สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 936 ตื่นนอนกลางดึก
“ไม่เป็นไร ป่ายฉีจัดการให้หมดแล้ว”
คอเย้นโม่หลินแหบแห้ง แต่ก็ตอบคำถามเธออย่างอดทน
หลังจากนั้นเขายกมือเปิดไฟหัวเตียงทันที
แสงไฟสว่างในพริบตา หลังจากกู้จื่อเฟยไม่คุ้นชินพักหนึ่ง ก็หันมองไปยังร่างเย้นโม่หลินที่สว่างจ้า
เห็นเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมใส่อยู่ สีหน้าค่อนข้างขาวซีด แต่ดูไปแล้วนอกจากความหล่อเหลาเป็นพิเศษแล้วอาการเขาก็ดูไม่แย่นัก
ส่วนท่อนล่างของเขากำลังห่มอยู่ในผ้าห่ม ผ้าห่มผืนเดียวกับที่ห่มเธออยู่
มองไปอีก ไหงพวกเขาถึงนอนอยู่บนเตียงเดียวกันล่ะ
กู้จื่อเฟยอึ้งในทันที ตกตะลึงเล็กน้อย
จะว่าไปเมื่อกี้เธอกับเย้นโม่หลินนอนอยู่บนเตียงเดียวกันงั้นเหรอ?
เดิมทีเย้นโม่หลินอยากถามกู้จื่อเฟยว่ายังไม่สบายตรงไหนอีกไหม กลับเห็นสายตาของกู้จื่อเฟยมองที่ผ้าห่มครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นใบหน้าเล็กก็แดงก่ำ
เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นทันที รีบเอ่ยอธิบาย
“ก่อนหน้านี้เธอสลบไม่ได้สติ สถานการณ์ไม่ดี ดึงไม่ให้ฉันไปไหน ดังนั้นฉันก็เลยนอนเฝ้าเธออยู่ที่นี่”
ใบหน้าของกู้จื่อเฟยยิ่งร้อนขึ้น
เธอดึงไม่ให้เย้นโม่หลินไปเหรอ?
ยังพอมีความทรงจำที่เลือนรางในสมองอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าเธอจะดึงเย้นโม่หลินไม่ปล่อยมืออย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ และเหมือนว่ายังจะเรียกร้องแบบนี้แบบนั้นหลายอย่างแบบสนิทสนม
กู้จื่อเฟยกลุ้มใจมาก ไม่นึกเลยว่าเธอทำเรื่องน่าอับอายอีกรอบจนได้
เพียงแต่เรื่องแบบนี้ในเวลาแบบนี้ เย้นโม่หลินก็ซื่อตรงเกินไป พูดออกมาตรงไปตรงมาขนาดนี้ ทำให้เธอรู้สึกเขินอายมาก
แค่ทำให้เรียบง่ายหน่อยก็ไม่ได้ แค่บอกว่าเป็นห่วงเธอ ดังนั้นถึงได้คอยอยู่เฝ้าก็ได้นี่!
ร่างสูงใหญ่ของเย้นโม่หลินเกร็งแน่น อึดอัดกระวนกระวายใจสุดๆ
แม้ว่าเขากับกู้จื่อเฟยเคยใกล้ชิดกัน และมีความสัมพันธ์เป็นคู่รักเป็นที่แน่นอน แต่เรื่องนอนด้วยกันแบบนี้ ยังคงทำให้เขาลนลานทำอะไรไม่ถูก
มองกู้จื่อเฟยอีกครั้ง ก็ยังคงเขินอายอยู่
เย้นโม่หลินเปิดผ้าห่มออกทันทีพลางเอ่ย
“ยังมืดอยู่ เธอนอนต่อไปอีกสักหน่อย ฉันจะออกไป”
พูดแล้ว เย้นโม่หลินกำลังจะลงจากเตียง
เขาเพิ่งจะขยับ มือเล็กข้างหนึ่งกลับมาจับเขาไว้อย่างรีบร้อน
“อย่าไปนะ”
ร่างกายของเย้นโม่หลินแข็งทื่อทันที หันไปก็สบเข้ากับดวงตาสีดำขลับของกู้จื่อเฟย
พวงแก้มกู้จื่อเฟยเริ่มแดง แต่มือที่จับเย้นโม่หลินไว้ยังคงแนบแน่น
เธอกลอกลูกตาไปมาอย่างว่องไว “ฉันตกใจน่ะ นอนคนเดียวฉันกลัว”
ดังนั้น……
ร่างกายเย้นโม่หลินก็ยิ่งเกร็งแน่นในทันที
ก่อนหน้ากู้จื่อเฟยสลบไม่ได้สติ ความกลัวตามสัญชาตญาณจึงดึงเขาให้อยู่เป็นเพื่อน ดังนั้นที่เขาอยู่ต่อยังไงก็ยังพูดเกลี้ยกล่อมตัวเองว่าสถานการณ์บีบบังคับได้
ทว่าตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ากู้จื่อเฟยได้สติแล้ว กลับต้องการให้เขาอยู่เป็นเพื่อนต่องั้นเหรอ?
