สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 83 รีบๆ ถอนหมั้นจะดีกว่า
บทที่ 83 รีบๆ ถอนหมั้นจะดีกว่า
เย้นหว่านมองดูเพื่อนร่วมงานด้วยความอึ้ง ฟังที่เขาพูดอย่างคาดไม่ถึง
พวกเขารู้เรื่องของเขากับโห้หลีเฉินได้ยังไงนะ
“ก่อนที่เธอจะมา ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปรากฏอยู่ข้างๆ ประธานเลยนะ แต่อยู่ๆ เธอก็เข้ามาที่นี่แล้วก็ทานข้าวกลางวันกับประธานทุกวัน แล้วก็นั่งรถคันเดียวกับท่านประธานมาทำงาน”
เพื่อนร่วมหน้าตาดูมั่นใจ “เธอคบกับท่านประธานใช่ไหมล่ะ”
สมองของเย้นหว่านแทบจะระเบิดแล้ว รู้สึกว่าเกิดเรื่องแล้วล่ะ
เธอคิดว่าเรื่องของเขากับโห้หลีเฉินนั้นจะเป็นความลับ ไม่คิดว่าคนทั้งบริษัทจะรู้
เธอทั้งรนทั้งกระวนกระวาย “จริงๆ แล้วระหว่างฉันกับท่านประธานไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเธอคิดหรอก พวกเราแค่……แค่……”
เย้นหว่านลิ้นพัน ไม่รู้ว่าควรหาเหตุผลอะไรที่ดูเหมาะสมมาอธิบายดี
ในบริษัทก็มีเรื่องประวัติของเธออยู่ เรื่องครอบครัวแบบนี้ จะบอกว่าเป็นญาติห่างๆ ของโห้หลีเฉินก็คงไม่ได้
“ฉันเข้าใจฉันเข้าใจ”
เพื่อนร่วมงานยิ้มเพื่อบอกถึงความเข้าใจ “พวกเรารู้ว่าเธอกับท่านประธานอยากคุยกันแบบเงียบๆ เพราะงั้นพวกเราเลยไม่พูดอะไรออกมา”
เย้นหว่านถึงกับไปไม่เป็น รู้สึกเหมือนไม่มีแรง “ไม่ใช่แบบนั้นจริงๆ”
“โอเคๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เย้นหว่าน ฉันส่งแบบงานไป ต้องผ่านท่านประธานก่อน ถ้าเธอสะดวก ช่วยพูดให้ฉันหน่อยนะ”
เพื่อนร่วมงานตั้งใจทำเสียงต่ำ แล้วก็กระซิบข้างหูเย้นหว่าน
นี่ก็กำลังบอกว่าเย้นหว่านเป็นแฟนของโห้หลีเฉินอยู่ไม่ใช่รึไง ถึงได้ขอให้ช่วยแบบนี้
ในใจของเย้นหว่านรู้สึกวุ่นวายและยุ่งเหยิงมาก เธอต้องถอนหมั้นกับโห้หลีเฉินแล้ว แล้วคนในบริษัทก็มาเข้าใจผิดแบบนี้ ช่างไม่ปรานีกับความสัมพันธ์ของพวกเขาเลยสักนิด
เรื่องถอนหมั้นนั้น จะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว
เย้นหว่านคิดไปคิดมา แล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธานอย่างรีบร้อน
ในมือของเว่ยชีกำลังถือเอกสารกองนึงอยู่ กำลังจะเข้าไปในห้องทำงานท่านประธาน แต่เห็นเย้นหว่านที่เดินมาอย่างรีบร้อน ก็เก็บมือที่กำลังจะเคาะประตูเข้ามาทันที
เขาหันมามองดูเย้นหว่าน ยิ้มแล้วถามว่า “คุณเย้นหว่าน มาหาท่านประธานหรอครับ”
“อื้ม เขาว่างไหม”
เย้นหว่านพูดไปเดินไป พริบตาเดียวก็เดินไปถึงหน้าประตูห้องทำงานแล้ว
เว่ยชีรีบพยักหน้า “ว่างครับๆ คุณเย้นหว่านเข้าไปได้เลยครับ”
พูดจบเว่ยชีก็หอบกองเอกสารที่ต้องจัดการ แล้วก็คิดว่าไว้ค่อยมาอีกรอบ
