สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 843 ต้มบะหมี่
มีเสียงขี้เกียจของป่ายฉีดังขึ้นมาจากในห้องหนังสือ“เข้ามา”
ไม่ถามเลยสักนิดว่าเป็นใคร
กู้จื่อเฟยทำได้แค่หมุนลูกบิด เปิดประตูเข้าไปอย่างเบาๆ
พอประตูเปิดออก เธอก็เห็นผู้ชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ใบหน้าหล่อเหลา ต่อให้เห็นหลายครั้งแล้ว ก็ยังคงทำให้เธอเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย
ไม่รู้ว่าเขาได้ความโปรดปรานมาจากสวรรค์มากขนาดไหน ถึงได้มีใบหน้าที่ไร้ที่ติได้ขนาดนี้
น่าหลงใหลดึงดูดใจคนสุดๆ
“จื่อเฟย คุณมาส่งกาแฟเหรอ?”
ป่ายฉีที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานเล็กอีกโต๊ะหนึ่งพูดถามขึ้น
พอได้ยินคำพูดนี้ เย้นโม่หลินที่กำลังก้มหน้าตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง นิ้วมือที่กำลังเคาะแป้นพิมพ์อยู่ก็ชะงักเล็กน้อย ในสายตามีภาพของกู้จื่อเฟยปรากฏขึ้นมา
แต่ท่าทางการกระทำของเขาไม่ได้หยุดนิ่ง เสียงเคาะแป้นพิมพ์ที่ดังชัดเจนยังคงดังอยู่อย่างนั้น
ในตอนนี้กู้จื่อเฟยดึงสติกลับมา รีบดึงสายตากลับมาจากเย้นโม่หลินทันที แสร้งทำเป็นพูดขึ้นอย่างนิ่งสงบ
“เสี่ยวหว่านชงกาแฟให้กับพวกคุณ ฉันก็เลยช่วยเอามาส่งให้พวกคุณน่ะ”
พูดพลาง กู้จื่อเฟยก็ยกถาด เอากาแฟวางไว้บนโต๊ะของป่ายฉีหนึ่งแก้ว
ป่ายฉีรู้สึกกระหายพอดี ก็เลยจะหยิบแก้วมาอย่างดีอกดีใจ แต่มือยังไม่ทันจะแตะแก้ว ก็รู้สึกถึงได้ถึงรังสีที่หนาวเย็นแผ่กระจายออกมาจากใครสักคน
ท่าทางของเขานิ่งชะงักไปทันที
เขาสีหน้าไม่ดีแล้ว
มีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าช่วงหลายวันมานี้เขาผ่านมาอย่างยากลำบากขนาดไหน เหมือนกับกระต่ายน้อยที่ทำผิดแล้วถูกหมาป่าที่แสนโหดเหี้ยมจ้องจะทำร้าย วันๆเอาแต่กดดัน ทรมานกลั่นแกล้งรังแกเขา
แถมยังบังคับให้คนที่ว่างไม่ทำอะไรมาโดยตลอดแบบเขาต้องมาหมกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือดูพวกเอกสารข้อมูลที่เข้าใจยากพวกนี้กับเขาตลอดทั้งวันอีกด้วย
แต่ร่างกายกับจิตใจยังคุ้นชิน ไม่กล้าพูดปฏิเสธไป ไม่อย่างนั้นเขาจะกลัวจริงๆว่าเย้นโม่หลินจะต้องบีบคอเขาตายแน่ๆ
ถึงยังไง ความโกรธเกลียดเคียดแค้นที่กู้หรงนำพามาให้เขาก็มากเกินพออยู่แล้ว
ดูสิ ตอนนี้ก็มาถึงจุดที่ถูกคนใช้รังสีอำมหิตเพ่งใส่เขาอย่างไม่มีเหตุมีผลเพียงเพราะเขาดื่มกาแฟที่กู้จื่อเฟยส่งมาให้
เขามัน…ทุกข์ใจมากจริงๆ!
มันหนักหนาร้ายแรงมากเลยเหรอ?
