สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 694 ความดุดันของโห้หลีเฉิน
บทที่ 694 ความดุดันของโห้หลีเฉิน
ระหว่างที่พูด โห้หลีเฉินก็พาเย้นหว่านมาถึงห้องอาหาร
คุณป้าและฉู่ฉู่ก็เดินพวกเขามาติด ๆ
เห็นได้ชัดว่าบ้านของเวนเดลล์เป็นบ้านของผู้ที่ร่ำรวยและมีเกียรติ ห้วยลานบ้านที่ดูใหญ่โต ห้องหับที่มากมาย ห้องอาหารที่ดูออกแบบให้ดูกว้างขวาง
ตรงกลางก็เป็นโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ บนโต๊ะวางเรียงไปด้วยอาหารเป็นสิบ ๆ อย่าง ดูเยอะแยะและน่ารับประทาน
คนที่ไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องนานอย่างเย้นหว่าน แค่เห็นก็รู้สึกอยากกินจนน้ำลายไหล
เย้นหว่านมองโต๊ะอาหารที่เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ อย่างตื่นเต้น จู่ ๆ คุณป้าก็โผล่มาแบบไม่ถูกเวลาเท่าไหร่นัก ก่อนจะมาขวางหน้าเธอเอาไว้
คุณป้ากวาดตามองเย้นหว่านอย่างรังเกียจ แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้ามามองโห้หลีเฉินอย่างยิ้มแย้มราวกับสุนัขที่พยายามประจบประแจงเจ้าของของมันอยู่ก็มิปาน
” คุณโห้ คุณไปทานข้าวเถอะค่ะ ฉันจะดูแลคุณเย้นให้เอง ”
มารยาทของจีน แขกต้องตามใจเจ้าภาพ
ถึงแม้เขาจะเกลียดคุณป้าแค่ไหน แต่ที่แห่งนี้ก็เป็นบ้านของหล่อน จะนั่งตำแหน่งไหนก็คงต้องเกรงใจเจ้าบ้าน
เย้นหว่านไม่อยากก่อเรื่อง จึงหันหน้าไปพูดกับโห้หลีเฉิน ” ให้มันเป็นไปตามที่เธอบอกเถอะค่ะ ”
โห้หลีเฉินเม้มปาก ลังเลไปชั่วขณะ จึงค่อย ๆ ปล่อยมือจากที่จับรถเข็น
คุณป้ารีบเดินไปรับรถเข็นเอาไว้
เธอโค้งตัวให้โห้หลีเฉินอย่างมีมารยาท แล้วค่อย ๆ พาเย้นหว่านออกไปจากโต๊ะอาหาร แล้วย้ายตำแหน่งไปเป็นอีกมุมหนึ่งของห้องอาหารแทน
เย้นหว่านรู้สึกประหลาดใจ ว่าหล่อนพาเธอมาที่นี่ทำไม
ขณะที่กำลังมึนงง ก็เหลือบไปเห็นฉู่ฉู่กำลังปูพรมบนพื้น และก็มีเด็กสาวที่เคยช่วยเย้นหว่านเข้ามาช่วยปูด้วยอีกคน ท่าทางของทั้งสองคนวางกับข้าวสามจานลงบนพื้นอย่างคล่องแคล่ว
เป็นจานกับข้าวที่ประกอบด้วยผักสีจืดชืดทั้งสามจาน
เพิ่มมาจากนั้นก็เป็นข้าวขาวหนึ่งห่อใหญ่ ๆ และจานใส่ข้าวอีกสี่จาน
คุณป้าหยุดชะงัก ก่อนพูดกับเย้นหว่านด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างว่า ” ลงมา กินข้าว ”
พูดจบเธอก็เดินดุ่ม ๆ นำไปก่อน แล้วนั่งขัดสมาธิลงไปบนพรม จากนั้นหยิบจานข้าวขึ้นมาแล้วเริ่มกิน
เย้นหว่านจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตาโต รู้สึกมึนงงกับภาพตรงหน้า
ตรงนู้นไม่ใช่ว่ามีโต๊ะกินข้าวตั้งอยู่หรอกเหรอ ทำไมพวกเธอต้องนั่งกินข้าวบนพื้นอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ด้วยล่ะ
ว่าแต่ ทำไมต้องกินข้าวบนพื้นกันนะ
พอหันไปมองโต๊ะอีกรอบ โต๊ะก็ใหญ่โต ทำไมถึงนั่งกันแค่สามคน เวนเดลล์กับเด็กชายอีกสองคน
โห้หลีเฉินที่ยืนอยู่อีกข้าง ก็ยังไม่ได้นั่งลง แต่สายตายังคงมองไปที่เย้นหว่านอย่างเงียบ ๆ ที่แสดงถึงความแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เวนเดลล์เป็นคนที่ค่อนข้างพิถีพิถันและเฉลียวฉลาด เขายิ้มและอธิบาย
” คุณโห้อยากเห็นเป็นเรื่องแปลกไปเลย มันเป็นธรรมเนียมของคนที่นี่ ผู้หญิงไม่สามารถนั่งกินข้าวบนโต๊ะได้ ”
โห้หลีเฉิน ” ……. ”
เย้นหว่าน ” ……. ”
ธรรมเนียมของที่นี่ทำให้เธอรู้สึกว่าตรรกะในการใช้ชีวิตของเธอเริ่มลงไปถึงจุดต่ำสุดแล้ว
