สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 943 คำพูดเพ้อเจ้อที่ลื่นไหล
เขาเองก็อยากบอกให้โห้หลีเฉินได้รู้ตัวผ่านการประชุมตระกูลในครั้งนี้เหมือนกัน ว่าตระกูลหยูยังเป็นของหยูฉู่สองคนนี้ ถึงแม้โห้หลีเฉินจะเป็นนายน้อย ก็ยังไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น ยังถือว่าอ่อนหัดอยู่ด้วยซ้ำ
แบบนี้ ก็ยิ่งดีต่อตัวหยูฉู่สอง
ถ้าเหยียบอำนาจของโห้หลีเฉินผ่านการประชุมตระกูลครั้งนี้ให้จมดินได้ เขาก็จะไร้ซึ่งศึกใน ส่งคนไปเล่นงานตระกูลเย้นอีกหน่อย ก็กำจัดศึกนอกได้อีกหนึ่ง
แม้ว่าการเปิดขุมทรัพย์จะมีทรัพย์สินและข้อมูลที่ใช้ประโยชน์ได้เพียงแค่ไม่กี่วัน แต่มันก็เพียงพอต่อการทำให้ตระกูลหยูแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ การกำจัดตระกูลเย้นก็จะเป็นเรื่องง่ายดาย
เมื่อทำลายตระกูลเย้นย่อยยับ จนได้ยาถอนพิษมาครอบครอง เขาก็จะคัดเลือกคนที่เชื่อฟังเขาในบรรดาญาติๆ มาสืบสายเลือด และสืบทอดตระกูลหยูในอนาคต
ในเมื่อโห้หลี่เฉิ่นไม่เชื่อฟัง เขาก็จะไม่ใจอ่อนด้วยอีกต่อไป
วันนี้หยูฉู่สองอารมณ์ดี จึงเอ่ยพูดด้วยเสียงก้องกังวานว่า
“หลายสิบปีที่ผ่านมา ตระกูลหยูไม่เคยจัดประชุมตระกูลเลยสักครั้ง เหตุผลที่วันนี้มีการจัดประชุม นั่นก็เพราะว่าภายในตระกูลหยู มีปัญหาที่ยากจะรับมือเกิดขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ทุกคน มาตัดสินร่วมกัน”
“ทุกคนไม่ต้องกดดันใดๆทั้งนั้น การที่ตระกูลหยูจัดประชุมตระกูลในครั้งนี้ จุดประสงค์คือเพื่อให้ตระกูลหยูดียิ่งๆขึ้นไป เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องตัดสินให้ดีว่าอันไหนผิดอันไหนถูก ต้องเลือกคำตัดสินที่ดีที่สุดแก่ตระกูลหยู”
ถ้อยคำเหล่านี้ เอ่ยพูดออกมาด้วยสุรเสียงเมตตาและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน เพื่อเป็นการเปิดฉากการประชุม
คนพันกว่าคนที่อยู่ในห้องประชุม ต่างนั่งตัวตรง ท่าทางเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ราวกับเบื้องบนกำลังมอบภารกิจอันใหญ่หลวง และต้องกระทำอย่างเต็มความสามารถ
ต่อมา ท่านอาวุโสสามก็ลุกขึ้น ในมือถือเอกสารข้อมูลไว้ชุดหนึ่ง แล้วก้มหน้าอ่านด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ขณะนี้ กระผมจะทำการอธิบายเรื่องราวที่ต้องตัดสินให้แก่พวกท่านได้ฟัง”
“ทุกท่านล้วนแล้วแต่เป็นคนตระกูลหยู และคงจะรู้ว่า บรรพบุรุษของตระกูลหยูเกี่ยวดองกับตระกูลเย้นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในทุกๆรุ่นสมัยจะมีการเกี่ยวดองกันหนึ่งหน
ซึ่งการเกี่ยวดองนี้ไม่ได้แปลว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลดี แต่สาเหตุที่แท้จริงก็คือ บรรพบุรุษของตระกูลเย้นฉวยโอกาสในตอนที่บรรพบุรุษของตระกูลหยูได้รับสารพิษ วางยาซ้ำเติม จนทำให้ร่างกายของลูกหลานตระกูลหยูตกอยู่ในโรคกรรมพันธุ์ที่ต้องตายในสักวัน ทางเดียวที่สามารถถอนพิษได้คือต้องแต่งงานกับลูกหลานของตระกูลเย้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ หลายร้อยปีที่ผ่านมา เพื่อยืดอายุขัยในการอยู่รอดของคนรุ่นหลัง ตระกูหยูได้มีการร้องขอตระกูลเย้นมาตลอด ทั้งคุกเข่ากราบไหว้ นั่นก็เพียงเพราะการเกี่ยวดองสามารถทำให้ลูกหลานของตระกูลมีชีวิตอยู่ต่อได้”
เมื่อถ้อยคำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนก็พากันฮือฮา
อย่างที่คิดเอาไว้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ลุกขึ้นมาส่งเสียงโวยวาย แต่รังสีที่แผ่ออกมาจากแววตา ล้วนแล้วแต่โหมกระพือไปด้วยไฟโกรธ
คนตระกูลหยูมีเกียรติและศักดิ์ศรีฝังลึกอยู่ข้างใน จะไปทนรับการกดขี่ห่มเหงที่มีมาตลอดหลายร้อยปีได้ยังไง
“สารเลว เขากำลังจงใจเบี่ยงประเด็น!”
