สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 953 คลื่นไส้ผะอืดผะอม
โห้หลีเฉินก้าวขึ้นไปข้างหน้า ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะเย้นหว่าน ลูบไปมาแผ่วเบา
อุณหภูมิปกติ
สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง
ลมหายใจปกติ
ทั้งหมดดูแล้วปกติเป็นอย่างมาก
“อืม? คุณกลับมาแล้วหรือคะ”
เย้นหว่านลืมตาเล็กน้อย มองโห้หลีเฉินตาปรือ
ใบหน้ารูปไข่ของเธอยิ่งคล้ายกับเจ้าแมวตัวน้อยมากขึ้น เมื่อถูไปมากับฝ่ามือโห้หลีเฉินตามจิตใต้สำนึก
โห้หลีเฉินมองเธอด้วยความเป็นห่วง “ทำไมคุณถึงได้นอนอีกแล้วล่ะ”
“มีตรงไหนที่ไม่สบายหรือไม่”
“ลุกขึ้นมาแล้วให้คุณหมอตรวจดูสักหน่อย ดีไหม?”
เย้นหว่านกะพริบตา ดึงแขนโห้หลีเฉินมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน
เธอพลิกตัวอย่างรู้สึกสบาย เอ่ยยิ้มๆว่า
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่ได้มีตรงไหนที่รู้สึกว่าไม่สบาย ตอนนี้สภาพร่างกายของฉันดีมากเลย ตอนช่วงเช้ายังไม่ตื่นดี ตอนนี้นอนชดเชยเรียบร้อยแล้ว”
เอ่ยแล้ว เย้นหว่านก็โบกหนังสือที่อยู่บนอกไปมา “เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ของคุณลึกซึ้งซับซ้อนเกินไป กล่อมให้หลับได้ดียิ่งกว่าเมื่อเทียบกับเพลงกล่อมเด็ก ฉันเพิ่งจะอ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็ทนไม่ไหวแล้ว”
โห้หลีเฉินมองหนังสือเล่มนั้น เขาเคยอ่านมาก่อน ข้างในทั้งหมดล้วนเป็นความรู้เฉพาะทาง ภายนอกดูแล้วไม่ต่างอะไรกับการอ่านหนังสือที่เข้าใจยากเล่มหนึ่ง
มีแต่ยิ่งอ่านยิ่งมึนงง ยิ่งอ่านยิ่งง่วงนอน
ดังนั้นเธออ่านแล้วจึงได้เผลอหลับไปอีก
เหตุผลนี้ก็สามารถอธิบายได้ แต่โห้หลีเฉินก็ยังรู้สึกจิตใจไม่สงบอยู่ดี
“ไม่มีตรงไหนที่รู้สึกว่าไม่สบายจริงๆหรือ ให้คุณหมอมาตรวจร่างกายคุณสักหน่อยก็ดี”
เย้นหว่านส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่เอาค่ะ ฉันสบายดีมากจริงๆนะคะ ฉันก็ไม่อยากให้คุณหมอที่ไม่รู้จักมาตรวจอาการฉันด้วย”
ป่ายฉีหนีไปกับพวกเย้นโม่หลินแล้ว หมอเทวดาที่คุ้นเคยกันคนนี้ไม่ได้อยู่ข้างกายในตอนนี้
ตอนนี้สถานการณ์ของโห้หลีเฉินนั้นค่อนข้างบอบบาง หาคุณหมอคนหนึ่งมาก็แยกออกได้ไม่ชัดเจนว่าเป็นคนของใครกันแน่ ล้วนอยู่ในอันตรายที่ไม่แน่นอน
เธอก็ไม่ได้ไม่สบาย ยิ่งไม่อยากเสี่ยงอันตรายในเรื่องนี้
โห้หลีเฉินเห็นท่าทางของเย้นหว่านที่กล่าวออกมาด้วยความจริงใจและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิตแล้วก็ไม่เหมือนว่าจะเจ็บป่วยจริงๆ
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยเสียงขรึมว่า
“ไม่เรียกคุณหมอมาชั่วคราว แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่สบายแม้แต่เล็กน้อย ต้องรีบบอกผมทันที รู้ไหม”
“อืมๆ รู้สึกค่ะ คุณหัวหน้าพ่อบ้าน”
เย้นหว่านยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอโห้หลีเฉิน ถามราวกับออดอ้อนว่า
“พวกเธอล้วนพูดว่าช่วงบ่ายคุณถึงจะกลับมา ทำไมตอนนี้ถึงได้กลับมาแล้วล่ะคะ”
ยังจะเป็นเพราะอะไรได้อีก ก็เป็นเพราะเธอ เขาถึงได้โยนเรื่องเร่งรีบในมือทิ้งไป เพราะเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับเธอ
โห้หลีเฉินยิ้ม “จัดการไปพอสมควรแล้ว จึงสามารถกลับมากินข้าวกลางวันเป็นเพื่อนคุณได้”
“จริงหรือคะ ดีจังเลย”
เย้นหว่านมองไปข้างนอกด้วยความยินดีในทันที เธอไม่ต้องกินอาหารกลางวันอย่างโดดเดี่ยวและเงียบเหงาอีกแล้ว
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างดีใจ จูบแก้มโห้หลีเฉินไปครั้งหนึ่ง
โห้หลีเฉินจ้องมองเธอ นัยน์ตาเข้มข้นในทันที
น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำเป็นอย่างมาก “จะจูบ ก็ต้องจริงจังสักหน่อย”
“อ๊ะ?”