ก็แค่ดื่มกาแฟแก้วเดียวเองไม่ใช่หรือไง?!ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม
ป่ายฉีลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิดโมโห พูดด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
“ผมปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
พูดจบ เขาก็ก้าวขาเดินออกไปข้างนอกทันที ถือโอกาสปิดประตูจากข้างนอกด้วยซะเลย
เขาเริ่มตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่างแล้วว่า ถ้าเขาอยู่ห่างจากที่ที่มีกู้จื่อเฟยอยู่ ก็จะง่ายต่อการหลีกเลี่ยงจากการถูกฆ่าฟันได้
กู้จื่อเฟยมองผู้ชายที่วิ่งหนีออกไปราวกับสายลมด้วยความตกตะลึง
หันสายมองไปยังห้องน้ำที่อยู่ข้างในห้องหนังสือ อยากที่จะพูดว่า ที่นี่ก็มีห้องน้ำ ทำไมต้องวิ่งออกไปข้างนอกด้วย?
ป่ายฉีโง่อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ จะใช้หลักเหตุผลปกติทั่วไปมาตัดสินพฤติกรรมของเขาไม่ได้เลย
แต่ป่ายฉีไปแล้ว ห้องสมุดที่ปกติก็ไม่ได้ใหญ่อยู่แล้ว ในเวลานี้ก็เหลือเพียงแค่กู้จื่อเฟยกับเย้นโม่หลิน
เสียงเคาะแป้นพิมพ์ที่ไม่รู้ว่าหยุดลงตั้งแต่เมื่อไร ในห้องเงียบสงัดถึงขนาดที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้น
กู้จื่อเฟยรู้สึกตึงเครียดกดดันขึ้นมาทันที
เธอกำถาดในมือไว้แน่น เดินแข็งทื่อไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเย้นโม่หลิน พยายามฝืนยิ้มเอาไว้ วางกาแฟลงตรงหน้าของเขา
พูดขึ้นเบาๆ“ดื่มกาแฟสิ พักผ่อนสักหน่อย”
เธอพูดขึ้นอย่างมีมารยาท แต่กลับไม่คิดว่าเย้นโม่หลินจะตอบ“อื้อ”กลับมาอย่างจริงจัง
กู้จื่อเฟยมองเขาด้วยความตกตะลึง สายตาสั่นไม่นิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปยังไงดีอยู่นานสองนาน
เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นมาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
กู้จื่อเฟยใจเต้นตึกตัก เธอพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันออกไปก่อนแล้วกัน”
แทบจะหนีหัวซุกหัวซุน
แค่ได้เห็นหน้า แค่ได้สบตา เธอก็แทบจะยอมจำนนแล้ว
ในใจมีแต่คำดูถูกดูแคลนตัวเองเต็มไปหมด
“รอเดี๋ยว”
เสียงทุ้มต่ำในลำคอของเย้นโม่หลินดังขึ้น สายตาที่นิ่งลึกมองมายังกู้จื่อเฟย
กู้จื่อเฟยหยุดชะงักลง
แววตาของเธอสั่นไม่นิ่ง“มีเรื่องอะไรอีกเหรอ?”
เย้นโม่หลินหันสายตามามองเธอตรงๆอย่างนิ่งลึก ราวกับน้ำวนที่พร้อมจะดูดกลืนวิญญาณของคนเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
“ตึกตัก ตึกตัก”
กู้จื่อเฟยใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ใจแทบจะเต้นออกมาจากอกนั้น เย้นโม่หลินก็เปิดปากพูดขึ้นอย่างอบอุ่น
“ตอนค่ำ ช่วยทำบะหมี่อีกสักครั้งได้ไหม?”
“ว่าไงนะ?”
