สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 371 ฉันสามารถตามหาเย้นหว่านได้
บทที่ 371 ฉันสามารถตามหาเย้นหว่านได้
แต่ตอนนั้นรั่วถองตกหลุมรักโห้มู่เจียง จนทะเลาะใหญ่โตกับทางครอบครัว เธอหนีออกจากบ้าน หนีไปกับโห้มู่เจียง
พวกเขาอยู่อย่างมีความสุขได้ไม่กี่ปี หลังจากที่คลอดโห้หลีเฉินได้ไม่นาน หยูรั่วถองกลับป่วยขึ้นมา
โห้มู่เจียงหาวิธีการรักษาทุกวิถีทางแล้ว แต่ท้ายสุดก็ช่วยหยูรั่วถองไว้ไม่ได้ แล้วโรคนี้ ยังสืบทอดพันธุกรรมไปยังโห้หลีเฉินอีกด้วย
โห้หลีเฉินเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหยู ถ้าหากเกิดในตระกูลหยู แล้วแต่งงานกับตระกูลเย้น ก็คงมีชีวิตต่อไป แต่เพราะการหนีของหยูรั่วถอง และไม่เคยคิดที่จะให้โห้หลีเฉินกลับตระกูลหยู
ความสัมพันธ์ทางตระกูลหยูมันแย่เสียจนสามารถกลืนกระดูกคนลงท้องไปได้เลย
เดิมทีจูเหลียนอีงหาเย้นหว่านเจอ รู้สึกราวกับว่ามันเป็นพรจากสวรรค์ พยายามจับคู่ให้ทั้งสองอย่างสุดความสามารถ เตรียมให้พวกเขาแต่งงานกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ หลังจากจับคู่ได้แล้ว โห้หลีเฉินแต่งงานกับเย้นหว่าน ต้องรักษาเขาได้แน่ๆ
แต่ตอนนี้เย้นหว่านไปแล้ว โห้หลีเฉินไม่เพียงแต่เจ็บปวดเพราะโดนทรมาน เพราะความเหนื่อยล้าอย่างขีดสุด แม้แต่โรคก็ยังกำเริบก่อนเวลาเสียแล้ว!
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปโห้หลีเฉินก็คงไม่มีชีวิตรอดแล้ว
“รั่วถอง ฉันเคยตกลงกับเธอว่า จะให้เฉินมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย ไม่ไปเกี่ยวข้องกับตระกูลหยู แต่ตอนนี้……”
จูเหลียนอีงสะอื้น นิ้วที่ลูบป้ายหลุมศพกำลังสั่นเทา “ฉันควรทำยังไงดี? ทำยังไงถึงจะช่วยเฉินได้ หรือว่าต้องกลับตระกูลหยูหรือไง มันเป็นโชคชะตาที่เขาหนีไม่พ้นหรอ”
“พวกเธอหวังให้ชีวิตของเขาจะปลอดภัยและราบรื่น แต่ฉันไม่สามารถปกป้องเขาได้แล้ว ฉันทำความปรารถนาสุดท้ายของเธอไม่สำเร็จแล้ว”
เสียงคนแก่แพร่กระจายท่ามกลางสายฝน น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากและไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง
ห้องพักผู้ป่วย
ชายหนุ่มที่นอนนิ่ง ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นเล็กลงสองรอบวงเต็มๆ ขนตาอันงอนและหนา กลับปิดขอบตาล่างที่ดำไม่ได้เลยสักนิดเดียว
ใบหน้าของเขาซีดเซียว ถึงแม้จะนอนหลับใหล แต่หัวคิ้วของเขาก็ยังคงขมวดเข้าหากัน ราวกับว่ามีเรื่องเครียดมากมาย
ทันใดนั้น ขนตาเขาเริ่มเคลื่อนไหว ก่อนที่จะลืมตาขึ้น
สายตาที่แหลมคมราวกับหนาม
เขาลุกขึ้นนั่งอยู่กับที่ เขามองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว ทำให้ยิ่งเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง
เขาอยู่โรงพยาบาลงั้นหรอ?!
ใบหน้าสุขุมเม้มปากเข้าหากัน ดึงผ้าห่มออกจากตัวพร้อมลงจากเตียง
เวลาของเขาไม่ควรจะเสียไปกับการอยู่โรงพยาบาล
“คุณผู้ชายครับ คุณฟื้นแล้ว?”