เย้นหว่านเคาะประตูห้องทำงาน ก็เห็นว่าโห้หลีเฉินนั่งประจำที่อยู่ที่โต๊ะทำงาน มือขาวแล้วเรียวยาวนั้นกำลังพลิกเอกสารอยู่
พอเขาเห็นเธอ ก็รู้สึกแปลกใจ
สายตามองข้ามแล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ เขาพูดเสียงต่ำ “คุณมาแล้วหรอ เชิญนั่ง”
พูดแล้ว เขาก็กดสายโทรศัพท์ บอกให้เลขาเอานมแล้วก็ของหวานเข้ามา
“ไม่ต้องหรอก ที่ฉันมาเพราะมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
เย้นหว่านรีบปฏิเสธ ทุกครั้งที่เขาเข้าห้องทำงานก็ต้องมีขนมหวานทุกครั้ง ต้องเป็นเหตุผลนึงที่ทำให้คนในบริษัทเข้าใจผิดแน่ๆ
กลัวว่าในใจของเพื่อนร่วมงานนั้นจะคิดว่าเธอเป็นแฟนของท่านประธานหรือเป็นอย่างอื่น
โห้หลีเฉินวางสายไปก่อนแล้ว น้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว
“คุณพูดไปกินไปก็ได้นะ”
ยังไงก็ปฏิเสธขนมหวานนี้ไม่ได้แล้ว
แต่พอจะพูดเรื่องของตัวเอง เย้นหว่านก็กลัวว่าพอพูดได้ครึ่งนึงแล้วเลขาก็เอาขนมเข้ามาให้แล้วจะได้ยินเข้า เธอเลยทำได้แค่นั่งลงบนโซฟา แล้วก็คิดว่าอีกสักพักค่อยพูดดีกว่า
โห้หลีเฉินมองดูเขาแล้ว ดูไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด เธออยากจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่เขาก็ไม่ว่าอะไร
จากนั้น เขาก็วางเอกสารในมือลง แล้วก็เดินมาที่โซฟาที่เย้นหว่านนั่งอยู่
ร่างที่สูงใหญ่ของเขานั่งลงข้างๆ เขาในระยะที่ใกล้แบบใกล้มากๆ อย่างไม่เคอะเขิน
ชายหนุ่มมาพร้อมกับความคุ้นเคยและลมหายใจที่แรง เย้นหว่านนิ่งไปสักพัก แล้วก็รีบลุกขึ้นแล้วก็รีบย้ายไปนั่งที่โซฟาอีกตัวนึง
โห้หลีเฉินมองดูเขาด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์ หน้าตาที่หล่อเหลานั้นมีความโกรธนิดๆ
การโดนตีตัวออกห่างที่ชัดเจนแบบนี้ ทุกคนต้องไม่ชอบอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับโห้หลีเฉินล่ะ
เย้นหว่านรีบอธิบายว่า “เดี๋ยวเลขาเข้ามาแล้วเห็นว่าเรานั่งใกล้กันเกินไป เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเอาน่ะ”
เธอไม่อธิบายยังจะดีกว่า พออธิบายแล้ว สีหน้าของโห้หลีเฉินยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่
ผู้หญิงคนนี้จะไม่ยอมต่อความสัมพันธ์กับเขาสักนิดเลยรึไง
มองดูสีหน้าที่ดูไม่ค่อยได้ของโห้หลีเฉินแล้ว เย้นหว่านรู้สึกสงสัยว่าที่เขาอธิบายคงไม่ได้ผิดอะไรหรอกมั้ง
บรรยากาศในห้องอึมครึมเล็กน้อย
ยังดีที่เลขาเข้ามาเร็ว แล้วก็วางนม กาแฟ แล้วก็ขนมหวานลงอย่างมีมารยาท
“ท่านประธาน คุณเย้นหว่าน เชิญรับประทานครับ”
พูดแล้ว เลขาก็ยิ้มให้เย้นหว่าน แล้วค่อยจับถาดแล้วเดินออกไป