ฐานะของผู้หญิงที่นี่ดูต่ำต้อยและน่าเวทนาได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ
คุณป้ากินอาหารได้รวดเร็วมาก แค่ไม่กี่วิ กับข้าวสามจานเล็ก ๆ ก็ถูกกินไปแล้วอย่างละครึ่ง
หล่อนยังคงกินต่อไปเรื่อย ๆ ขณะกินก็มองเย้นหว่านอย่างไม่ค่อยพอใจในเวลาเดียวกัน
” เธอจะยืนเหม่ออะไรอยู่มิทราบ จะกินหรือไม่กิน ”
พูดไป เธอก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารคำโต กับข้าวในนั้นมีจานหนึ่งที่เห็นได้ว่าเหลืออยู่เพียงก้นจาน ” ฉันได้ยินว่าข้างนอกนั่น ชายหญิงก็กินอาหารด้วยกันบนโต๊ะ แต่เมื่ออยู่กับพวกเราที่นี่ เธอไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ”
“มาถึงที่นี่ เธอก็ไม่ได้ต่างจากผู้หญิงแบบเรานักหรอก เพราะฉะนั้น เวลาจะกินข้าว ก็ต้องมานั่งกินแบบพวกเรา
น้ำเสียงที่พูดมาดูหนักแน่น ราวกับมันคือสัจธรรมที่เกิดขึ้น
เย้นหว่านตกตะลึงจนพูดไม่ออกสักคำเดียว
หันไปอีกรอบ ฉู่ฉู่กับเด็กสาวก็เริ่มกินอาหารกันแล้ว รวมผู้หญิงอีกคน เพียงชั่วพริบตา ทั้งสามคนกินอาหารจนเหลือเพียงแค่ก้นจาน
ความเร็วที่พวกเธอกินอาหารเข้าไปราวกันกินแข่งกับเวลาก็ไม่ปาน เร็วจนทำให้คนที่เห็นตกใจจนต้องพูดไม่ออก
เหลือเพียงเศษข้าวน้อย ๆ ในจานให้กับเย้นหว่านเท่านั้น
เย้นหว่านกัดริมฝีปาก หมดคำจะพูด
นั่งพื้นว่าทนแล้ว อาหารแย่ ๆ ก็ยังทนไหวอยู่ แต่กินจนไม่เหลืออะไรแล้วแบบนี้ ตัวเธอจะกินอะไร
เสียงท้องเริ่มร้อยบอกเป็นนัย ๆ ถึงความหิว ยังไม่พอ ต้องมาโมโหจนไฟในอกแทบจะลุกโชนขึ้นมาเสียให้ได้
ใจมันว้าวุ่นจะตายอยู่แล้ว
เวลานั้น ร่างสูงของโห้หลีเฉินก็เดินมาอยู่ที่ข้างกายของเย้นหว่าน เขาประคองรถเข็นของเธอ ก่อนจะหันไปอีกทาง
เย้นหว่านรู้สึกมึนงง โห้หลีเฉินจะพาเธอไป ทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ได้กินอะไรสักอย่างเลยน่ะเหรอ
ในขณะที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เย้นหว่านก็ถูกพามายังโต๊ะอาหาร มีเก้าอี้ที่ว่างอยู่ข้าง ๆ เธอพอดี
โห้หลีเฉินมองเวนเดลล์ พูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ แต่ก็ดูต่อต้านได้ไม่ง่ายว่า
” คนที่มาที่นี่คือแขก เธอไม่มีความจำเป็นต้องทำตามข้อบังคับเหมือนที่พวกคุณที่นี่ทำ แค่กินข้าวบนโต๊ะ ก็คงไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก ”
เวนเดลล์มองอย่างตกตะลึง
เย้นหว่านคิดไม่ถึงเลยว่า โห้หลีเฉินจะทำเพื่อเธอโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ใด ๆ ของที่แห่งนี้
คุณป้าระเบิดออกมาอย่างหมดความอดทน ก่อนจะยกจานขึ้นมาจากพื้น แล้วตะคอกเสียงดังว่า
” ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด! ผู้หญิงจะนั่งกินข้าวบนโต๊ะอาหารได้อย่างไร! ”
โห้หลีเฉินใช้สายตาเย็นชามองไปที่คุณป้าอย่างเหลืออด พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้งอย่างเยือกเย็น
” ผมจะไม่พูดมันเป็นครั้งที่สาม อย่าเอาเย้นหว่านไปเทียบกับพวกคุณอีก ”
น้ำเสียงที่ดูโอหังนั่น ไม่สามารถปิดบังความรังเกียจที่มีต่อพฤติกรรมพวกนี้ได้อีกต่อไป
ชายทุกคนที่นี่เป็นใหญ่ในข้อปฏิบัติพวกนี้ การที่ให้ผู้หญิงนั่งกินข้าวบนพื้น มันทำให้โห้หลีเฉินรู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างมาก
