเหมือนจะเป็นทางที่ดีที่สุด
แต่พอมองตำแหน่งด้านข้างของโห้หลีเฉินที่ไม่เล็กไม่ใหญ่นั้น แก้มเย้นหว่านปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นชั้นหนึ่ง
ตอนที่ยังไม่เข้าใจความคิดของตนเองก่อนหน้านี้ก็ยังดี คิดเพียงว่านอนด้วยกันเป็นโห้หลีเฉินที่เอาเปรียบเธอ ใช้ใจปกติฝืนบังคับรับมือ แต่ตอนนี้รู้หัวใจของตนเองแล้ว นอนด้วยกันกับโห้หลีเฉินอย่างสนิทแนบชิดขนาดนี้……
ในใจของเย้นหว่านเหมือนกดมอเตอร์น้อยไว้เลย เต้นตุบๆๆ ไม่หยุด
ในความมืด โห้หลีเฉินมองท่าทางของเย้นหว่านไม่ชัด แต่สามารถรับรู้ถึงความลังเลและพัวพันของเธอได้
ชั่วขณะหนึ่งความสดใสบนหน้าตาเขามืดหม่นลงมา เขาหน้าตาอึมครึม “ไม่ยินยอมก็ช่างเถอะ”
พูดอยู่ เขาอยากดึงผ้าห่มกลับคืนไป
“ฉันยินยอม ยินยอม”
เย้นหว่านแทบไม่ต้องคิดทั้งนั้น แวบเดียวก็กระโดดขึ้นเตียงแล้ว
ความเร็วของเธอค่อนข้างไวนิดหน่อย ไม่ได้ควบคุมระยะให้เหมาะ แวบหนึ่งร่างกายน้อยๆ ก็ติดอยู่ด้วยกันกับโห้หลีเฉิน
แขนที่เขาอ้าออกเหมือนนำเธอมากอดไว้ในอ้อมอก
ชั่วขณะนั้นเย้นหว่านรู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ตามมาด้วยกลิ่นยาอ่อนๆ เต็มเปี่ยมอยู่ภายในอวัยวะสัมผัสของเธอ ทำให้ชั่วขณะนั้นร่างกายของเธอตึงแน่นด้วยความประหม่า
แก้มของเธอแดงขั้นหนัก เสียงเล็กเหมือนเสียงยุง
“ขอ ขอโทษค่ะ โดนคุณเข้ารึเปล่า? ฉันจะขยับไปด้านข้างหน่อย”
เธอกำลังขยับไปขอบเตียงที่แคบเล็ก เวลานี้แขนของชายหนุ่มพาดลงมากะทันหัน โอบเอวของเธอเอาไว้
เสียงที่ทุ้มต่ำของเขาลอยมาจากด้านบนศีรษะของเธอ “อย่าขยับมั่วๆ แบบนี้กำลังดี”
ชั่วขณะนั้นเย้นหว่านไม่กล้าขยับแล้ว หัวใจเต้นเร็วเป็นเท่าตัว
ตำแหน่งนี้ เธอแทบสามารถได้ยินเสียงหัวใจของโห้หลีเฉินเต้น มั่นคงมีพลัง แต่กลับค่อนข้างเร็วกว่าปกตินิดหน่อยขนาดนั้น
บางทีความจริงเป็นเธอประหม่าเกินไป หัวใจเต้นเร็วเกินไป ถึงคิดว่าคนอื่นเขาจะเร็วด้วยล่ะมั้ง?
แก้มเย้นหว่านแดงฉ่ำ ก้มศีรษะอยู่ ราวกับเป็นกุ้งต้มสุกตัวหนึ่ง ยังรู้สึกตื่นเต้นกว่าครั้งไหนๆ ที่ถูกโห้หลีเฉินโอบกอด และสับสน
แต่ยิ่งงดงามเพิ่มขึ้น และอาลัยอาวรณ์
เหมือนว่าแต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยขจัดอ้อมกอดของเขาออกได้เลย และตอนนี้ยังชอบใกล้ชิดกับเขา
นี่คือคนรักที่สนิทสนมกันเหรอ?
