สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 933 เธอเป็นยังไงบ้าง
เบื้องหลังนั้น เสียงของการเข่นฆ่าอันน่าสลดก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย
คนที่ไล่ตามมามากเกินไปจริงๆ นอกจากตัวเองแล้ว เว่ยชีก็ทิ้งให้พวกบอดี้การ์ดทั้งหมดอยู่สกัดกั้นเอาไว้
ขอแค่เจอรถ แล้วเขาพาพวกเย้นโม่หลินมุ่งเข้าไป ก็จะหนีไปได้ง่ายขึ้นมาก
“ข้างหน้ามีรถแล้ว”
เว่ยชีที่เดินสำรวจทางอยู่ข้างหน้า เห็นว่ามีรถที่ผ่านมาที่ริมถนนนอกป่า ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที
สภาพของพวกเย้นโม่หลินนั้นย่ำแย่มากจริงๆ กู้จื่อเฟยเองก็แทบจะประคองไว้ไม่อยู่แล้ว ขึ้นรถแล้วยังไงพวกเขาก็คงจะผ่อนคลายลงได้หน่อย
“ผมจะไปโบกรถ”
เว่ยชีเดินนำไปที่ริมถนน
ถนนเส้นนี้เป็นเส้นเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ถนนเส้นหลัก รถที่ผ่านไปมามีไม่มากแต่ก็ไม่น้อย
เมื่อเว่ยชีมาถึงก็เห็นรถคันหนึ่งขับมา เขารีบเอื้อมไปโบกรถ
ทว่า รถคันนั้นกลับเร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน พุ่งตัวผ่านพวกเขาไปราวกับเห็นผีอย่างนั้น
เว่ยชี “…..” ไม่แล้งน้ำใจเกินไปหรือไง?
เห็นหนุ่มหล่อขนาดนี้แล้วไม่นึกว่าจะยังไม่หยุดรถ คนขับคงจะเป็นผู้ชายขี้เหร่แน่นอนเลย
เว่ยชีไม่เชื่อ เขาโบกรถต่ออีกครั้ง ฝีเท้าหนักหน่วงของเย้นโม่หลินเดินเข้ามา
“แบบนี้นายโบกไม่ได้หรอก ไปปล้นมาเลยเถอะ”
“ทำไมล่ะครับ?”
เว่ยชีไม่เข้าใจอย่างมาก คนปกติก็ออกจะเป็นมิตร ส่วนใหญ่โบกรถก็ช่วยกันอยู่แล้ว
เย้นโม่หลินสีหน้าซีดขาว เหมือนไม่อยากจะพูดอะไรมาก เขาเพียงแค่ใช้สายตามองไปที่เสื้อผ้าของเว่ยชี
เว่ยชีมองไปตามสายตาของเขา ถึงได้เห็นว่าบนร่างของตัวเองมีคราบเลือดกระเซ็นอยู่เต็มไปหมด ดูน่าสยองอย่างมาก
คนปกติเห็นสภาพแบบนี้ของเขา ก็คงไม่มีใครหยุดรถให้หรอก
“เฮ้อ ต้องให้ฉันใช้ความป่าเถื่อนจนได้”
เว่ยชีไม่มีทางเลี่ยง แต่ก็ไม่ได้เหลาะแหละเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น เขาก็บังคับให้รถที่ขับมาคันหนึ่งหยุดลงกลางถนน
คนขับเป็นชายวัยกลางคน เขาลงจากรถอย่างสั่นกลัว สีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวอย่างมาก
เขาเอากระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือทั้งหมดของตัวเองออกมาอย่างสั่นๆ น้ำเสียงพูดปนสะอื้น
“พี่ชาย ของมีค่าทั้งหมดบนตัวผมอยู่ที่นี่ คุณเอาไปแล้วอย่าฆ่าผมเลย อย่าฆ่าผมก็พอ”
เว่ยชี “…..”
เข้าใจผิดไปไกลไปหน่อยนะ
แต่เขาเองก็ไม่ได้อธิบาย เขาจับคนขับโยนทิ้งข้างทางแล้วยื่นบัตรเครดิตให้เขาหนึ่งใบ
“นี่คือเงินหนึ่งล้าน ฉันซื้อรถนายมาแล้ว ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ก็รีบไปจากที่นี่ซะ”
บนมือของเว่ยชีนั้นยังเปื้อนเลือด และบนบัตรเองก็เช่นกัน
คนขับหยิบบัตรที่เต็มไปด้วยเลือกใบนั้น ร่างกายที่สั่นเทิ้มก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เขาพูดขณะร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหล
“พี่ชาย คะ คุณเอารถไป เอารถไปก็พอครับ ผมให้ ให้คุณเลยครับ ผมรับรองว่าจะไม่แจ้งตำรวจแน่นอน ขอแค่ไม่ฆ่าผม อย่าฆ่าผมไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
เว่ยชี “…..”