ผู้หญิงคนอื่นเขาไม่สน แต่เย้นหว่านของเขา เขาจะไม่ยอมให้เธอมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้อีกเด็ดขาด
คุณป้าเมื่อโดนโห้หลีเฉินตอกกลับ ก็ถึงกับตกใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ทั้งหน้าซีดตัวสั่น ราวกับโดนลมหนาวโหมใส่ร่าง ไล่ตั้งแต่เท้าจนถึงขมับ
ความกลัวเพียงชั่วพริบตาก็ค่อย ๆ หายไป
ผู้ชายคนนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง ทำให้คนหวาดกลัวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ว่า ผู้หญิงกับการกินข้าวบนโต๊ะ เป็นเรื่องที่ผู้หญิงไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แม้แต่ได้ยินเรื่องแบบนี้ก็ไม่เคย ราวกับโดนใครบางคนมาพังทลายในสิ่งที่หล่อนเชื่อมาโดยตลอด ยังไงก็รับไม่ได้เด็ดขาด
เธอพูดขณะที่ตัวสั่นเทา ” คุณโห้ เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร คุณไม่จำเป็นต้อง….. ”
” เหอะ ไม่สำคัญงั้นเหรอ ”
โห้หลีเฉินแสยะมุมปาก แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง ที่ตาที่หยามเหยียดนั่น อย่างกับไฟฟ้าที่สาดลงมาบนตัวของคุณป้า
” เย้นหว่านคือสิ่งที่มีค่าที่สุดจากส่วนลึกในใจของผม ทุกอย่างที่เป็นเธอล้วนอยู่เหนือผมเองทั้งสิ้น ต่อให้ร่างกายของผมต้องถูกหั่นออกเป็นชิ้น ๆ ผมก็ไม่ยอมให้เธอโดนทำร้ายแม้แต่ปลายนิ้ว ”
สายตาที่คมกริบของเขา ดุดันราวกับฟ้าฟาด
” คุณหญิงเวน ผมจะพูดเตือนคุณเพียงครั้งเดียว ทำร้ายผมได้ แต่ห้ามทำร้ายเย้นหว่าน แม้แต่คำพูดก็ห้ามด่าว่าเธอ มิฉะนั้น ผมเกรงว่าคุณจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว ”
อุกอาจ บ้าระห่ำ และน่ากลัวเกินกว่าจะระงับไว้ได้
คุณป้าช็อกถึงกับเบิกตาโพลง ราวกับจิตวิญญาณของหล่อนได้ถูกทำลายไปเสียแล้ว หล่อนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หูของตัวเองกำลังได้ยิน
หล่อนให้ความสำคัญกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้มากเกินไป นับถือพวกผู้ชายราวกับเทพเทวดา ใช้ชีวิตมาหลายสิบปี แนวคิดพวกนี้คงฝังรากลึกลงไปแล้ว จนกลายเป็นสิ่งที่หล่อนจำต้องยึดถือมันไปชั่วชีวิต
แต่กับโห้หลีเฉินชายหนุ่มที่สูงศักดิ์เช่นนี้ กับแค่ผู้หญิงคนเดียว ยังให้ความสำคัญมากกว่าตัวเองเสียอีก
แถวยังเอ่ยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ ทุกอย่างที่เป็นเย้นหว่านล้วนอยู่เหนือตัวเขาทั้งสิ้นงั้นหรือ
จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร
ด้วยความดุดันที่ผู้ชายมีต่อหล่อน จึงทำให้ท่าทีของหล่อนที่เคยเหยียดหยามต่อเย้นหว่านเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เวนเดลล์เคยไปต่างแดน เห็นที่อื่นก็ให้ความเท่าเทียมเหมือนกันทั้งชายและหญิง ถ้าเทียบกับโห้หลีเฉินแล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร
ลึก ๆ ก็ทำให้เขารู้สึกชื่นชมโห้หลีเฉินลึก ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเย้นหว่านและทะนุถนอมเธอ
และมันก็เป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตของเขา ไม่อาจทำมันเด็ดขาด
เขารู้อยู่แล้วว่าข้างนอกนั่นชายหญิงนั้นเท่าเทียม แต่ตั้งแต่เด็กก็เติบโตในประเทศเบียนหนานเล็ก ๆ แห่งนี้ และได้อยู่กับธรรมเนียมเหล่านี้ฝังรากลึกเข้าไปในกระดูกแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังคงต้องเป็นเช่นนั้นต่อไป