สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 838 ต่อให้ทนก็ทนไม่ได้แล้ว
เย้นหว่านค่อนข้างพอใจกับแผนการนี้ แบบนี้ จะได้ป้องกันไม่ให้กู้หรงจับคู่มั่วซั่วระหว่างป่ายฉีกับกู้จื่อเฟย แล้วก็จะได้ทำให้กู้จื่อเฟยรู้สึกอึดอัดน้อยลงที่จะได้เจอกับเย้นโม่หลินด้วย
ถือว่าดีเลย
แต่แค่ ผู้ชายข้างๆตนเอง ท่าทีเย็นชาไปหน่อย
เย้นหว่านมองเขาด้วยความสงสัย พูดถามขึ้นด้วยเสียงเบาๆ
“โห้หลีเฉิน คุณเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อตะกี้ยังดีๆอยู่เลย ทำไมจู่ๆก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาซะอย่างนั้นล่ะ
โห้หลีเฉินสีหน้าอารมณ์ไม่ดี เม้มปากบางๆ ผ่านไปนานจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงต่ำ
“เรื่องแต่งงานของพี่ชายคุณ ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนนะ”
“ทำไม?”
เย้นหว่านสีหน้านิ่งชะงัก ไม่เข้าใจว่าโห้หลีเฉินทำไมจู่ๆถึงพูดแบบนี้ออกมา
โห้หลีเฉินถอนหายใจออกมาหนึ่งที จูงเย้นหว่านมา คว้ามือของเธอไว้เบาๆ
พูดขึ้น“เพื่อทำให้เขาเข้าใจว่าอะไรคือการไม่เจอหนึ่งวันเหมือนผ่านไปสามฤดูใบไม้ร่วงยังไงล่ะ”
เย้นหว่านอึ้งตะลึงไป ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจขึ้นมาว่า ที่โห้หลีเฉินพูดมามันหมายความว่าอะไร
เพราะว่าตอนค่ำต้องแยกกัน ดังนั้นเขาก็เลยรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างนั้นเหรอ?
ไม่เจอหนึ่งวันเหมือนผ่านไปสามฤดูใบไม้ร่วง?
เย้นหว่านยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ กอดแขนของเขาอย่างสนิทสนม พูดขึ้นอย่างออดอ้อน
“แล้วคุณอยากจะจัดการกับเรื่องแต่งงานของพี่ชายของฉันยังไงล่ะ?”
สำหรับปัญหานี้ เย้นหว่านกับพวกกงจืออวีพยายามเก็บท่าทีอาการผิดหวังเอาไว้ กลัวว่าพี่ชายที่หัวดื้อคนนี้ของตนเอง จะต้องโสดไปตลอดชีวิต
สเปคสูง แถมไม่ชอบผู้หญิงอีก
ขนาดผู้หญิงที่ดีแบบกู้จื่อเฟยขนาดนี้ เขายังทำให้ผิดหวังได้ หยิ่งยโสโอหัง เกรงว่าในโลกใบนี้คงจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เข้าตาเขาแล้วล่ะมั้ง
ถ้าจะจัดการเรื่องแต่งงานของเขา เป็นปัญหาโลกแตกที่คนธรรมดาทั่วไปไม่กล้ามาท้าทายง่ายๆหรอก
แต่ในเมื่อโห้หลีเฉินพูดขนาดนี้ แสดงว่าเขาก็มีแผนอยู่ในใจแล้ว?
โห้หลีเฉินกวาดสายมองมายังกู้จื่อเฟย จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างลึกซึ้งคาดเดาไม่ได้
“อีกสักพัก เดี๋ยวคุณก็เข้าใจเอง”
แสดงว่า ไม่ได้คิดจะบอกตอนนี้
ในใจของเย้นหว่านกลับเหมือนแมวที่กำลังไล่คว้าไล่ตะปบอยู่ สรุปแล้วโห้หลีเฉินคิดจะจัดการกับเรื่องแต่งงานของพี่ชายเธอยังไงกันแน่?