เว่ยชีสูดหายใจลึกๆ เขาต้องสงบสติอารมณ์ไม่คิดหยุมหยิมกับคนทั่วไป สงบใจ สงบใจ
“เอาบัตรแล้วไสหัวไปให้พ้นสายตาฉันภายในหนึ่งนาที ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าแกซะเลย!”
เว่ยชีคำรามอย่างเดือดดาล
ท่าทางดุร้ายน่ากลัวนั้นทำให้คนขับตกใจกลัวจนฉี่ราดกางเกงทันที ตื่นตระหนกจนแทบจะล้มคะมำลงกับพื้น
น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
แต่ก็ปล่อยให้เขาไปได้ เขาหมุนตัววิ่งไปด้วยความเร็วที่เหมือนกับแข่งวิ่งร้อยเมตรโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อไล่คนขับไปแล้ว ความคับแค้นในใจของเว่ยชีถึงได้ค่อยๆ ระบายออกไปได้หน่อย
เขาเดินเข้าไปเปิดประตูรถ แล้วพูดกับพวกเย้นโม่หลิน
“คุณชายเย้น รีบขึ้นรถครับ ผมจะพาคุณออกไป”
“อืม”
เย้นโม่หลินไร้ซึ่งความลังเล เขาเปิดประตูรถแล้วอุ้มกู้จื่อเฟยเข้าไปอย่างระมัดระวัง
จากนั้นขณะที่เขากำลังจะขึ้นรถ ในตอนนั้นเอง ก็มีกระบอกไฟฟ้าแท่งหนึ่งขว้างมา มันเกือบจะกระแทกหัวของเขาอยู่แล้ว
เย้นโม่หลินหลบออกแล้วพลิกมือปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว
เมื่อเงยขึ้นมอง เขาก็เห็นบอดี้การ์ดชุดดำหลายสิบคนที่ไล่ตามมาจากทางข้างหลัง ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาอ้อมไปโผล่ออกมาจากป่าข้างหน้าอีกหลายสิบคน
ล้อมหน้าล้อมหลัง
“พี่ใหญ่ ถูกตามทันแล้วล่ะ”
ป่ายฉีเอื้อมมือไปยันกับรถไว้ถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง สีหน้าของเขาซีดขาวราวกับผนังสีขาว
เขามองไปยังคนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นยะเยือก ขอบตาแดงก่ำ “ไม่อย่างนั้นก็มาตายไปพร้อมกันเลย”
“อย่า อย่านะๆๆ พวกคุณอย่าทำผิดพลาดเด็ดขาด ผมสัญญากับนายท่านไว้แล้วว่าจะต้องให้พวกคุณรอดไปให้ได้”
เว่ยชีพูดดังนั้นก็หยิบกระบองไฟฟ้าออกมาจากอก ถือไว้ข้างละท่อน
“คุณชายเย้น คุณป่ายฉี พวกคุณอดทนไว้แล้วขับรถไป อีกเดี๋ยวผมจะพุ่งเข้าไปข้างหน้าแล้วแหวกทางให้ พวกคุณก็ใช้โอกาสนี้หนีไปซะ”
ป่ายฉีขมวดคิ้ว “แต่นายแค่คนเดียว….”
“ผมทำได้ครับ คุณป่ายฉี พวกคุณได้รับบาดเจ็บ อยู่ตรงนี้ไม่ได้ รีบขึ้นรถเถอะครับ!”