ที่ผ่านมายังดี แต่ครั้งนี้รอยยิ้มของเลขาตกอยู่ในสายตาของเย้นหว่าน ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ชอบกล
ต้องเข้าใจความสัมพันธ์ของเธอกับโห้หลีเฉินผิดอีกแน่ๆ
เย้นหว่านดูกังวล คิดแล้วคิดอีก มองดูโห้หลีเฉินแล้วพูดว่า :
“คุณโห้หลีเฉิน คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ในบริษัท มีข่าวที่ไม่ค่อยดีของเราเยอะมาก”
โห้หลีเฉินน้ำเสียงปกติ “อะไรล่ะ”
“ก็มีเพื่อนร่วมงานหลายคนเข้าใจผิดกับความสัมพันธ์ของเรา คิดว่าเราเป็น……แฟนกัน”
เย้นหว่านพูดด้วยน้ำเสียงที่ลำบากใจเล็กน้อย
โห้หลีเฉินจ้องมองเย้นหว่านอย่างเพ่งเล็ง “แล้วยังไงหรอ”
ท่าทางดูปกติแล้วก็เฉยๆ มาก เหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร หรือเป็นเรื่องธรรมดายังไงอย่างงั้น
เย้นหว่านรู้สึกอึ้ง โห้หลีเฉินต้องรู้สึกปวดหัวไม่ใช่รึไง ต้องรีบจัดการสถานการณ์แล้วก็กลบข่าวไม่ใช่รึไง
เธอดูหน้าหมองลง ทำได้แค่เอ่ยปาก “คุณโห้หลีเฉิน ยังไงเราก็ต้องถอนหมั้นกันอยู่แล้ว ในบริษัทปล่อยข่าวลือเรื่องระหว่างเราแบบนี้ จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของคุณเปล่าๆ
เพราะฉะนั้น คุณมีวิธีจัดการกับเรื่องนี้ไหม”
เย้นหว่านจ้องมองไปที่โห้หลีเฉินอย่างมีความหวัง แต่กลับเห็นเขาขยับปากเบาๆ พ่นออกมาสองคำ
“ไม่มี”
เย้นหว่านถึงกับไปไม่เป็น โห้หลีเฉินทำแบบนี้ มันเกินไปหน่อยรึเปล่า
ผ่านไปสักพัก เขาถึงได้สงบลง แล้วก็พูดอย่างอดทนว่า “งั้นเราก็ถอนหมั้นกันได้แล้ว แต่ไปไม่ต้องติดต่อกันอีก แล้วเพื่อนร่วมงานก็จะไม่พูดอะไรไปเอง”
ข่าวลือจะสยบลงในเวลาที่คลื่นสงบลง
ที่เย้นหว่านคิดก็เป็นวิธีที่ดีนะ แต่กลับทำให้โห้หลีเฉินรู้สึกไม่สบายใจ
นานๆ เธอจะมาที่ห้องทำงานที เพื่อจะให้เขาโมโหรึไง
สายตาของโห้หลีเฉินจ้องมองที่เย้นหว่าน ใต้ตานั้นลุกเป็นไฟ ดูเหมือนว่าถ้าควบคุมไม่ได้ ก็จะทำโทษเขาหนักๆ ยังไงอย่างงั้น
เย้นหว่านถูกโห้หลีเฉินมองจนร้อนรนใจ ตอนนี้เธอเดาความคิดของผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลย ไม่รู้เลยสักนิดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ส่วนทุกอย่างที่เธอเสนอออกไปนั้น เหมือนว่าเขาจะไม่ชอบเลยสักอัน
ในใจของเย้นหว่านรู้สึกหดหู่เต็มทน ยุ่งเหยิงไปหมด แต่เธอก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “คุณคิดว่ายังไง คุณโห้หลีเฉิน”
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากบางแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร รอบๆ ตัวเหมือนมีความเกลียดแผ่อยู่
บรรยากาศในห้องแย่ลงเรื่อยๆ