เธอแทบจะจินตนาการไม่ออกเลย ว่าการที่มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างกับพี่ชายของเธอ มันเป็นภาพยังไง
แต่ว่า ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น แล้วกู้จื่อเฟยจะทำยังไง……
ต่อให้ตอนนี้จะไม่ชอบเย้นโม่หลินแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยการที่เห็นคนที่อยู่ในใจของตัวเองอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงคนอื่น ใจของกู้จื่อเฟยก็รู้สึกไม่สบายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
พอคิดถึงตรงนี้ เย้นหว่านก็ดึงแขนของโห้หลีเฉิน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“เรื่องแต่งงานของพี่ฉันไม่ต้องรีบจัดการหรอก คุณ……อย่าทำให้กู้จื่อเฟยรู้สึกไม่สบายใจเลย”
โห้หลีเฉินเม้มปาก พูดตอบกลับไปอย่างสุขุมรอบคอบ“ผมรู้ขอบเขตดี ”
หลังจากที่เอาข้าวของสัมภาระเข้าไปในห้อง จัดระเบียบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง
กู้หรงกระตือรือร้นสุดๆ ให้พ่อครัวทำอาหารมาเต็มโต๊ะไปหมด
พวกเย้นหว่านเพิ่งจะเดินเข้ามา เขาก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น
“รีบมาทานข้าวเร็วเข้า นั่งๆ นั่งตรงนี้”
ป่ายฉีถูกบังคับให้นั่งลงที่นั่งใกล้กับกู้จื่อเฟยที่กู้หรงเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ
ทั้งสองคนต่างอึ้งตะลึง หันมองกันและกัน รู้สึกรังเกียจสุดๆ
ส่วนเย้นโม่หลิน นั่งลงตรงข้ามกับกู้จื่อเฟย เห็นกู้จื่อเฟยกับป่ายฉีสบตากันพอดี
ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนใกล้กันมาก
สายตาของเขาดำมืดลงทันที ส่ายหัวอย่างหมดหนทาง พี่ชายคนนี้ของเย้นหว่าน อารมณ์เกรี้ยวกราดจริงๆ
เอาแต่สีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
เด็กที่ร่าเริงสดใส ดูสบายตาแบบป่ายฉีนี่สิถึงจะเหมาะสมกับจื่อเฟยของตระกูลเขา
“จื่อเฟย แขกมาบ้าน ลูกรีบคีบกับข้าวให้กับป่ายฉีสิ”
“คีบกับข้าวให้เขา?”
กู้จื่อเฟยถลึงตาโตด้วยความตกใจ
แล้วกันไปมองป่ายฉีอีกครั้ง ความรู้สึกที่อยากจะจับตะเกียบยังไม่มีเลยจริงๆ เธอไม่อยากจะคีบอาหารให้เขาเลยสักนิด
หมอนี่เมื่อวานยังข่มขู่เธออยู่เลย
พอเห็นกู้จื่อเฟยไม่ขยับ กู้หรงก็นึกว่าเธอเขินอาย จึงผลักๆดันๆแขนของเธอ
“เด็กคนนี้นี่ เห็นปกติไม่แยแสไม่สนใจอะไร พอตอนนี้ล่ะทำมาเป็นเขินอาย ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีคนหัวเราะลูกหรอก ลูกคีบกับข้าวให้กับป่ายฉีให้มากๆหน่อยสิ ต่อไปจะได้คุ้นชิน”
คุ้นชิน? คุ้นชินอะไร?
กู้จื่อเฟยรู้สึกว่าขมับมันเต้นแรงจริงๆ
เธออยากจะพูดด่ากลับไป ว่าป่ายฉีมีมือมีเท้า แต่พอเห็นท่าทางที่ถ้าไม่บรรลุตามที่ต้องการจะไม่ยอมแพ้ของพ่อตัวเองแล้ว กลัวว่าเขาจะพูดจาแปลกๆออกมาอีก เธอจึงทำได้แค่ยอมประนีประนอมทำตามแต่โดยดี
ยอมฝืนคีบผักบุ้งโยนไปไว้ในถ้วยของป่ายฉี“รีบกิน กินเยอะๆหน่อยล่ะ”
ป่ายฉีมองผักบุ้งสองสามชิ้นที่อยู่ในถ้วยของตัวเอง ชักมุมปาก รู้สึกสงสัยว่าอาหารทั้งหมดนี้มันเคลือบไปด้วยพิษหรือเปล่า
แต่ในตอนนี้เอง ฝั่งตรงข้ามของเขา ก็มีลมที่หนาวเย็นถึงกระดูกพัดโบกเข้ามา
ป่ายฉีเงยหน้าขึ้นมองสบตากับสายตาที่เยือกเย็นของเย้นโม่หลิน โหดเหี้ยมดุจคมมีด ที่จะเข้ามาฟาดฟันเขา
ป่ายฉีร่างกายสั่นสะดุ้งอย่างกลั้นไม่อยู่
เขาอยากจะพูดอธิบายว่า เขาบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องจริงๆ!
