สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 645 ฉันเชื่อว่าคุณจะไม่ทิ้งฉันไว้คนเดียว
บทที่ 645 ฉันเชื่อว่าคุณจะไม่ทิ้งฉันไว้คนเดียว
ราวกับเห็นถึงอาการความเป็นห่วงของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินใช้น้ำเสียงอันอ่อนโยนพูดคุยด้วย
“อย่าเป็นห่วงเลย ฉันจะจัดเตรียมวางแผนให้เต็มที่”
เพื่อจะให้เธอได้อยู่ข้างกายเขา
ส่วนเรื่องปัญหาที่ป่ายฉีพูดออกมานั้น แววตาของเขามืดหม่นลง พร้อมทั้งจ้องมองเย้นหว่านราวกับดวงไฟอันถลำลึก
นอกจากเหตุปัจจัยการรักษาอาการป่วยแล้ว เขาอยากจะกลืนกินเธอไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองวันแล้ว
ถ้าเงื่อนไขเป็นไปได้ เขาต้องพาตัวเธอไปอย่างแน่นอน
ยามเมื่อจ้องมองสายตาของโห้หลีเฉิน ในใจของเย้นหว่านเต้นโครมครามอย่างไม่รู้ตัว ใจสับสนจนเริ่มแสดงอาการเขินอายกระอักกระอ่วนออกมาบ้าง
สายตาทอประกายของเธอพยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขา พร้อมทั้งกัดฟันแล้วพยักหน้าให้แทน
“โห้หลีเฉิน ฉันเชื่อคุณ ว่าจะไม่ทิ้งฉันไว้คนเดียว”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เธอก็จะไปกับเขาด้วย
เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว สิ่งที่เธอเป็นห่วงอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือการที่พวกเขาไม่ยอมให้เธอไปด้วย หรือว่าแอบหนีเธอไป
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากบาง พร้อมทั้งพูดเสียงเข้มขรึม “ฉันไม่ทำแบบนั้น”
ความวิตกกังวลในใจของเย้นหว่าน ถึงได้ค่อยๆ สงบลงได้เล็กน้อย
แววตาอันอบอุ่นและหลงใหลของโห้หลีเฉินจับจ้องไปที่เธอ จากนั้นก็เดินตรงมาทางด้านหน้า
เขาพูดกระซิบเสียงทุ้มต่ำ “นอนต่อเถอะ ฉันจะพาคุณไปส่งที่ห้อง”
ค่ำมืดดึกดื่นป่านนี้แล้ว ด้วยอาการเดิมที่เย้นหว่านยังตื่นนอน จึงได้พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็เอาใบหน้าของตนเองอิงแอบแนบชิดกับแผ่นอกกำยำของโห้หลีเฉิน
เธอค่อยๆ หลับตาลง จนแก้มแดงระเรื่อ
น้ำเสียงของเธอเริ่มอาการเง้างอด “ห้องของคุณกู้ซึงอยู่ คืนนี้ คุณก็ไปนอน…ที่ห้องฉันนะ”
แม้ว่าระยะนี้จะคอยดูแลโห้หลีเฉิน ทั้งๆ ที่ทั้งนอนทั้งกินอยู่ด้วยกันก็ตาม แต่การที่มาเชิญเขาไปพักในห้องนอนแถมบนเตียงนอนของตนเอง เย้นหว่านก็ยังเก้อเขินอยู่
โห้หลีเฉินก้มศีรษะลง เมื่อเห็นว่าใบหน้าเล็กๆ ของเย้นหว่านแดงแจ๋ พร้อมทั้งแพขนตากะพริบไปมา มุมปากถึงกับตวัดขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว
เขาตอบอย่างถูกใจ “ตกลง!”
น้ำเสียงดังกังวาน จนไม่อาจปกปิดความสุขที่มาจากรอยยิ้มอันยุ่งเหยิงนั้นได้เลย
เย้นหว่านใบหน้าแดงฉานหนักกว่าเก่า
เธอหลับตาปี๋ แกล้งทำว่านอนหลับอยู่ ก็จะได้ไม่ต้องเขินอายมากมายแบบนั้นแล้วแหละ
แกล้งนอนหลับไปเรื่อย ไม่นานนัก เธอก็เผลอหลับไปจริงๆ
ตอนที่โห้หลีเฉินอุ้มตัวเธอมายังห้องนั้น เย้นหว่านจงใจหายใจสม่ำเสมอ สีหน้าท่าทางดูสงบนิ่ง เพราะนอนหลับลึกไปแล้ว
เขาจ้องมองเธออย่างทะนุถนอม จากนั้นก็วางเย้นหว่านลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
แล้วค่อยห่มผ้าห่มให้เธออย่างเบามือ
เขาจัดการสอดมุมผ้าห่มทับไว้อย่างดี พลางใช้สายตาจ้องมองเธออยู่สักพัก แต่ก็ไม่ได้นอนลงเตียงด้านข้าง ได้แต่หันหลังเดินออกไปนอกห้อง
หลังจากปิดประตูแล้ว โห้หลีเฉินก็เกินมาทางโถงทางเดิน แล้วเดินออกไปด้านนอกของลาน
พระจันทร์เต็มดวงสุกสกาวสาดส่องสว่างไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากบาง สีหน้านิ่งพลันเดินไปทางเดินด้านข้าง
ทางเดินถูกเงาบดบังจนทอดเงาลง มองแล้วก็เหมือนความว่างเปล่าเล็กน้อย
โห้หลีเฉินหันไปก้มศีรษะทำความเคารพตรงเงาตะคุ่มอยู่หนึ่งเงา พลันพูดอย่างมีมารยาท “คุณป้า คุณมาหาผมหรือครับ?”
