สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 642 ไม่ให้เธอไป
บทที่ 642 ไม่ให้เธอไป
การไม่ได้รับการเห็นด้วยจากกงจืออวี ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด เย้นหว่านกับโห้หลีเฉินวางแผนระยะยาวเอาไว้แล้ว ว่าจะไปหาป่ายฉีก่อน
ป่ายฉีกลับมาก็มุ่งหน้าไปที่ตัวบ้านเขาทันที แล้วไปเก็บตัวอยู่ในห้องเอกสาร เพื่อค้นหาเอกสารต่างๆ แล้วค่อยวางแผนกันต่อ
เย้นหว่านถูกโห้หลีเฉินเดินจับมือ แล้วก็เดินเข้าไปที่ห้องเอกสารของป่ายฉีทันที
เธอมองเห็นบนโต๊ะของป่ายฉี ที่วางเอกสารระเกะระกะเต็มโต๊ะ ในใจเหมือนมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี
ทันใดนั้น ป่ายฉีก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “ฉันพอรู้ถึงตำแหน่งที่อยู่ของหนึ่งในตัวยาสองชนิดได้ ส่วนตัวยาชนิดที่สามนั้น ยังไม่ได้เบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น”
อาการป่วยของโห้หลีเฉิน ขาดตัวยาไปชนิดเดียวก็ไม่ได้
เย้นหว่านสีหน้าซีดเผือด พลันพูดอย่างร้อนรน “งั้น งั้นจะทำอย่างไรดี? ระดมคนและทรัพยากรทั้งหมด จะมีทางหาเจอได้ไหม?”
“ยังไม่ได้ลองไปค้นหาในพื้นที่กว้างขนาดนี้ แต่สามารถลองดูได้ ฉันจะจัดคนให้ไปดู ตอนนี้ออกไปหาเมล็ดแมกโนเลียก่อน”
เมล็ดแมกโนเลียเป็นหนึ่งในตัวยาสามชนิด และก็เป็นยาสมุนไพรที่พบเห็นได้บ่อย คนทั่วไปแทบไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย
มันเป็นยาที่บันทึกลงในตำราแพทย์แผนจีนโบราณ เป็นยาเทวดาซึ่งหนึ่งพันปีก็ยากที่จะได้เจอสักครั้ง
ยังมียาอีกชนิดหนึ่งที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ใจของเย้นหว่านนั้นรู้สึกไม่เชื่อเลย แต่ว่าในยามนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
เธอเลยถามกลับทันที “เมล็ดแมกโนเลียอยู่ที่ไหน?”
สีหน้าของป่ายฉีเริ่มสับสบเล็กน้อยตอนที่มองมาที่โห้หลีเฉิน ถึงได้พูดเสียงเคร่งขรึมออกมา
“อยู่แถวประเทศเล็กๆ ประเทศเบียนหนาน”
“แล้วที่นั่นมันคือที่ไหนล่ะ?” เย้นหว่านรีบถามซักไซ้ทันที
ชื่อนี้ มันช่างเหมือนกับเมล็ดแมกโนเลียเธอแทบไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
โห้หลีเฉินหัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น แววตาเคร่งขรึม
“ที่คุณนั่นหมายถึงประเทศที่ปิดประเทศใช่ไหม เป็นประเทศเล็กเล็กๆ ที่ตัดขาดสัมพันธ์กับโลกภายนอก?”
ป่ายฉีพยักหน้าให้ “ใช่ ดูเหมือนว่านายก็รู้ข่าวคราวบ้างเหมือนกัน แม้ว่าประเทศเบียนหนานจะเล็กก็ตาม แต่ว่าเป็นประเทศที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ปฏิเสธกับการสานสัมพันธ์ยังประเทศภายนอก และก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากอำนาจของหลายตระกูลที่อยู่โลกภายนอก”
“ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเย้นหรือตระกูลหยู ก็ไม่มีการไว้หน้า อย่าพูดเรื่องจะเข้าไปเอายาเลย หรือว่าเข้าไปได้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายด้วยซ้ำ”
แม้ว่าอำนาจมากมายจากโลกภายนอก และหลากหลายประเทศ ยังไม่ทราบว่าทางเข้าของประเทศเล็กๆ อย่างประเทศเบียนหนานมันอยู่ตรงไหนด้วยซ้ำ
เย้นหว่านขมวดหัวคิ้วเข้ากัน “ป่ายฉี คุณยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปอย่างไรอีกเหรอ?”