กู้จื่อเฟยถลึงตาโต รู้สึกไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
เย้นโม่หลินสีหน้าอึดอัดไม่ค่อยเป็นตัวเอง เม้มปาก พูดอย่างแข็งทื่อไม่น้อย
“ช่วงสองสามวันนี้งานเยอะมาก ตอนค่ำก็เลยรู้สึกหิว”
ดังนั้น จึงอยากให้เธอทำบะหมี่ให้เขากินจริงๆ
เหตุผลนี้ ฟังแล้วค่อนข้างสมเหตุสมผลดี แต่ว่า……
ใจของกู้จื่อเฟยกระโดดเต้นออกมาจากอกเรียบร้อยแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมือนกับความฝันในคืนนั้น ไม่คิดว่าคืนนี้มันจะกลับมาอีกครั้ง
เย้นโม่หลินยังอยากจะกินมื้อดึกกับเธออีก
พอเห็นกู้จื่อเฟยอึ้งตะลึงไป เย้นโม่หลินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ทำไม ไม่สะดวกเหรอ?”
จริงๆแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงพูดความต้องการที่ไร้เหตุไร้ผลแบบนี้ออกมา
เขาไม่ได้เป็นคนชอบกินมื้อดึก เขาไม่เคยกินมาก่อน
แต่ตั้งแต่ที่กินบะหมี่ที่กู้จื่อเฟยต้มให้ในคืนนั้น เขาก็เหมือนจะเสพติด ตอนค่ำจะรู้สึกหิว อยากจะกินอะไรสักอย่าง
แถมที่อยากกินที่สุด ก็คือบะหมี่ที่เธอต้มนั่นเอง
กู้จื่อเฟยส่ายหัวโดยสัญชาตญาณ“เปล่า สะดวกมาก”
พูดจบ เธอก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง
สะดวกมากอะไรเนี่ย? เธอตั้งหน้าตั้งตารอที่จะต้มบะหมี่ให้เย้นโม่หลินหรือไง?
อยากจะเอามีดมาแทงตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจริงๆ
พอได้คำตอบที่ต้องการแล้ว คิ้วที่ขมวดอยู่ของเย้นโม่หลินก็คลายออก มุมปากยกขึ้น
จิตใจอารมณ์ในตอนนี้ดีขึ้นมาไม่น้อย
รอยยิ้มนั้นบางเบามาก ถ้าไม่ดูให้ดีก็จะไม่เห็น แต่ต่อให้เห็นแล้ว กู้จื่อเฟยก็รู้สึกว่าตัวเองตาฝาด เห็นภาพลวงตา
นี่เย้นโม่หลินยิ้มอย่างนั้นเหรอ?
ยิ้มตอนที่เย้นหว่านไม่อยู่อย่างนั้นเหรอ?
เป็นไปได้ยังไง……
เธอเคยเห็นแบบนี้เป็นครั้งแรก
มันช่างดูดีจริงๆ
กู้จื่อเฟยไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากห้องสมุดได้ยังไง ที่เดินออกมามีเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น
เธอราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว สับสนมึนงง
ในหัว มีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องสมุดลอยวกวนไปมา เรื่องที่เย้นโม่หลินให้เธอต้มบะหมี่ให้กับเขาในตอนค่ำ
ใจของเธอเต้นแรง ในหัวมีแต่ภาพกินบะหมี่ในคืนนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
คืนนี้ ก็จะได้อยู่ด้วยกันสองคนตามลำพังอีกแล้วเหรอ?
คนที่เมื่อก่อนคิดว่าไม่มีทางเข้าใกล้ได้เลย จู่ๆปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเธออย่างน่าแปลกใจแบบนี้ แถมยังมีปฏิสัมพันธ์แบบนี้กับเธออีก
คืนที่เงียบเหงานั้น ราวกับเป็นค่ำคืนที่เป็นความลับระหว่างทั้งสองคน
ทำให้ใจเธอหวั่นไหว ทำให้ใจเธอว้าวุ่น
แต่กู้จื่อเฟยลืมไปเรื่องหนึ่ง แม้ว่าเธอตอบรับไปแล้วว่าจะต้มบะหมี่ให้เย้นโม่หลินในตอนค่ำ แต่ลืมถามไปว่า เขาจะมากินตอนกี่โมง
ถึงยังไงก็เป็นมื้อดึก เวลาก็ไม่แน่นอน
ดังนั้น เธอต้องลงไปต้มบะหมี่กี่โมงถึงจะพอเหมาะพอดี? หรือว่าไปเรียกเขาก่อน?
กู้จื่อเฟยเดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยความลนลาน ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี