สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 938 ผู้ชายของฉันเก่งที่สุด
แต่ก่อนมีแต่คนอื่นคอยปรนนิบัติ หาได้ยากที่เย้นโม่หลินจะทำหน้าที่ปรนนิบัติพวกนี้ให้คนอื่นสักครั้ง
ทว่า สิ่งนี้สำหรับเขาแล้วกลับเหมือนความรู้สึกที่สมเหตุสมผล
เขาส่งเสียงตอบกลับ “อืม”
“พี่เย้น พี่รู้ใจจังเลย ฉันรักพี่ที่สุดเลย”
เย้นโม่หลินที่เดิมทีสีหน้ายังไม่ใส่ใจ กกหูก็แดงขึ้นทันที ระหว่างชั่วพริบตาที่รู้สึกอึดอัดนั้น แม้แต่มือกับเท้าก็ไม่รู้ว่าจะวางไว้อย่างไรดี
เธอพูดว่ารักเขาอย่างนั้นเหรอ?
นี่เป็นการสารภาพรักเขาใช่ไหม?
เขาต้องตอบอย่างไรถึงจะดีล่ะ?
เย้นโม่หลินพัวพันกันยุ่งจนไม่ไหว แทบอยากจะจับป่ายฉีเข้ามาอธิบายให้ตรงนี้เลย
กู้จื่อเฟยรู้ว่าเวลามีน้อย ใช้เวลาไม่นานก็ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ เดินออกมาจากในห้องอาบน้ำ
เดินออกมา เธอก็มองเห็นเย้นโม่หลินที่ยังอยู่ตรงนั้นอย่างเหนือความคาดหมาย ตำแหน่งและอิริยาบถยังเหมือนเดิมกับตอนที่เธอเดินเข้าไป
เขาคงจะไม่ยืนรอเธออยู่ตรงนี้ตลอดโดยไม่ขยับเขยื้อนหรอกนะ?
กู้จื่อเฟยเลิกคิ้วอย่างมีความสุข ยิ้มตาหยีเอ่ยเอ่ย
“พี่เย้น พี่เฝ้าอยู่ตรงนี้ถึงขนาดนี้ กลัวว่าฉันจะหนีไป หรือว่าไม่เจอกันหนึ่งวินาทีคิดถึงเหมือนเวลาผ่านไปหนึ่งปีล่ะ?”
มุมปากเย้นโม่หลินยกยิ้ม เธอก็คิดไปได้
เขายืนอยู่ตรงนี้เพราะกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบคำสารภาพรักของเธออย่างไรดี?
แต่ดูจากท่าทีนี้ของเธอ เหมือนไม่รอคอยคำตอบนี้เลย
เย้นโม่หลินรู้สึกแย่นิดหน่อยอย่างประหลาด
จิตใจรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ครุ่นคิดปัญหาแห่งศตวรรษนี้แล้วละกัน เขาหันตัวเดินไปยังด้านนอก
เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “กินข้าว”
“ได้เลย”
กู้จื่อเฟยไม่สนใจว่าทำไมอยู่ๆ เย้นโม่หลินจึงเปลี่ยนสีหน้าไปเลย เดินตามเย้นโม่หลินไปข้างนอกอย่างมีความสุข
เดินออกประตูห้อง เธอจึงเห็นสถานที่ที่ตอนนี้พวกเขาอยู่ได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นห้องเล็กที่เป็นห้องหนึ่งชุด พื้นที่ประมาณสี่ร้อยกว่าตาราง ห้องรับแขกอยู่ติดกับห้องครัว แม้แต่ห้องอาหารของตัวเองก็ไม่มี
บนโซฟาวางหมอนเล็กไว้หนึ่งใบ ดูเหมือนเมื่อคืนป่ายฉีก็นอนอยู่บนโซฟาทั้งคืน
เมื่อคืนกู้จื่อเฟยไม่ได้สติ ไม่รู้เรื่องราวหลังจากนั้น พอคิดในตอนนี้ เมื่อวานเย้นโม่หลินกับป่ายฉีพาเธอมาหลบก็ไม่ง่ายเลย กว่าจะหาห้องเล็กๆ แบบนี้มาหลบซ่อนอยู่ชั่วคราวได้
แม้ว่าจะยังไม่รู้แน่ชัด แต่สถานการณ์ข้างนอก ต้องไม่สู้ดีนักอย่างแน่นอน
กู้จื่อเฟยเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า มองเย้นโม่หลินอย่างตึงเครียดเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
“ข้างนอกมีหลายคนกำลังไล่ตามเราอยู่ใช่ไหม? ถ้าหากพวกเราไป จะลำบากหรือเปล่า?”
ถ้าหากเป็นเย้นโม่หลินกับป่ายฉีก็ยังดี พวกเขาเก่งกาจ การต่อสู้ก็ดี หากต้องออกไปฆ่าหรือหลบหนีก็ค่อนข้างง่าย
แต่เธอไม่เป็นเลยสักอย่าง พาเธอไปนอกจากจะเพิ่มเป้าหมายแล้ว ก็มีแต่เป็นภาระ
เย้นโม่หลินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ฉันจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว เธอไม่ต้องห่วง”
คำเอ่ยที่น่าเชื่อถือของเขา ทำให้ในใจกู้จื่อเฟยผ่อนคลายลงทันที มองดูเย้นโม่หลินก็ยิ่งรู้สึกเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
เธอเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “ผู้ชายของฉันเก่งที่สุด”
ชั่วพริบตานั้นร่างกายของเย้นโม่หลินแข็งทื่อ คนที่ชื่นชมนับถือเขามีไม่น้อย แต่ว่าเป็นครั้งแรกที่ถูกคนชมแบบนี้
ทำให้ในใจของเขารู้สึกหยิ่งผยองและภาคภูมิใจ
มุมปากเหมือนจะยกยิ้มก็ไม่ยก ต้องอดกลั้นความรู้สึกมีความสุขเอาไว้
ป่ายฉียกโจ๊กหม้อใหญ่เดินออกมาจากในห้องครัว เห็นท่าทีรักใคร่ของทั้งสองคนเข้า ก็พลันขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง
ช่างน่าเบื่อจริงๆ
คนที่ลุ่มหลงในความรักนี่ช่างเปี่ยมไปด้วยพิษจริงๆ
เขาเบะปากด้วยความรังเกียจ วางหม้อไว้บนโต๊ะ เอ่ยเร่ง
“รีบกินข้าว กินเสร็จก็ออกเดินทาง”
กู้จื่อเฟยได้ยินเสียง สติก็กลับมาอย่างรวดเร็ว นึกถึงเมื่อครู่ที่จ้องมองเย้นโม่หลินจนถึงกับใจลอย ช่างน่าอายเสียจริง
เธอเดินไปที่โต๊ะอย่างรีบร้อน ยิ้มพลางเอ่ย “ป่ายฉี คุณทำอาหารเป็นด้วยเหรอ? ดมแล้วหอมมากเลย ไม่เลวเลยจริงๆ ”
ป่ายฉีสีหน้าเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร
กู้จื่อเฟยหยิบชามขึ้นกำลังจะตักโจ๊ก แต่ช้อนที่ตักลงไปแล้วขึ้นมานั้น กลับมีสิ่งที่มีสีดำปี๋ออกมาด้วยทีละก้อนจากในโจ๊กสีขาวจั๊วะ
นี่คืออะไร?
มองดูแล้วดูเหมือนกับติดอยู่ก้นหม้อ
สีหน้าเย้นโม่หลินอึมครึม จิตใจก็อึมครึม
“นายต้มโจ๊กไหม้แล้ว”
อาหารพวกเขามีไม่มาก ต้มโจ๊กจำเป็นต้องใช้เวลา ตอนนี้คงต้มใหม่อีกหม้อไม่ได้แล้ว
นี่ก็หมายความว่า อาหารเช้าล้มเหลว
ป่ายฉีอึดอัดวางตัวไม่ถูก ใช้ตะเกียบคนในหม้อสักพัก จนเจอก้อนสีดำปี๋ออกมา ถึงได้หมดหวัง
เขาเอ่ยอย่างน้อยใจ “ฉันต้มไม่เป็น นายดึงดันจะให้ฉันทำให้ได้ ครั้งแรกล้มเหลวก็เป็นธรรมดา……”
เพียงแต่ผลลัพธ์ความล้มเหลว ก็คือทุกคนไม่มีอาหารเช้ากินแล้ว
อย่างไรก็ตามป่ายฉีก็ขอโทษ พลางเอ่ยชดเชย “เดี๋ยวฉันจะคิดหาวิธีซื้อซาลาเปาสองสามลูกจากข้างทางมาให้พวกเธอได้กินหน่อย ไว้รองท้อง”
แม้ว่าตอนนี้ดูเงียบสงบ แต่หลังจากออกไปประตูบานนี้ บางทีอาจจะเกิดฉากคละคลุ้งคาวเลือด วิกฤตกาลทุกย่างก้าว
แม้ว่าจะซื้อซาลาเปา ก็อาจจะไม่ปลอดภัย
กู้จื่อเฟยเอ่ยอย่างรีบร้อน “โจ๊กนี่มีแค่ข้างล่างที่ไหม้ ตักระวังหน่อย ข้างบนยังกินได้อยู่ ตอนนี้เงื่อนไขมีจำกัด ทุกคนก็กินไปสักหน่อยเถอะ”
พูดอยู่ กู้จื่อเฟยก็หยิบช้อน ตักโจ๊กข้างบนที่สะอาดอย่างระวังลงในชาม
พอดิบพอดี ตักได้สามชาม
กู้จื่อเฟยเอ่ยกับพวกเขา “รีบมากินเถอะ”
แต่ไหนแต่ไรมาเย้นโม่หลินมีเงื่อนไขเรื่องอาหารสูง โจ๊กที่ต้มจนไหม้แบบนี้ จะต้องเปลี่ยนทั้งหมดอย่างแน่นอน ไม่ยอมกิน
ทว่ามองดูกู้จื่อเฟยตักโจ๊กออกมาอย่างระมัดระวัง เขากลับไม่มีความรู้สึกไม่พอใจเลย กลับมีความอยากอาหารมากขึ้น
เขาก้าวเท้ายาว ก็เดินไปถึงโต๊ะ นั่งลงกินโจ๊ก
เห็นเย้นโม่หลินเริ่มกินโดยไม่รังเกียจ ป่ายฉีก็ค่อยๆ ถอนหายใจโล่งอก
เย้นโม่หลินกินข้าวแล้ว ก็หมายความว่าคงไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่ออีกแล้ว ไม่อย่างนั้นหลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดเย้นโม่หลินจะต้องเปลี่ยนลูกไม้คอยหาเรื่องเขา
ป่ายฉีมองไปยังกู้จื่อเฟย อยู่ๆ ก็พบว่า ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่ขัดหูขัดตาหน่อยๆ แล้ว
……
ณ ปากทางทางด่วนของเขตแดนเมือง เมืองเฟย
การจัดของที่นี่ไม่เหมือนกับตอนปกติโดยสิ้นเชิง ไม่ได้มีเพียงบอดี้การ์ดสองสามคนกับพนักงานเก็บค่าผ่านทางอีกแล้ว
แต่เปิดแค่ทางสัญจรสองเส้นที่สามารถเข้าออกได้ หนึ่งเส้นให้แขก อีกหนึ่งเส้นให้รถบรรทุก
ตรงที่นั่งอยู่เคาน์เตอร์เก็บค่าผ่านทางในนั้นคือผู้ชายสวมเสื้อสีดำร่างสูงใหญ่สองคน สีหน้าไร้ความรู้สึกสายตาเฉียบแหลม ตรวจสอบรถทุกคันที่ผ่านไปมาอย่างถี่ถ้วน
นอกเส้นทางสัญจร ก็มีบอดี้การ์ดสิบกว่าคนเรียงเป็นแถว พวกเขาเริ่มขวางรถจากไกลๆ ให้คนขับลงจากรถมาตรวจสอบตามลำดับ
ถ้าหากไม่ให้ความร่วมมือ กักตัวทันที
ถ้าหากสังเกตเห็นมีบางคนกลับรถเลี้ยวกะทันหัน ด้านข้างจะมีรถตามออกไปทันที สกัดจับกุมคนไว้
บรรยากาศทั่วทั้งปากทางน่ากริ่งเกรงเป็นอย่างมาก
เมื่อคนของเมืองทราบข่าวคราวนี้ ถ้าหากไม่ใช่สถานการณ์ที่จำเป็น ก็ไม่ออกจากเมืองเท่าที่เป็นไปได้
ส่วนเวลาช่วงเช้า ยิ่งเป็นเวลาที่รถวิ่งไปมาน้อยที่สุด
พวกบอดี้การ์ดที่เฝ้าถนนสองข้าง บอดี้การ์ดคนหนึ่งในนั้นพิงเสามือเดียว เอ่ยอย่างไม่มีชีวิตชีวา
“ตอนนี้คนน้อย พวกเย้นโม่หลินคงไม่กล้าออกเมืองในเวลานี้หรอก จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดออกมาได้ง่ายๆ
ฉันว่าพวกนายตอนนี้ก็ไม่ต้องตึงเครียดขนาดนี้แล้ว เดินไปสูบบุหรี่สักมวนเถอะ”