ป่ายฉีส่ายหน้าไปอย่างอารมณ์เสีย
“ฉันเปิดดูเอกสารตั้งมากมายขนาดนี้ ก็ไม่มี ฉันต้องการเวลาหาอีกสักพัก”
คำว่าเวลา ตอนนี้เวลามันกลายเป็นสิ่งที่ขาดหายไปที่สุดสำหรับโห้หลีเฉินแล้ว
เย้นหว่านขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น สีหน้าไม่สบายใจตอนที่มองมาทางโห้หลีเฉิน “อำนาจในการตามหาผู้คนของคุณจากทั่วทุกมุมโลก มีคนทราบข่าวคราวเรื่องของประเทศเล็กๆ อย่างประเทศเบียนหนานหรือเปล่า?”
โห้หลีเฉินพยักหน้าให้ “ฉันรู้แล้ว”
แววตาของเขาดำดิ่งไปชั่วครู่ ตอนแรกเขาได้ให้คนเข้าไปแทรกซึมในทั่วทุกมุมโลกในตอนนั้น แน่นอนว่าก็ไม่ได้ปล่อยประเทศเล็กๆอย่าง ประเทศเบียนหนานไป
ทว่าคนของเขาก็ใช้วิธีการต่างๆ มากมาย กระทั่งแลกด้วยชีวิตไปบ้าง ถึงได้สอบถามจนได้รู้ทางเข้าประเทศเล็กๆ อย่างประเทศเบียนหนานได้
ส่วนสถานการณ์ภายในนั้น แทบไม่มีเวลาจะรู้เรื่องเลย
“มันเยี่ยมยอดมาก!”
ป่ายฉีพูดอย่างตื่นเต้นลิงโลด คิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็ผ่อนคลายลงไป
เขามองโห้หลีเฉินอย่างชื่นชม “เครือข่ายหน่วยข่าวกรองของนายนี่ช่างสุดยอดจริงๆ! รู้ทางเข้าก็พอแล้ว ฉันเคยช่วยรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายมาคนหนึ่ง เขาเป็นคนของประเทศเล็กๆ ประเทศเบียนหนานที่อยู่ของเมล็ดแมกโนเลียเขาเป็นคนบอกกับฉันเอง รอให้พวกเราเข้าไปในประเทศเล็กๆ ประเทศเบียนหนานได้แล้ว ก็เดินทางไปหาให้เขาช่วย ก็แค่ออกแรงครึ่งเดียวแต่ได้งานกลับมาเป็นสองเท่า”
นี่มันช่างเป็นข่าวดีอันยิ่งใหญ่เสียจริง
เย้นหว่านบีบมือของโห้หลีเฉินเอาไว้แน่น พร้อมทั้งพูดอย่างดีใจ “งั้นก็ต้องรีบเตรียมตัวออกเดินทางกัน พวกเราจะไปที่ประเทศเบียนหนานกัน!”
“ไม่ต้องรีบร้อน”
โห้หลีเฉินไม่ได้ตื่นเต้นมากมายอะไร ในทางกลับกันสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
เขาพูดเสียงเคร่งขรึมลง “ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศเบียนหนานตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่เพียงแต่ผู้คนในประเทศปฏิเสธที่จะสานสายสัมพันธ์กับโลกภายนอก เพราะว่าทางเข้าไปนั้นอันตรายมาก”
“เส้นทางเดียวที่สามารถเข้าไปได้ ก็คือยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมสุดลูกหูลูกตา หิมะตกหนักตลอดทั้งปี แถมน้ำแข็งยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาเป็นหมื่นๆลี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีทางเดินไป อีกอย่างยังมีหลุมพรางอันตรายอีกมากมาย แถมยังมีหิมะถล่มลงมาอีก”
ในปีนั้นขนาดลูกน้องที่เขาได้ฝึกมาเป็นอย่างดี ยังสูญเสียมากจากการเดินทางไปยังถนนเส้นนี้
ส่วนพวกเขาทำได้แค่ตรวจสอบตำแหน่งของประเทศเบียนหนานเท่านั้นเอง ไม่ได้เข้าประเทศไปเลย
“ก่อนออกเดินทาง อุปกรณ์ของใช้ทุกอย่างฉันจะเป็นคนเตรียมการเอง”
“ได้”
ป่ายฉีรีบตอบตกลงอย่างมีความสุข
ในปีนั้นเขาก็เคยได้ยินคนคนนั้นพูดประมาณนี้ ว่าการที่เข้าไปสู่พื้นที่อันตรายของประเทศเบียนหนาน ปกติก็อย่าพยายามที่เข้าไปอย่างง่ายๆ เลย เพราะว่านั่นหมายถึง….จบชีวิต
โห้หลีเฉินย่อมรู้ดี สิ่งที่มอบให้เขาคือวิธีที่เหมาะสมปลอดภัยที่สุด
เย้นหว่านขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจเกิดความรู้สึกกังวลและไม่สบายใจอยู่บ้าง
สถานที่ที่ทำให้คนอย่างโห้หลีเฉินพูดออกมาว่าอันตรายยากลำบากมากนั้น นั่นเป็นสถานที่ที่เลวร้ายมากที่สุดบนโลกใบนี้
การเดินทางครั้งนี้ มันยากเย็นแสนเข็ญเป็นอย่างมาก
โห้หลีเฉินหันมามองเย้นหว่าน แววตาเคร่งขรึมไปชั่วครู่
หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้ว เขาก็พูดออกมา “เย้นหว่าน การเดินทางมันอันตรายเกินไป มันเดินทางยากลำบาก คุณไม่ต้องไปกับฉันหรอก คุณรออยู่บ้านคอยให้ฉันเอาเมล็ดแมกโนเลียกลับมา ดีไหม?”
