สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 871 มอบหัวใจให้?
ทุกๆคำนั้น ราวกับระเบิดหล่นเข้ามาในใจของกู้จื่อเฟย ระเบิดจนเธออึ้งตะลึงไป
เธอแทบจะไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง คำพูดที่ได้ยินนี้ มันช่างเพ้อฝันยิ่งกว่าความฝันเสียอีก
เธอคงจะไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? เธอจะต้องฟังผิดไปแน่ๆ!
ไม่อย่างนั้นทำไมเธอถึงรู้สึกว่าโลกทั้งใบมันเหมือนไม่ใช่ความจริง บ้าบอคอแตกยิ่งกว่าความฝันอีก
เย้นโม่หลินเห็นท่าทีที่นิ่งชะงักไปของกู้จื่อเฟย ก็รู้สึกอึดอัดจิตใจไม่สงบอยู่ไม่น้อย
นิ้วมือของเขากำแน่น พูดอธิบายด้วยเสียงนิ่งๆ
“เรื่องเมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร คุณก็กลายเป็นผู้หญิงของผมเรียบร้อยแล้ว ผมควรจะรับผิดชอบคุณ ถึงยังไงเมื่อคืนผมก็เป็นคนที่รังแกคุณ”
ในโลกของเย้นโม้หลิน มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมอย่างน่าประหลาดใจ
ในเมื่อหลับนอนกันแล้วก็ต้องรับผิดชอบ เธอก็ควรเป็นผู้หญิงของเขา เป็นภรรยาในอนาคตของเขาแล้ว
พอฟังคำพูดของเย้นโม่หลิน สภาพที่กำลังเพ้อฝันอยู่ของกู้จื่อเฟยก็ถูกความจริงทำลายจนพังทลายลง ทำให้เธอยิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า นี่เป็นความจริง
เย้นโม่หลินจะรับผิดชอบเธอจริงๆ!
รับผิดชอบ ยอมมอบหัวใจให้
กู้จื่อเฟยเปลี่ยนจากผู้ครอบครองกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยที่ลงทุนไปนิดเดียวเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่นี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองด้อยต่ำต้อยไร้ความสามารถ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
กู้จื่อเฟยนิ่งเงียบไปอยู่นานสองนาน ทำให้ใจของเย้นโม่หลินยิ่งรู้สึกประหม่า
เหมือนกับหินหนึ่งก้อนที่ตกลงไปในแม่น้ำ ค่อยๆจมดิ่งลงในแม่น้ำที่ไร้ซึ่งก้นบึ้ง
เขาสีหน้าซับซ้อน ขมวดคิ้วแน่น
เขาเข้าใจ ว่าเรื่องนี้สำหรับกู้จื่อเฟยแล้ว มันกะทันหันแล้วก็เสียเปรียบมากเกินไป
เขาเต็มใจรับผิดชอบ ทั้งที่คนอื่นอาจจะไม่จำเป็นต้องเต็มใจยอมรับก็ได้ แต่ถึงยังไงนี่มันก็เกี่ยวข้องกับชีวิตทั้งชีวิตของผู้หญิง
ตอนนี้ไม่ใช่ยุคสมัยที่แค่เห็นเท้าของผู้หญิงคนไหนแล้วก็ต้องแต่งงานกับคนนั้นกันแล้ว
เย้นโม่หลินจิตใจหนักหน่วงสุดๆ เขาสับสนอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบามากๆ
“ถ้าคุณไม่เต็มใจล่ะก็ ผมก็……”จะรอคุณ…..
“ฉันเต็มใจ!”