ในความมืดมิด พลันมีร่างหญิงสาวสูงเพรียวอันสง่างามเดินออกมา
ยามเมื่อแสงจันทร์กระทบใบหน้าเธอช่างงดงามวิจิตรเป็นอย่างมาก ท่ามกลางแสงจันทร์อันนวลผ่อง ช่างงดงามจนไม่อาจจะเปรียบเปรย ทว่าทั้งเย็นชาและเด็ดเดี่ยวมาก
กงจืออวีนั่นเอง
สายตาอันสับสนของเธอจ้องมองมาที่โห้หลีเฉิน น้ำเสียงกดทุ้มต่ำมาก “ฉันคิดว่า นายจะทำแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นฉันซะอีก”
โห้หลีเฉินค่อยๆ ตอบคำถาม “คุณป้าต้องการมาพูดคุยกับผม เป็นเรื่องที่ยังไงก็ต้องเกิด จะคืนนี้หรือว่าวันอื่น ก็เหมือนกันครับ”
ทัศนคติการต่อต้านของกงจืออวีอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะในที่ลับหรือที่แจ้งก็ตาม ต่างมีทั้งการอ่อนข้อหรือการแข็งข้อนำมาใช้เสมอ
สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในความคาดคิดของโห้หลีเฉิน
กงจืออวีจ้องมองท่าทีอันสงบนิ่งของโห้หลีเฉิน แววตาขยับเล็กน้อย
ปกติเขาเป็นคนมีความสามารถอย่างกล้าหาญ จนทำให้เธอชื่นชมพร้อมทั้งถูกใจอยู่เสมอ ผู้ชายเฉกเช่นนี้แหละที่เหมาะสมกับเย้นหว่าน แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สมบูรณ์แบบพอ
กงจืออวีเก็บอาการหวั่นใจเอาไว้ พร้อมทั้งใช้คำสั่งแกมบังคับ พูดออกไป “มาห้องหนังสือกับฉัน”
พูดจบ กงจืออวีก็เดินนำหน้าไปก่อน แผ่นหลังก็กลมกลืนเข้ากับเงาความมืดมิด
โห้หลีเฉินใช้สายตาจ้องมองเธออย่างเคร่งขรึม หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน
พลันรู้สึกว่า รอบนี้ มันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่
ไม่ว่ากงจืออวีจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็ตาม หรือว่าคิดอะไรอยู่ เขาก็ต้องใช้วิธีการยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ ถึงสามารถที่จะอยู่ด้วยกันกับเย้นหว่าน
เขาไม่มีทางให้ถอยหลังอีกแล้ว
โห้หลีเฉินไม่มีอาการลังเลแต่อย่างไร ได้แต่สาวเท้ายาวเดินตามกงจืออวีไปทางด้านหน้า
ทั้งสองคนเดินตามกันมายังห้องหนังสือ
กงจืออวีนั่งอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งผายมือออกไปอย่างมีมารยาท “นั่งสิ”
โห้หลีเฉินพยักหน้าให้ พร้อมทั้งนั่งลงบนโซฟาตรงบริเวณด้านหน้าของเธออย่างเต็มใจทันที
กงจืออวีจ้องมองโห้หลีเฉินที่เปิดเผยตนเอง แววตาเริ่มขยับเล็กน้อย
สีหน้าท่าทางดูเคร่งเครียด พร้อมทั้งถามกลับอย่างเคร่งขรึม “โห้หลีเฉิน นายเป็นผู้ชายที่ไม่เลวคนหนึ่ง ฉันก็ซาบซึ้งทุกอย่างที่นายทำกับเย้นหว่าน”
“แต่ว่าไม่สนว่านายทำเรื่องราวไปกี่มากน้อยก็ตาม นายยังอยู่ที่ตระกูลเย้นกินเวลาไปนานเท่าไหร่ ฉันก็ไม่ทางจะเปลี่ยนความคิด ที่จะให้นายมาอยู่กับเย้นหว่าน”
“อาศัยช่วยที่ทุกคนสามารถพูดคุยกันดีๆ ฉันหวังว่านายจะลองคิดทบทวนเรื่องนี้จริงๆ ยอมปล่อยเย้นหว่านไป”
ทุกคำพูด ทุกประโยค มันมาจากความจริงใจเต็มป่วย พร้อมทั้งยังไม่เปลี่ยนการเกลี้ยกล่อมอย่างมุ่งมั่น