ใจของเย้นหว่านสะดุดทันที
ไม่ให้เธอไปเหรอ?
สถานที่อันตรายขนาดนั้น ถ้าเกิดอันตรายเกิดขึ้นกับเขาระหว่างเดินทางอะไรขึ้นล่ะ การที่เธอรออยู่ที่บ้านก็เท่ากับรอคอยไปชั่วชีวิต รอไม่ไหวแล้วแหละ
หัวใจของเย้นหว่านบีบรัดแน่น พลันส่ายหน้าทันที ด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นมาก
“ฉันจะไปกับคุณ ฉันจำเป็นต้องไปกับคุณ! โห้หลีเฉิน ฉันไม่อนุญาตคุณมาทิ้งฉันไว้!”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว “เย้นหว่าน ถ้าเป็นสถานที่อื่นฉันอนุญาตให้คุณไปกับฉันได้ แต่ว่าประเทศเล็กๆ อย่างประเทศเบียนหนานมันอันตรายจริงๆ …”
ไม่เพียงแต่ถนนอันตรายเท่านั้น สถานการณ์ในประเทศก็อันตรายรุนแรงมาก
การกำจัดคนภายนอกด้วยความรวดเร็วและสมบูรณ์แบบ การที่พวกเขาเข้าไปอาจจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก
เย้นหว่านเริ่มกระวนกระวายใจ พร้อมทั้งจับมือของโห้หลีเฉินเอาไว้แน่น
“ก็เพราะว่าอันตรายยังไงฉันยิ่งอยากจะเข้าไป ไม่ว่าจะลำบากหรือยากเย็นแสนเข็ญยังไงฉันก็อยู่เป็นเพื่อนอยู่ข้างกายคุณ ฉันถึงจะวางใจได้”
ตั้งแต่ที่ตนเองรู้ว่าโห้หลีเฉินมีเวลาเพียงสามปีเท่านั้นเอง ใจของเย้นหว่านก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้เลย
กลัวว่าเขาจะหายาไม่เจอ หวาดกลัวว่าเขาจะอาการกำเริบแล้วทุกข์ทรมาน หวาดกลัวว่าวันไหนจะสูญเสียเขาไป
เธอแค่ต้องการจะมองเขาอยู่ทุกวินาทีทุกขณะ และอยู่ด้วยกันกับเขา ถึงจะวางใจได้เล็กๆ น้อยๆ
โห้หลีเฉินจ้องมองเย้นหว่านอย่างเบื่อหน่าย สีหน้าสับสน
เขาไม่อยากให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
เย้นโม่หลินที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองโห้หลีเฉินด้วยความรู้สึกชื่นชมเล็กน้อย เพราะว่าเขารู้ว่าหนทางมันอันตราย เลยไม่ให้เย้นหว่านติดตามไปด้วย เรื่องความเป็นห่วงเย้นหว่านเรื่องนี้ เขาทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว
เขาเขยิบไปด้านหน้าสองก้าว และพูดว่า
“เสี่ยวหว่าน ฉันกับป่ายฉีจะไปกับโห้หลีเฉินเอง ตลอดทางพวกเราจะดูแลกันเอง ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก แกวางใจได้เลย”
เย้นหว่านจับมือของโห้หลีเฉินเอาไว้แน่น พร้อมทั้งส่ายหน้าปฏิเสธอย่างหนักแน่น
เช่นนั้นเธอก็ต้องไปอยู่ดี
เย้นโม่หลินเริ่มรำคาญ จนต้องพูดซ้ำอีกครั้ง “เสี่ยวหว่าน อย่าดื้อเลย แกติดสอยห้อยตามไปด้วย พวกเรายังต้องมานั่งดูแลแกอีก อาจจะถ่วงเวลาให้ช้าไปอีก แถมยังมีอันตรายรอบด้าน แกอยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟัง ได้ไหม?”
เย้นหว่านตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดเผือด
เธอไม่เคยมีประสบการณ์อันตรายเฉกเช่นนี้ สุขภาพร่างกายก็ไม่เทียบเท่ากับพวกผู้ชาย ถ้าไปเจอสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เธออาจจะเป็นตัวถ่วงได้จริงๆ
ทันใดนั้นในใจรู้สึกลำบากใจเหมือนโดนก้อนหินกดทับอยู่เช่นนั้น