เย้นโม่หลินยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกคำว่า”ฉันยอมรับ”คำพูดนี้ของกู้จื่อเฟยตัดบทขึ้นมาก่อน
ทั้งสองคนสบตากัน ช่วงเวลานั้นเงียบสงัด
ใจของทั้งสองคน กลับเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก นั่นมันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ใจคนสั่นไหว
วินาทีต่อมา กู้จื่อเฟยก็หันสายตาไปที่อื่นด้วยความตื่นตกใจ แก้มเริ่มแดงเล็กน้อย
เธอแสดงออกอย่างรีบร้อนเกินไปแล้ว ไม่มีการรักนวลสงวนตัวเลยสักนิด ช่างน่าขายหน้าจริงๆ
น่าอายสุดๆ
เธออยากที่จะหารูสักรูมุดหนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในใจกลับอยากที่จะบินลอยขึ้นไปบนเมฆอย่างอดไม่ได้
เย้นโม่หลินถอนหายใจออกมาอย่างทันที จากใจที่หนักหน่วงในช่วงเวลานี้ก็เปลี่ยนเป็นสดใสปลอดโปร่งขึ้นมาทันที
ยังดี ที่เธอเต็มใจ
มุมปากของเขายกขึ้นอย่างอดไม่ได้ แม้แต่เสียงก็อบอุ่นขึ้นมาไม่น้อยอย่างไม่รู้ตัว
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมจะกลับไปสู่ขอคุณกับพ่อแม่ของคุณก็แล้วกัน”
“หา?”
กู้จื่อเฟยเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ ตอบสนองกลับมาไม่ถูกเลยสักนิด
จะสู่ขอเลยเหรอ? มันเร็วเกินไปไหม เร็วเกินไปแล้ว
เธอทั้งตื่นตระหนกทั้งสับสนวุ่นวาย พูดออกไปทันที”เร็วเกินไปไหม? ฉันยังไม่ทันได้เตรียมตัวดีเลย”
เธอยังไม่ทันได้เตรียมอะไรเลยก็ว่าได้ ตอนนี้รู้สึกว่ายังคงอยู่ในความฝันอยู่เลย
เย้นโม่หลินพูดเสียงเบา”แล้วคุณอยากจะเตรียมตัวนานแค่ไหน?”
กู้จื่อเฟยรู้สึกว่าตัวแทบจะเอ๋อไปแล้ว
เตรียมตัวนานแค่ไหน? เธอไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด
แต่พอเห็นท่าทางที่แทบอยากจะนัดหมายเรื่องแต่งงานให้เสร็จภายในสามวันอย่างอดใจรอไม่ไหวแล้ว รีบร้อนกว่าเธอตั้งร้อยเท่าแบบนั้นของเขาแล้ว
กู้จื่อเฟยก็ราวกับลอยอยู่บนเมฆ เพ้อฝันไปไกล
ถ้าเกิดไปสวมชุดแต่งงานเข้าปฏิญาณตนไปตรงๆเลยล่ะก็ เธอกลัวว่าจะยิ่งลอยเพ้อไปตลอดชีวิต ไม่แน่ถ้าเกิดถูกคนมาจิ้มเข้าอย่างแรง ความฝันก็อาจแตกสลายไปก็ได้
เธอกดความตื่นเต้นสั่นไหวเอาไว้ในใจ พูดขึ้นด้วยแววตาสั่นไม่นิ่ง
“ฉันรู้สึกว่า พวกเรายังไม่ค่อยคุ้นชินกันเลย แล้วก็ยังรู้จักอีกฝ่ายไม่มากพอเลยด้วย จะดีจะร้ายยังไงก็ต้องสร้างความสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆใช่ไหมล่ะ? งานแต่งงานที่ต่างคนต่างมีความรักให้กันสิถึงจะมีความสุข”
“รักกัน?”
เย้นโม่หลินพูดเน้นย้ำคำคำนี้ ใบหน้าที่หล่อเหลานิ่งชะงักไปอย่างปกปิดไม่อยู่
ในพจนานุกรมของเขาไม่เคยมีคำคำนี้มาก่อน
กู้จื่อเฟยก็นิ่งชะงักไปเหมือนกัน มองเย้นโม่หลินอย่างเหม่อลอย
เธอพึงจะดึงสติกลับมาจากความสุขที่มากมายเอ่อล้น ตระหนักได้ว่า ที่จู่ๆเย้นโม่หลินก็อยากจะอยู่ด้วยกันกับเธอ ก็เพียงเพราะว่าอยากจะรับผิดชอบเรื่องเมื่อคืนเท่านั้น
ไม่ใช่เพราะรัก แล้วก็ไม่ใช่เพราะอื่นใด
เธอรู้จักเขามานานขนาดนี้ ก็เข้าใจในตัวเขาอยู่ไม่น้อย เขาไม่ได้ชอบเธอ เธอไล่ตามเขานานขนาดนั้นยังไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง
ตอนนี้ต่อให้ได้แต่งงานกัน ก็เป็นแค่……
ใจที่มีความสุข จู่ๆก็ถูกครอบงำด้วยความหม่นหมองทันที กู้จื่อเฟยห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงไปในทันที
เย้นโม่หลินขมวดคิ้ว พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมไม่ค่อยเข้าใจ ผมจะไปทำความเข้าใจกับคำว่ารักกันสักหน่อย ผมบอกแล้วว่า ไม่มีเรื่องไหนที่ผมทำไม่ได้ ผมจะรักคุณ”
ผมจะรักคุณ……
จะรักคุณ……
กู้จื่อเฟยถลึงสองตาโตด้วยความตะลึง จ้องมองผู้ชายตรงหน้าที่พูดเรื่องความรักอย่างเข้มงวดจริงจังเหมือนกับกำลังทำภารกิจอยู่คนนี้
คำว่ารักกันที่เขาเข้าใจ คงจะไม่เบี่ยงเบนไปจากที่เธอเข้าใจหรอกนะ?