เย้นโม่หลินรู้สึกถึงหัวใจของตัวเอง ราวกับถูกเสียบย่างอยู่บนเตาปิ้งย่าง กำลังย่างโดยด้านล่างมีเปลวไฟลุกโชนอยู่
ปริมาณความร้อนนั่น ยิ่งทำให้แผ่ไปทั่วทั้งร่างกายอย่างรวดเร็ว
ทำให้กระสับกระส่ายไม่หยุด
เมื่อเห็นท่าทางนั้นของเย้นโม่หลิน กู้จื่อเฟยเกิดกลัวว่าเขาจะไม่รับปาก โอกาสที่ชายหญิงอยู่กันตามลำพังในที่มืด เธอจะตัดใจปล่อยไปง่ายดายแบบนี้ได้อย่างไร
มือเล็กของกู้จื่อเฟยขยับไปด้านหน้า แขนของเย้นโม่หลินถูกโอบกอดไว้หมด
เธอจ้องมองเขาตาปริบๆ พร้อมด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“พี่เย้น พี่อย่าไปเลยนะ ฉันกลัวจริงๆ หลับตาลงก็เห็นเลือดเยอะแยะ ฮึกฮึกฮือ ท้องก็ยังปวดๆ ด้วย……”
“ท้องก็ยังปวดเหรอ?”
เย้นโม่หลินตึงเครียดขึ้นทันที ทำท่าทางจะเดินไป “ฉันจะไปเรียกป่ายฉีเข้ามา”
ขมับของกู้จื่อเฟยเต้นตุบๆ มือที่กอดแขนเย้นโม่หลินยิ่งแน่นขึ้น
“ไม่ต้องเรียกเขาหรอก อยู่นี่เป็นเพื่อนฉัน เดี๋ยวสักพักก็ไม่ปวดแล้ว”
เด็กสาวโอบกอดแขนของเขาจนแน่น ส่วนที่นุ่มนิ่มก็ยิ่งเสียดสีโดนแขนของเขา
สัมผัสที่นุ่มนิ่มสบายนั้น ทำให้เย้นโม่หลินรู้สึกได้ถึงเปลวไฟที่ลุกโชน ที่เริ่มแผดเผาจากข้างในร่างกาย
ทั่วทั้งแขนของเขาดูเหมือนจะอ่อนยวบยาบไปหมด ร้อนรุ่มไปทั่วร่าง ไร้หนทางปฏิเสธความต้องการของเธอได้โดยสิ้นเชิง
กู้จื่อเฟยสังเกตเห็นสีหน้าเย้นโม่หลินผ่อนคลายลง จึงแย้มยิ้มเหมือนจิ้งจอกแล้วออดอ้อนต่อไป
“พี่เย้น อยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหม? ได้หรือเปล่า?”
เย้นโม่หลินขยับริมฝีปากอย่างแข็งทื่อ “ได้”
เด็กสาวสุดที่รัก สั่นหวาดผวาดั่งเปลวไฟ เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร
แม้ว่าสติสัมปชัญญะในสมองกำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ชายหญิงอยู่กันตามลำพังด้วยกันแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่เผชิญหน้ากับความออดอ้อนของเธอ ความไม่เหมาะสมทั้งหมดก็หายไปหมดแล้ว
กู้จื่อเฟยได้สมปรารถนาแล้ว ดึงเย้นโม่หลินให้เขามานอนบนเตียงใหม่อีกครั้ง
ทว่าเธอไม่ได้นอนลงไปในทันที กลับนั่งอยู่ข้างกายเขา จับจ้องไปที่เรือนร่างของเขาด้วยสายตาลุ่มลึก
เย้นโม่หลินถูกสายตาของเธอจ้องมองจนขนลุก ลูกกระเดือกขยับ กลืนน้ำลายลง
เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า เธอรีบนอนให้เยอะๆ หน่อยเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน”
กู้จื่อเฟยส่ายหัว นิ้วขาวสะอาดค่อยๆ ลูบคลำเสื้อเชิ้ตของเย้นโม่หลิน
นิ้วหยุดอยู่บนกระดุม จากนั้นปลดออกไปหนึ่งเม็ด
เย้นโม่หลินแม้กระทั่งหายใจก็หยุดชะงักในทันที มองกู้จื่อเฟยอย่างตะลึงลาน
เขารีบร้อนจับมือของเธอเอาไว้ “เธอ ทำอะไรน่ะ?”