ท่านอาวุโสรองโกรธจนอยากคว่ำโต๊ะ เตรียมลุกขึ้นไปโต้แย้ง
ท่านอาวุโสแปดที่นั่งอยู่ข้างๆรีบจับเขาเอาไว้ “อย่าวู่วาม ให้พวกเขาพูดไปก่อน ถ้าตอนนี้เราลุกขึ้น มันจะแสดงออกว่าเราถูกตระกูลเย้นซื้อไปแล้ว ยิ่งไม่เป็นผลดีเข้าไปใหญ่”
“แล้วจะปล่อยให้พวกเขาพูดจามั่วๆอย่างนี้เหรอ?”
ท่านอาวุโสรองโกรธจนตาแทบถลน
ท่านอาวุโสแปดเอ่ยขึ้น “นายน้อยยังไม่เป็นอะไร ท่านใจเย็นๆรอก่อน”
ท่านอาวุโสรองหันไปมองโห้หลีเฉิน เขากำลังนั่งอย่างสงบนิ่ง ราวกับในหัวกำลังมีความคิดดีๆ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของอีกฝ่ายเลยสักนิด
ท่าทีแบบนั้น มันทำให้ท่านอาวุโสรองมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่เพราะว่าเชื่อมั่นในตัวโห้หลีเฉิน ท่านอาวุโสรองจึงเม้มปาก ข่มกลั้นเพลิงโกรธในใจเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมาอีก
เมื่อท่านอาวุโสสามเห็นว่าวิธีปลุกปั่นอารมณ์ได้ผล ก็หันไปยิ้มกับหยูฉู่สอง
แล้วพูดต่อว่า
“ทุกท่านอาจจะยังไม่รู้ ขุมทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของตระกูลหยูได้มีการเปิดออกมาแล้ว และพวกเราก็ได้สมบัติในขุมทรัพย์นั้นมาแล้ว ความแข็งแกร่งของตระกูลหยู ไม่สามารถนำมาถกเถียงได้อีกต่อไป ถ้าตระกูลหยูของพวกเราพึ่งพาสมบัติเหล่านี้ การได้กลายเป็นวงศ์ตระกูลชั้นสูงระดับโลก ก็คงอีกไม่นานแล้วล่ะ”
“ตระกูลหยูจะกลายเป็นผู้ครองโลกใบนี้ การที่เราแข็งแกร่ง ก็สมควรเป็นราชา แล้วเหตุใดต้องมาถูกตระกูลเย้นข่มขู่กดขี่เช่นนี้?”
“ถึงตระกูลหยูจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ตระกูลเย้นก็ข่มเหงตระกูลหยูมาหลายร้อยปี การกระทำน่ารังเกียจแบบนี้ฝังลึกมายาวนาน ในอนาคตคงจะยื่นข้อเสนอที่มากเกินงามกับตระกูลหยูเป็นแน่ ซึ่งข้อเสนอที่ว่าอาจจะเป็นการใช้สมบัติร่วมกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้กลายเป็นที่หนึ่งของโลก ”
เมื่อกระทบถึงผลประโยชน์ของตนเอง ทุกคนพลันส่งเสียงออกมาทันที
คนพันกว่าคนในหอประชุมไม่อาจนิ่งสงบได้อีกต่อไป มีหลายคนเอ่ยพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
“นั่นเป็นสมบัติของตระกูลหยู เป็นของที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ ทำไมต้องแบ่งให้ตระกูลเย้นด้วย?”