แต่ เพราะคำพูดของเขา ทำให้ความหม่นหมองที่อยู่ในใจของเธอจางหายไปจนหมด
กู้จื่อเฟยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นผู้ชายที่เธอชอบเลยนะ คนที่ไม่สนใจไม่แยแสอะไร แม้แต่ความรักขั้นพื้นฐานก็ยังไม่รู้
โง่ แต่กลับน่ารักจริงๆ
เขาที่เป็นแบบนี้ ทำให้เธอหาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้
“จุ๊ๆๆ”
เย้นหว่านพูดแขวะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้”ใครบอกว่าพี่ชายของฉันอีคิวต่ำจนเกินเยียวยา? เขาเนี่ยนะอีคิวต่ำ? แค่ไม่กี่ประโยคก็โน้มน้าวล่อลวงผู้หญิงเรื่องแต่งงานได้แล้ว เขามันต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่ไหนกันล่ะ นี่มันราชาชัดๆ!”
โห้หลีเฉินยกมุมปากอย่างพออกพอใจ ไม่เสียแรงที่ลงมือช่วย
อารมณ์เขาก็ไม่เลวเลยจริงๆ ก้มตัวลง ริมฝีปากบางๆกระซิบลงที่ข้างหูของเย้นหว่านเบาๆ
“คืนนี้มาที่ห้องผม”
คำพูดคำจาที่อ่อนไหวนั้น ทำให้เย้นหว่านแก้มแดงทันที
ผู้ชายคนนี้ ทำไมเอาแต่ดึงเข้าเรื่องนี้ตลอดเวลาเลยนะ?
แถมเย้นโม่หลินก็จงใจแยกให้พวกเขานอนด้วยกัน เธอแอบหนีออกไปกลางดึกก็ถูกจับกลับมาอีก
พอมองออกว่าเย้นหว่านกำลังเขินอายและหวาดระแวง รอยยิ้มที่ปากของโห้หลีเฉินก็ลึกมาขึ้น แววตาที่หม่นหมองราวกับมีเปลวไฟเล็กๆลุกโชนขึ้นมา
น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดสุดๆ”ตอนนี้พี่ชายของคุณไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจพวกเราแล้ว”
ดังนั้น คืนนี้พวกเขาสามารถทำเรื่องไร้ยางอายกันได้แล้ว
วินาทีที่ได้ฟังคำพูดที่อ้อมค้อมของโห้หลีเฉิน เย้นหว่านก็หน้ายิ่งแดงขึ้นไปอีก ทั้งอายทั้งโกรธ
โห้หลีเฉินไม่ได้ใสบริสุทธิ์อย่างที่คิดไว้ เป้าหมายที่จับคู่ให้กับเย้นโม่หลินและกู้จื่อเฟยชัดเจนสุดๆ ตอนนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว ก็แทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะหลับนอนกับเธอแล้ว
จริงๆเลย ไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เอ้ย
“ตอนนี้จะได้คบกับเย้นโม่หลินจริงๆแล้วเหรอ? เขาจะรับผิดชอบฉัน วางแผนที่จะแต่งงานกับฉันจริงๆอย่างนั้นเหรอ?”
กู้จื่อเฟยถามคำถามนี้รอบที่18
ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว เธอยังคงราวกับฝันไป รู้สึกดีใจจนเพ้อฝันหาความจริงไม่เจอ ทั้งตัวล่องลอยไปราวกับกำลังเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