กู้จื่อเฟยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตผู้ชายเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เธอเขินอายเล็กน้อย แต่ท่าทีกลับแน่วแน่มาก
เธอเอ่ยอย่างตั้งใจ “ให้ฉันดูหน่อย”
เย้นโม่หลิน “……”
กลางดึกกลางดื่น ผู้หญิงคนหนึ่งปลดกระดุมเสื้อของผู้ชาย บอกว่าอยากดูหน่อย แบบนี้จะดีจริงเหรอ?
ในหัวของเย้นโม่หลินวนไปเวียนมา รู้สึกว่าความลำบากในตอนนี้เดี๋ยวนี้มันอันตรายเสียยิ่งกว่าถูกตามล่าตอนอยู่ที่ตระกูลหยูเสียอีก
เขารีบจับมือกู้จื่อเฟยกลับอย่างรีบร้อน เหมือนดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง จึงจะเอ่ยถ้อยคำออกมาจากปากที่แข็งทื่อ
“ตอนนี้ ยังไม่โอเคเท่าไหร่นะ”
“ทำไมล่ะ?” กู้จื่อเฟยไม่เข้าใจ
สีหน้าของเย้นโม่หลินไม่เป็นตัวเองยิ่งขึ้น ที่กกหูดูเหมือนจะแดงแจ๋ไปหมดแล้ว
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างอึดอัดจนถึงขีดสุด “ร่างกาย……เธอได้รับบาดเจ็บยังไม่ฟื้นตัว ยังไม่สามารถทนรับ……อะแฮ่ม……กิจกรรมที่รุนแรงได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จื่อเฟยก็นิ่งชะงักไป
กิจกรรมที่รุนแรงอะไร? เธอต้องการดูบาดแผลบนตัวเย้นโม่หลิน เกี่ยวข้องอะไรกับร่างกายของเธอ?
อย่างไรก็ตามกู้จื่อเฟยเป็นคนมีประสบการณ์ งุนงงไปเพียงชั่วครู่ เห็นท่าทีของเย้นโม่หลินที่เก้ๆ กังๆ ดูอึดอัดใจเป็นอย่างมากนั้น ก็เข้าใจอะไรบางอย่างได้ในพริบตา
เขา นี่เขาเข้าใจผิดเป็นความหมายนั้นเหรอ?
กู้จื่อเฟยหัวใจเต้นรัวและรู้สึกอับอายในทันที
เธอรีบเอ่ยอธิบาย “ฉัน ฉันแค่อยากดูแผลของพี่หน่อย”
เย้นโม่หลินนิ่งชะงัก สีหน้าก็ยิ่งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นในทันที
เขาเข้าใจความหมายของกู้จื่อเฟยผิดไปเหรอ?
น่าอับอายที่สุดเลย
แต่นอกจากอับอายแล้ว ไหงเขาถึงยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอีกกัน?
เย้นโม่หลินรีบปล่อยมือของกู้จื่อเฟยออก พูดอย่างไม่พอใจ “แค่กๆๆ บาดแผลฉันไม่เป็นไร พันผ้าพันแผลไว้หมดแล้ว เธอมองไม่เห็นอะไรหรอก”
ทว่ากู้จื่อเฟยยังคงจ้องมองเสื้อเชิ้ตเย้นโม่หลินด้วยสายตาสบายอกสบายใจ
นิ้วของเธออยู่บนกระดุมทีละนิด จากนั้นช้อนตาจ้องมองเย้นโม่หลินพลางแย้มยิ้มราวกับจิ้งจอกตัวน้อย
“พี่เย้น ความหมายของพี่เมื่อกี้นี้ ขอเพียงฉันร่างกายแข็งแรงดีแล้ว พวกเราก็สามารถทำ……กิจกรรมที่รุนแรงได้แล้วใช่ไหม?”