หน้าประตู เว่ยชีที่เห็นโห้หลีเฉินตื่น ก็รีบเดินเข้ามาอย่างแตกตื่น “คุณผู้ชายครับ คุณจะทำอะไรครับ? ตอนนี้คุณยังออกจากเตียงไม่ได้นะครับ เดี๋ยวผมช่วยคุณเอง”
โห้หลีเฉินไม่ได้สนใจคำพูดของเว่ยชี แล้วลุกออกจากเตียง
เขาใช้สายตากวาดมอง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าในห้องพักผู้ป่วย เขาก้าวเท้าอันเรียวยาวเดินตรงไป แล้วเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก แล้วหยิบสูทสีดำตัวหนึ่งออกมา
เขาหยิบออกมาพร้อมจะไปเปลี่ยน
เว่ยชีถึงเพิ่งจะเข้าใจความหมายของโห้หลีเฉิน นี่เขาเพิ่งตื่น จะออกไปแล้วหรอ!
คุณหญิงท่านย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามให้คุณผู้ชายออกจากโรงพยาบาลไปอีก
เว่ยชีรีบเดินไปขวางโห้หลีเฉิน “คุณผู้ชายครับ คุณทำงานหนักเกินไป ร่างกายตอนนี้อ่อนแอมาก ออกจากโรงพยาบาลไปแบบนี้ไม่ได้นะครับ รีบขึ้นเตียงไปพักผ่อนเถอะครับ”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน พูดออกมาอย่างเย็นชาสองคำ
“หลีกไป”
เว่ยชีนิ่งไป เขารู้สึกถึงความหนาวบริเวณฝ่าเท้าของตัวเอง
เขาตามโห้หลีเฉินมาตั้งหลายปี เขาเข้าใจนิสัยของโห้หลีเฉินที่สุดแล้ว ตอนนี้เขาอยู่เส้นขอบของความโมโหแล้ว ถ้ายังคงห้ามเขาอยู่หล่ะก็ คงไม่ได้ตายดีแน่ๆ
ทางด้านความคิดแล้ว เขาควรจะรีบหลีกทางให้ ไม่ควรอยู่ให้รกสายตาของโห้หลีเฉิน
แต่ว่า เขาอดคิดตอนที่โห้หลีเฉินโดนส่งตัวเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษขาว มุมปากที่เปื้อนเลือด ราวกับคนที่ไม่ได้โกรธแค้นอะไร มันทำให้เขารู้สึกกลัว ว่าโห้หลีเฉินเข้าห้องผ่าตัดไปแล้วจะไม่ได้ออกมา
เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าร่างกายของโห้หลีเฉินมันยังไงกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหน ก็ไม่ถึงกับเหนื่อยจนต้องอ้วกเป็นเลือดไหม?
ส่วนปฏิกิริยาของคุณหญิงท่านนั้น ราวกับรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ตอนที่เธอจะกลับนั้น เธอย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามให้โห้หลีเฉินออกจากโรงพยาบาล ต้องรอเธอกลับมาเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกกลัวแค่ไหน แต่พอคิดเรื่องพวกนี้ดูแล้ว เพื่อสุขภาพของโห้หลีเฉิน เว่ยชียืนกรานหัวแข็งเป็นครั้งแรก เขาเดินมาขวางหน้าโห้หลีเฉิน
“คุณผู้ชายครับ คุณไปตอนนี้ไม่ได้จริงๆครับ ร่างกายของคุณ……”
เว่ยชียังไม่ทันพูดจบประโยค ก็โดนหมัดหนักทุบเข้ามา กระทบเข้ากับหน้าเขาอย่างจัง เขาไม่สามารถที่จะยืนนิ่งได้ เท้าเขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว
ส่วนคนที่ลงหมัดอย่างโห้หลีเฉินไม่ชายตามองเขาเลยสักนิดเดียว หยิบเสื้อแล้วเดินเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อทันที ก่อนจะปิดประตูลง
เว่ยชีที่มองไปยังประตูบานนั้นอย่างงุนงง ใบหน้าที่รู้สึกเจ็บๆแสบๆ
คงไม่ต้องบอกว่าในใจรู้สึกตกใจแค่ไหน
คุณผู้ชายถึงขั้นลงมือเอง คงห้ามไม่ได้แล้วแหละ……