มีคนพยายามที่จะผลักเขาตกเหวไปอย่างแรง
กู้หรงมองเขาพร้อมกับหัวเราะเหอะๆ ก่อนจะพูดขึ้น“ป่ายฉี ทำไมนายถึงไม่กินล่ะ? รีบกินสิ นายชอบกินผักบุ้งใช่ไหม จื่อเฟยก็เลยคีบให้นายโดยเฉพาะเลยนะ”
ป่ายฉีชักมุมปาก ยังกินอยู่ เขากังวลว่าถ้ากินคำนี้เข้าไป ชีวิตจะหาไม่น่ะสิ
ในชีวิตนี้ของเขาไม่อยากจะเห็นผักบุ้งอีกแล้ว
ภายใต้สายตาที่เปล่งประกายของกู้จื่อเฟย ป่ายฉีคีบตะเกียบอย่างยากลำบาก จะกินก็ไม่ใช่ จะไม่กินก็ไม่เชิง
ในเวลาแบบนี้ หนีไปซะเลยดีไหม?
ใช่ หนีไปดีที่สุด ปลอดภัยที่สุดแล้ว!
ป่ายฉีรีบเอามือกุมท้องทันที เสียงร้อง“โอ้ย”ยังไม่ทันได้ออกมาจากปาก โห้หลีเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆก็เปิดปากพูดอย่างเงียบๆขึ้นมาก่อน
“คุณใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ คงจะไม่ชินกับการที่มีคนอื่นมาคีบอาหารให้คุณสินะ แต่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แล้วนี่ก็เป็นอาหารที่จื่อเฟยคีบให้กับคุณด้วย กินไปเถอะ”
ผู้คนตรงนั้นต่างพากันจ้องมองโห้หลีเฉินอย่างอึ้งตะลึง
ทำไมถึงคิดไม่ถึง ว่าโห้หลีเฉินจะพูดเสริมกู้หรง เขาหมายความว่ายังไงกัน?
ทุกคนยังไม่ทันได้คิดอะไรออก โห้หลีเฉินก็หันไปพูดกับกู้หรงอย่างนิ่งๆ
“ผมอยู่กับป่ายฉีมานานมาก เขาเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่งเลย มีความสามารถ มีความรับผิดชอบ คุ้มค่ากับการที่หญิงสาวจะฝากชีวิตเอาไว้ได้”
คำพูดนี้ ฝังลึกลงในใจของกู้หรง
เขาหัวเราะออกมาด้วยความพออกพอใจ พยักหน้ารัวๆ“ใช่ ฉันก็รู้สึกว่าป่ายฉีเด็กคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ คุ้มค่ากับการฝากชีวิตไว้”
ป่ายฉี“……”เขาไปทำให้ใครไม่พอใจเข้าหรือไงกัน?
กู้จื่อเฟย“……”ตาบอด
เย้นหว่าน“……”โห้หลีเฉินผิดปกติไปขนาดนี้จะต้องคิดอะไรไว้แน่นอน
เย้นโม่หลินใบหน้าดำมืดลง
ป่ายฉีเป็นคนที่เขาพาออกมา จะชื่นชมเขาไม่เป็นไรหรอก แต่เจตนาที่พวกกู้หรงชมนั่นน่ะสิ สายตาแบบนั้น คิดที่จับกู้จื่อเฟยให้คู่กับป่ายฉีอย่างนั้นเหรอ?
จับคู่สามีภรรยาได้มั่วซั่วมาก!
กู้หรงไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของบรรยากาศเลยสักนิด อารมณ์ดีสุดๆ จูงมือของกู้จื่อเฟยอย่างยิ้มแย้ม คำพูดคำจาก็หนักแน่นจริงจัง
“จื่อเฟยเอ้ย ลูกดูสิลูกอายุขนาดนี้แล้ว ควรจะพูดถึงเรื่องแต่งงานได้แล้ว ป่ายฉีเป็นชายหนุ่มที่ดีคนหนึ่งเลย ลูกกับเขา……”
“ปึ้ง!”
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมา ตะเกียบตกลงบนโต๊ะอย่างแรง
เย้นโม่หลินลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าดำมืด รอบๆตัวราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำอึมครึมที่ดูน่ากลัว
“ผมไม่ค่อยอยากเท่าไร พวกคุณทานกันให้อร่อย”