“ตระกูลเย้นเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว ทนไม่ไหวแล้วนะ”
ทุกคนผลัดกันพูดออกมา อารมณ์พุ่งขึ้นสูงอย่างฉุดไม่อยู่
หยูฉู่สองมองสถานการณ์เบื้องหน้าอย่างพึงพอใจ มุมปากยกยิ้มขึ้นเงียบๆอย่างหยุดไม่ได้
ผ่านไปหลายนาที เมื่อทุกคนต่างก็โกรธจนทนไม่ไหว ท่านอาวุโสสามถึงได้เสแสร้งเก็กขรึมพูดต่อว่า
“ทุกคนเงียบ”
เขาพูดต่อว่า “หากเพื่อชีวิตของลูกหลานรุ่นหลังแล้ว แม้ตระกูลหยูต้องสละสิทธิ์ครอบครองสมบัติทิ้ง และถูกตระกูลเย้นสร้างความอับอายให้ ตระกูลหยูก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เพราะบรรพบุรุษทิ้งยาถอนพิษเอาไว้!มันคือยาที่ช่วยถอนพิษโรคพันธุกรรมให้คนรุ่นหลัง ขอแค่กินยานั้นเข้าไป เราทุกคนในตระกูลหยู ก็จะหายดี ไม่ต้องมาถูกตระกูลเย้นข่มขู่และบีบบังคับอีกแล้ว
แต่สิ่งที่เลวทรามก็คือ ยาถอนพิษถูกบรรพบุรุษของตระกูลเย้นฉกชิงไป และตอนนี้ยานั่นก็อยู่กับตระกูลเย้น
ถ้าเราทุกคนในตระกูลหยูต้องการหลุดพ้นจากการควบคุม และต้องการให้ลูกหลานของเราปลอดภัย ฉะนั้นก็ต้องแย่งชิงยาถอนพิษกลับมา ใช่หรือไม่?”
“ใช่ๆๆ!”
ทุกคนเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน ดังสนั่นจนหลังคาแทบถล่ม
ท่านอาวุโสรองเมองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าดำมืด ท่านอาวุโสสามกำลังล้างสมองพวกเขาอย่างกับการแชร์ลูกโซ่
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คนพวกนั้นจะไม่โหวตให้ผู้นำตระกูลหมดเหรอ?
นี่ไม่ใช่การประชุมตระกูลแล้ว นี่มันการประชุมล้างสมองของหยูฉู่สองต่างหาก
ท่านอาวุโสสามมองทุกคนที่กำลังเห็นดีเห็นชอบอย่างพอใจ หลังจากปล่อยให้พวกเขาตะโกนอยู่พักใหญ่ ถึงได้ขึ้นเสียงแล้วพูดต่อว่า
“แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ตอนนี้กำลังเกิดข้อพิพาทภายในตระกูลหยู”
ท่านอาวุโสสามหันไปมองโห้หลีเฉินโดยเฉพาะ เอ่ยพูดว่า
“ทุกท่านคงรู้ดี ว่าโห้หลีเฉินนายน้อยตระกูลหยูหมั้นหมายกับเย้นหว่านคุณหนูตระกูลเย้น ทั้งสองเป็นคู่รักกัน มนุษย์เราน่ะ ต่างก็มีความรู้สึก อยากปกป้องคนรักของตัวเองเป็นสิ่งแรก
ดังนั้นนายน้อยจึงไม่ยินยอมโจมตีตระกูลเย้น ถ้าปล่อยไปตามสถานการณ์ในตอนนี้ ในอนาคตก็จะได้เกี่ยวดองกับตระกูลเย้น เขาจึงคิดที่จะอยู่อย่างนี้ต่อไป
แน่นอนว่า ในความคิดของนายน้อย อาจจะเห็นว่าในเมื่อเธอคือว่าที่ภรรยาของตัวเอง การยกทรัพย์สินและอำนาจให้กับตระกูลเย้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถยินยอมได้
ต่อให้ตระกูลหยูจะได้รับความไม่เป็นธรรม และถูกตระกูลเย้นกดขี่แค่ไหน ถ้าไปขวางทางความรักและการแต่งงานของเขา เขาก็สามารถโอนอ่อนให้ได้ทั้งนั้น”
ถ้อยคำนี้ พูดเหมือนจะเข้าใจ แต่ความเป็นจริงกลับมีแต่ความทิ่มแทงทั้งนั้น
เมื่อทุกคนได้ยินอย่างนั้น ก็พากันหันไปมองโห้หลีเฉิน บางคนช็อก บางคนประหลาดใจ บางคนไม่เข้าใจ และมีบางคนไม่พอใจจนหน้ามืดตามัว
โห้หลีเฉินเป็นถึงนายน้อยของตระกูลหยู ทำไมเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ ห่วงแต่ความรักและเรื่องแต่งงาน จนยอมสละผลประโยชน์ของตระกูลหยูทิ้งเลยเหรอ?
แบบนี้ยิ่งกระทบถึงผลประโยชน์และเกียรติยศของทุกคนในหอประชุมมากกว่าเดิม