การจูบจะให้จริงใจอย่างไร?
เย้นหว่านสงสัย ยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยา ริมฝีปากบางของโห้หลีเฉินก็ทาบทับลงบนริมฝีปากเธอเสียแล้ว
จูบอันดุเดือด ราวกับถูกกลุ่มโจรกวาดปล้นมืดฟ้ามัวดินไปในพริบตาเดียว
ร้อนแรงราวกับจะลวกคน
สมองของเย้นหว่านสับสน ว่างเปล่า ร่างกายอ่อนยวบในทันที
จนกระทั่งโห้หลีเฉินกลืนกินเธอจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ริมฝีปากของเย้นหว่านก็บวมแดง นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารด้วยท่าทางน่าสงสาร
เธอปิดปาก ขึงตาใส่โห้หลีเฉินด้วยความคับแค้นใจอย่างไม่กล้าพบหน้าใคร
เป็นหมาป่าตัวหนึ่งจริงๆด้วย
หมาป่าหิวโซที่กินไม่เคยอิ่มมาแปดชั่วโคตร
โห้หลีเฉินมองเย้นหว่าน จู่ๆก็เขยิบเข้ามาใกล้เธอ เอ่ยเสียงเบาหยอกเย้าข้างใบหูเธอว่า
“ที่คุณมองผมแบบนี้คือคิดจะคืนหนี้ที่ติดค้างไว้เมื่อคืนให้ผมตอนนี้ใช่ไหม”
หนี้ที่ติดค้างเอาไว้เมื่อคืน……
เย้นหว่านแก้มแดงก่ำขึ้นมาทันที เขินอายจนรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว
เมื่อคืนเธอหลับไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเธอ แต่เขาถึงกับจำได้จนถึงตอนนี้ และยังคิดจะให้เธอชดเชยเรื่องแบบนั้นให้ด้วย?
คนคนนี้ทำไมถึงได้มีแต่เรื่องแบบนั้นในสมองกันนะ
“กิน กินข้าวเถอะค่ะ”
เย้นหว่านลนลานหันหน้าหนี ก้มหน้ากินข้าว โดยไม่กล้ามองเขาอีก
ล่วงเกินไม่ได้ แต่เธอหลบได้นี่
เมื่อเห็นเย้นหว่านเขินอายจนอึดอัด ตักข้าวเข้าปากคำโตแล้ว มุมปากโห้หลีเฉินก็โค้งขึ้นเล็กน้อยด้วยความรัก
มือเรียวที่เห็นกระดูกข้อต่อชัดเจนยื่นน้ำซุปที่อุณหภูมิพอดีไปด้านหน้าเธอ
“ดื่มน้ำแกงสักหน่อย เดี๋ยวจะสำลัก”
ตามที่สาวใช้รายงาน ช่วงเช้าวันนี้เธอไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไร ก็นอนต่อ เขาถึงได้เป็นห่วงจนทนไม่ไหว
ตอนนี้ดูแล้ว ช่วงเช้าก็เป็นเพราะว่านอนไม่พอ กระทั่งความอยากอาหารก็ไม่ดีตามไปด้วย
ตอนนี้ก็ยังมีชีวิตชีวา สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีอยู่จริงๆ
กินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง เว่ยชีก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ
เขาพยักหน้าให้กับเย้นหว่านก่อน ค่อยเอ่ยเสียงขรึมกับโห้หลีเฉินว่า
“คุณผู้ชาย มีเรื่องเล็กน้อยที่จำเป็นต้องให้คุณจัดการในตอนนี้ครับ”
เว่ยชีเป็นคนที่ติดตามข้างกายโห้หลีเฉินนานที่สุด เป็นคนที่ใส่ใจที่สุด ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีเรื่องเร่งด่วนสุดวิสัยจริงๆ เขาก็จะไม่เข้ามารบกวนโห้หลีเฉินที่กินข้าวอยู่ในเวลานี้
เย้นหว่านเอ่ยยิ้มๆทันทีว่า
“คุณไปทำธุระก่อนเถอะค่ะ ฉันกินเองก็ได้”
เอ่ยจบ เย้นหว่านก็มองชามข้าวของโห้หลีเฉินที่ยังกินไม่เสร็จ และหันหน้าไปสั่งสาวใช้ว่า
“จัดเตรียมปิ่นโตอาหารชุดหนึ่ง และส่งไปด้วย”
คนที่จะส่งไปให้ แน่นอนว่าต้องเป็นโห้หลีเฉิน