เว่ยชีท่าทีเด็ดเดี่ยว เขาถือกระบองไฟฟ้าแล้วสาวเท้าพุ่งเข้าไปเบื้องหน้าฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ป่ายฉีและเย้นโม่หลินสบตากัน ก่อนจะตัดสินใจ
พวกเขาไม่ใช่พวกดัดจริต ในสนามรบมีการตัดสินใจเรื่องความเป็นความตายมากมาย
แม้ว่าการที่เว่ยชีอยู่ต่อกรกับคนกว่าร้อยคนนี้ด้วยตัวคนเดียวจะอันตรายอย่างมาก แต่หากพวกเขาอยู่ที่นี่ก็คงช่วยอะไรเว่ยชีไม่ได้อยู่ดี กลับกันจะกลายเป็นภาระของเขาแทน
ตอนนี้การหนีไป เป็นวิธีการที่ดีที่สุด
ป่ายฉีเปิดประตูฝั่งคนขับอย่างรวดเร็ว และกำลังจะขึ้นไป
ในตอนนั้นเอง เสียงอาเจียน “อ้วก” ก็ดังออกมาจากในรถ
ก็เห็นกู้จื่อเฟยที่หยีตานอนคว่ำอยู่ที่เบาะหลัง กำลังกุมหน้าอกแล้วอาเจียนออกมาเป็นเลือด
เย้นโม่หลินพลันหน้าถอดสี
“กู้จื่อเฟย!”
เขาคิดพุ่งเข้าไปดูเธอในรถโดยทันที แต่กลับหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน ขายาวก้าวขึ้นไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ
เขาเอ่ยสั่ง “ป่ายฉี นายไปดูแลเธอ”
ป่ายฉีเป็นหมอ แต่เขาไม่ใช่
ต่อให้ใจจะอยู่กับกู้จื่อเฟยหมดแล้ว แต่ในตอนนี้ เย้นโม่หลินพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมสติและความเยือกเย็นเอาไว้ ในตอนนี้สิ่งที่กู้จื่อเฟยต้องการยิ่งกว่าก็คือการรักษาอย่างมืออาชีพ
ป่ายฉีเองก็ไม่ได้ทำเป็นเล่น เขารีบขึ้นไปเบาะหลังของรถอย่างรวดเร็ว
บรืน—
เมื่อเย้นโม่หลินเหยียบคันเร่ง รถก็พุ่งทะยานออกไปเหมือนลูกธนูในทันที
ทั้งรวดเร็วและรีบร้อน
เว่ยชีนั้นพุ่งเข้าไปในฝูงชนก่อนก้าวหนึ่ง เขาได้ตะลุมบอนกับพวกบอดี้การ์ดและถีบคว่ำลงข้างทางไปหลายคน
ทันใดนั้นฝูงชนก็กระจัดกระจายออกอย่างยุ่งเหยิง
ในจังหวะนั้นเองเย้นโม่หลินที่ขับรถเข้ามาก็ชนเข้าไปตรงที่ที่มีคนอยู่น้อยในทันที
“ตูมตูมตูม”
บอดี้การ์ดบางคนที่ชนเข้ากับหน้ารถ กระเด็นลอยไปไกล
ตัวรถก็สั่นสะเทือนตามไปด้วย แต่เย้นโม่หลินไม่เพียงไม่ลดความเร็ว เขายังกระแทกคันเร่งมุ่งไปข้างหน้าต่อไป
บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังเมื่อเห็นเช่นนั้นก็แทบจะรีบหลบออกไปตามสัญชาตญาณกันหมด
ตอนที่พวกเขาได้สติกลับมา เย้นโม่หลินก็ใช้โอกาสนี้ทะยานออกไปแล้ว
“เร็วเข้า ไล่ตามเขาไป! ห้ามให้เขาหนีไปได้เด็ดขาด!”
บอดี้การ์ดคำรามและกำลังจะไล่ตามไป
ในตอนนั้นเอง กระบองไฟฟ้าท่อนหนึ่งก็กระแทกเข้ากับพวกเขาอย่างรุนแรงจนร่วงไปหลายคนในพริบตา
เว่ยชีถือกระบองไฟฟ้าสองท่อนไว้ในมือ ยืนอยู่ด้านหน้าของถนน และจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาเฉยชา
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระหายเลือด “คู่ต่อสู้ของพวกแก คือฉัน”
หน้ารถของเย้นโม่หลินถูกชนจนบุบและเต็มไปด้วยคราบเลือด ซึ่งเขาเมินเฉยต่อมันอย่างสิ้นเชิง
ความซีดเซียวบนใบหน้าหล่อเหลานั้นยิ่งเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เมื่อมองสภาพของกู้จื่อเฟยที่ยังคงอาเจียนเป็นเลือดผ่านกระจกมองหลัง คิ้วก็ขมวดมุ่น
ในน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขานั้นไม่อาจซ่อนความกังวลไว้ได้
“เธอเป็นยังไงบ้าง?”