เย้นหว่านคิดเพ้อเจ้ออยู่ โห้หลีเฉินก็ไม่ได้ดีไปถึงไหนเช่นกัน
เดิมทีมีความคิดที่ตั้งไว้ว่าอยากจะรักษาระยะห่างกับเธอ แบ่งความสัมพันธ์ชัดเจน แต่พอเห็นร่างน้อยๆ ของเธอยืนอยู่ข้างเตียงอย่างหนาวยะเยือก เขาก็ทนไม่ไหวทำเรื่องที่ไม่อยู่ในการควบคุมออกไป
กอดร่างน้อยในอ้อมอก เขารู้สึกว่าตนเองใกล้บ้าแล้ว
นี่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทรมานตนเอง กำลังเล่นกับไฟ กำลังท้าทายแรงควบคุมตนเองที่ไม่พอมือ แต่……แขนของเขากลับกอดเธอไว้ ไม่ยินยอมปล่อยออกเลยสักนิด
อย่างน้อยคืนนี้กอดเธออีกครั้งเถอะ
ในความมืดมิด บรรยากาศเงียบสงัด ทั้งสองคนกอดกันต่างรับความอุ่นของแต่ละฝ่าย แต่ละอกมีหัวใจดวงหนึ่งเต้นขยับไม่หยุด
รู้ว่าอาการบาดเจ็บของโห้หลีเฉินรุนแรง เย้นหว่านที่อยู่ในอ้อมอกของโห้หลีเฉิน เดิมทีไม่กล้ายับมั่วสักนิด กลัวจะไปชนบาดแผลของเขาเข้า
แต่ก็กังวลว่าเขายังจะหนาว
โดยเฉพาะคนไข้บางส่วนจะมีแรงต้านทานของร่างกายลดลง ดังนั้นถึงจะรู้สึกหนาวสารพัด ถ้าไม่รักษาความอุ่นให้ดี จะอาการหนักขึ้นอีก
เธอพูดเสียงเบาๆ เหมือนพึมพำ “ยังหนาวอยู่มั้ย?”
“ไม่หนาว”
เสียงของโห้หลีเฉินต่ำมากๆ
เย้นหว่านถึงค่อยๆ วางใจมานิดหน่อย ลังเลสักพัก แล้วขยับแขนด้วยความระมัดระวัง จากนั้นโอบที่เอวของโห้หลีเฉินไว้เบาๆ
ร่างกายของชายหนุ่มแข็งทื่อฉับพลัน
เย้นหว่านสีหน้าแดงมาก “แบบนี้จะได้อุ่นขึ้นหน่อย”
เป็นความอบอุ่นที่เหมือนแมกมาที่ร้อนแผดเผาไหลผ่านหัวใจของเขา เกือบทำให้เขาไม่มีทางควบคุมตนเองได้
ความห่วงใยที่เธอมีต่อเขา รุกต่อเขาก่อน สำหรับเขานั้น ยิ่งเหมือนเป็นยาพิษเอาชีวิต
โห้หลีเฉินร่างกายตึงแน่นอยู่ ไม่ได้พูดอะไรอีก
สวรรค์รู้ว่าเขาอยากขยี้เย้นหว่านในอ้อมอกตนเองมากแค่ไหน แกะเธอเข้ากระดูกและเลือดตนเอง ทำให้ชาตินี้เธอไม่สามารถจากเขาไปได้สักก้าว
ในอกของชายหนุ่มอุ่นมาก กลิ่นอายที่คุ้นเคยนั้นทำให้คนจิตใจสงบ ในใจเย้นหว่านเหมือนมีกระต่ายน้อยอยู่ตัวหนึ่ง เต้นๆ อยู่ แล้วก็หลับไป
พอนอนหลับแล้ว เธอเหมือนกำลังฝันหวานด้วย
ในความฝัน ปรารถนาให้ทุกอย่างในช่วงเวลานี้อยู่ไปเนิ่นนาน