เขารู้สึกร้อนรนมาก ด้วยความสามารถของเขาแล้วคงห้ามคุณผู้ชายไม่อยู่ แต่จะทำยังไงหล่ะ? จนตอนนี้คุณหญิงท่านก็ยังไม่กลับมา
เว่ยชีไม่มีเวลาสนใจความเจ็บบนหน้าแล้ว เขาเอามือเกาหัว แล้วรีบกดโทรหาจูเหลียนอีง
มันคือโทรศัพท์ส่วนตัว แม้เสียงริงโทนดังแล้ว แต่กลับไม่มีใครรับสักคน
เสียงริงโทนที่ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เสียง“แกร๊ก”ดังขึ้น ประตูห้องเปลี่ยนเสื้อเปิดออก โห้หลีเฉินเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อย ใบหน้าที่เย็นชา ก้าวเท้าอันยาวเดินไปยังทิศทางที่ออกนอกห้อง
เว่ยชีตกใจ รีบเดินตามไป “คุณผู้ชาย คุณไปไม่ได้นะครับ”
เขาอยากจะใช้ร่างกายตัวเองไปขวางดูอีกรอบ แต่ว่าโห้หลีเฉินไม่ได้เปิดโอกาสนี้ให้เขา เพียงไม่นานก็เดินถึงหน้าประตูห้อง เขาเปิดประตูเตรียมจะออกไป
สีหน้าของเว่ยชีหมดหวัง
เท้าข้างหนึ่งของโห้หลีเฉินเพิ่งจะก้าวออกจากประตูห้อง แต่กลับหยุดลง
เขามองไปยังจูเหลียนอีงที่กำลังเดินมายังเขา ปากบางเม้มเข้าหากัน สายตาที่หมองลง
จากนั้น เขาหันเท้าของตัวเอง เดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
จูเหลียนอีงที่เห็นโห้หลีเฉินฟื้นขึ้น ยังไม่ทันจะได้ดีใจ ก็เห็นหลานชายตัวเองจะหนีอีกแล้ว
เธอรีบก้าวเท้าเดิน ตะโกนเรียก “เฉิน!”
โห้หลีเฉินก้าวเท้ายาวมาก ไม่ได้สนใจเธอ และไม่มีความคิดที่จะหยุดเดิน
จูเหลียนอีงปวดหัวอย่างรุนแรง ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ก็รู้ว่าเขาต้องไปหาเย้นหว่านแน่นอน แต่ตอนนี้เขาไม่รู้หรือไงว่าร่างกายตัวเองนั้นทนฝืนต่อไปไม่ได้?
ช่วงเวลาหนึ่งที่โรคเพิ่งกำเริบ จำเป็นต้องรักษาตัวสองสามวัน ถ้าไม่อย่างนั้นผลที่ตามมานั้นไม่กล้าคิดจริงๆ
“เฉิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ! จะไม่ฟังคำพูดของย่าแล้วหรือไง?”
จูเหลียนอีงใช้แรงเปล่งเสียงตะโกนออกมา เธอถึงขึ้นเอาความสัมพันธ์ย่าหลานออกมาพูด
แต่ว่า แผ่นหลังของโห้หลีเฉินยังคงเดิมไม่มีแม้แต่การสั่นไหว
แม้แต่ใบหน้าของจูเหลียนอีงก็ซีดขึ้นมา เธอร้อนรนมากกว่าเดิม เธอรีบตะโกนอีกครั้ง
“ย่ารู้ว่าจะตามหาเย้นหว่านได้ยังไง!”
เท้าของโห้หลีเฉินยืนนิ่งอยู่กับที่ แผ่นหลังร่างสูงนั้นดูแข็งกร้าวเป็นพิเศษ
นี่คือเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในใจเขา ตอนนี้เรื่องเดียวที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่สุด เพียงแต่……
เขาแทบจะไม่เชื่อคำพูดประโยคนี้แล้ว
จูเหลียนอีงถอนหายใจออกมาอย่างทำอะไรไม่ถูก พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ขอแค่หลานตกลงกับย่า ว่าจะพักฟื้นร่างกายตัวเองสักสองวันในห้องพักผู้ป่วย ย่าจะบอกหลานทุกอย่าง”
คำพูดนี้ เหมือนจะไม่ใช่คำพูดโกหก
โอกาสที่โห้หลีเฉินตามหาเย้นหว่านใกล้จะหมดหวังแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่า ย่าของตัวเองนั้นรู้!
เขาหันกลับมาอย่างกะทันหัน พูดอย่างจริงจังทีละคำว่า : “ผมต้องการรู้เดี๋ยวนี้”
เขาไม่ยอมรับข้อตกลงที่บอกว่าจะบอกเขาหลังจากสองวันถัดจากนี้