เป็นความคิดที่ดี ยิ่งเป็นการทำให้คนปฏิเสธอย่างอารมณ์เสียด้วย
โห้หลีเฉินนั่งตัวตรง พร้อมทั้งเม้มริมฝีปากบางเอาไว้ และใช้สายตาอันแน่วแน่จ้องมองไปที่กงจืออวี
น้ำเสียงสุขุมพร้อมทั้งหนักแน่น แต่ก็ไม่ได้อ่อนข้อหรือดื้อรั้นเอาแต่ใจ
“คุณป้าครับ ผมทราบความหมายของคุณดี แต่ว่าผมก็ยังหนักแน่นเช่นเดิม นอกจากตายแล้ว ผมยังยืนกรานว่าจะไม่เลิกกับเย้นหว่าน”
ไม่ว่า จะต้องใช้เวลากับกงจืออวีอยู่ที่นี่อีกเท่าไหร่ เขาก็ยังคงรอคอยอย่างมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง
แววตาอันหนักแน่นของเขาราวกับแผ่นหินที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปได้
แววตาของกงจืออวีทอประกาย แต่เปลี่ยนแววตาเป็นเย็นชาลงมาทันที
เธอค่อยๆ กล่าวออกมา “เรื่องทั่วไป มักมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็เหมือนกับอาการป่วยของนาย ใครจะไปคิดว่านายจะมีชีวิตเหลืออยู่แค่ 3 ปี”
เรื่องราวทั่วไป มักมีข้อยกเว้นเสมอ
แววตาของโห้หลีเฉินเคร่งขรึมลงทันที เพราะว่านี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของเขาในเวลานี้ แต่นี่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะยอมประนีประนอมให้
เขาเม้มริมฝีปากบาง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าก็สามารถแสดงทัศนคติของเขาได้เป็นอย่างดี
บรรยากาศในห้องมีความกดดันเล็กน้อย ก็เหมือนกับการประเมินการณ์กันไปมา
ทุกอย่างก็เพื่อทำในสิ่งที่ตนเองรักที่สุดในหัวใจ ใครก็ไม่ยอมแพ้
ผ่านไปชั่วครู่ กงจืออวีถอนหายใจออก นี่เป็นผลลัพธ์สิ่งที่เธอคาดคิดไว้ ถึงจะเกลี้ยกล่อมยังไง เธอก็ไม่อยากจะคิดว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องมาถึงขั้นนี้จริงๆ
โห้หลีเฉิน ช่างดื้อรั้นเสียจริงๆ
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อไปจากนี้ เราคงไม่ได้ไปมาหาสู่แบบเป็นมิตรอีกแล้ว”
“ดื่มไวน์กันสักแก้ว ถือว่าเป็นการขอบคุณที่นายเป็นคนช่วยชีวิตเย้นหว่านเอาไว้ ซึ่งมันจะทำให้ฉันรู้สึกผิดได้น้อยลง”
ตอนพูดอยู่นั้น กงจืออวีก็ปรบมือ “เย้นโน่เสิร์ฟไวน์”
สิ้นเสียงของเธอ ประตูห้องหนังสือที่ปิดอยู่ก็ถูกคนที่อยู่ข้างนอกเปิดออก หญิงสาวลูกครึ่งหน้าตางดงามมาก กำลังถือถาดเข้ามา บนนั้นมีแก้วไวน์แดงอยู่สองแก้ว พร้อมทั้งเดินเข้ามาหาอย่าสง่าผ่าเผย
บนใบหน้าอันสวยสดงดงามของเธอนั้นประดับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น ดวงตาสีฟ้าฉายประกายแวววาว
เธอเป็นหญิงสาวที่ช่างงดงามเสียจริงๆ
จนทำให้ผู้ชายเห็นแวบแรกก็รู้สึกหวั่นไหว
เธอเดินอย่างสง่างามมายืนอยู่ตรงหน้าโห้หลีเฉิน จากนั้นก็ค่อยๆ ก้มตัวลง พร้อมทั้งนำแก้วไวน์ยื่นโห้หลีเฉินตรงด้านหน้าของเขา
น้ำเสียงช่างอบอุ่นเหลือเกิน “คุณโห้ เชิญค่ะ”
ระหว่างที่เธอพูดอยู่นั้น ตอนที่เธอก้มโค้งลง…
โห้หลีเฉินจ้องมองเธอ จนหรี่ตามอง
เห็นได้ชัดว่า การมาเสิร์ฟไว้ของเย้นโน่ ไม่ใช่การมาเสิร์ฟไวน์ แต่เป็นการมาคิดบัญชีกับเขา