เห็นเย้นหว่านจัดการด้วยความเอาใจใส่ขนาดนี้แล้ว โห้หลีเฉินที่รู้ว่ามีเรื่องเร่งด่วน จึงไม่ได้ลังเลอะไรมากอีก
เอ่ยกับเย้นหว่านว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ คุณกินอาหารให้หมด ต้องกินให้อิ่ม ผมทำงานเสร็จแล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
“ค่ะ ฉันจะอยู่รอคุณที่นี่”
เย้นหว่านยิ้มให้อย่างน่ารัก
มองเธอแล้ว โห้หลีเฉินก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่จะจากไปขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ
ฝ่ามือใหญ่ของเขาขยี้เส้นผมเธอ และกำชับอีกสองประโยค ถึงได้ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มองไม่เห็นเงาร่างของโห้หลีเฉินแล้ว
ไม่มีเขา ทั้งห้องอาหารก็อ้างว้างว่างเปล่าขึ้นมาทันที ไร้ซึ่งพลังชีวิตและความอบอุ่น
เย้นหว่านมองอาหารสีสันน่าทานบนโต๊ะอาหารอีกครั้ง ก็รู้สึกไม่มีความอยากอาหารในทันที
จนถึงขั้นรู้สึกมีอาการคลื่นเหียนขึ้นมาเล็กน้อย
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากในกระเพาะนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “แหวะ……”
“คุณเย้น คุณเป็นอะไรไปคะ”
สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างรีบรุมล้อมเข้ามาทันที
เย้นหว่านรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้ามืดสนิท คว่ำหน้าอยู่เหนือถังขยะอาเจียนออกมาไม่หยุด
อาหารที่เพิ่งจะกินเข้าไปนั้น ก็ถูกอาเจียนออกมาทั้งหมดเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็อาเจียนสิ่งที่อยู่ในกระเพาะออกมาจนหมดสิ้น เย้นหว่านถึงได้หยุด นั่งหน้าซีดคอพับอย่างคนหมดแรงอยู่บนเก้าอี้
สาวใช้มองเธอด้วยความเป็นห่วง “คุณโห้ยังเพิ่งออกไปได้ไม่ไกล ฉันจะรีบเรียกคุณผู้ชายกลับมาค่ะ”
“อย่า อย่า”
เย้นหว่านรีบหยุดสาวใช้เอาไว้ “เขามีเรื่องด่วนต้องจัดการ ไม่ต้องเรียกเขา ฉันเพียงแค่หายใจไม่สะดวกถึงได้อาเจียน ฉันอาเจียนแล้วก็ไม่มีอะไรแล้ว”
เห็นสายตาที่ยังคงเป็นห่วงของสาวใช้ เย้นหว่านก็เอ่ยยิ้มๆว่า
“จริงๆนะ นี่เป็นเรื่องปกติของอาการคลื่นเหียน ฉันอ้วกแล้วก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ตอนนี้ฉันรู้สึกสบายมาก”
สาวใช้ยังคงไม่วางใจ “คุณเย้น ไม่อย่างนั้นให้คุณหมอมาตรวจดูหน่อยเถอะค่ะ?”
“ไม่ต้องหรอก ไม่จำเป็น ฉันสบายดีมาก”
เย้นหว่านปฏิเสธอย่างไม่ลังเล ท่าทีที่มองสาวใช้ก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
สั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธว่า “เรื่องที่ฉันอาเจียนเมื่อครู่นี้ พวกเธอไม่ต้องบอกโห้หลีเฉิน เข้าใจไหม”
สาวใช้ยิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม “คุณเย้น นี่ไม่ดีเท่าไรนะคะ……”
“ฉันไม่อยากให้เขาต้องเป็นกังวลเพราะเรื่องเล็กน้อย พวกเธอใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดทั้งนั้น”
ท่าทีของเย้นหว่านเด็ดขาดขึ้นมาสองส่วน