สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 976 ขนาดกินข้าวยังไม่สำรวม
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ! ฉันก็ไม่ได้อยากมีหลานชายคนนี้สักเท่าไรหรอก!”
เย้นซิวหย่าด่าด้วยความโกรธ ดวงตาของเธอเป็นสีแดงก่ำ
เธอเป็นถึงคุณหนูในตระกูลเย้น แต่เล็กจนโตถูกเลี้ยงมาแบบประคบประหงม ไม่เคยมีใครพูดไม่ดีกับเธอแม้แต่คำเดียว
แต่ว่าตอนนี้เหมือนจะดี กลับถูกหลายชายตัวเองลงโทษขั้นเด็ดขาด ใช้กฎตระกูลจัดการหล่อน
เกือบเอาชีวิตไม่รอด แถมยังต้องอับอายขายหน้าอีก
สายตาของเจียงเป้ยนีกำลังครุ่นคิด สีหน้าของเธอเป็นทุกข์หนัก
“เมื่อก่อนพี่เย้นไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ดีกับพวกเรามาก เคารพผู้ใหญ่ พอตั้งแต่กู้จื่อเฟยเข้ามาอยู่ในตระกูลเย้นเท่านั้นแหละ เขาก็เปลี่ยนไป……”
เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ไม่รู้กู้จื่อเฟยให้เขากินอะไรเข้า หรือว่าหลอกอะไรพี่เย้นหรือเปล่านะ”
เย้นซิวหย่านัยน์ตาเย็นชา กำหมัดไว้แน่น
กัดฟันพูดช้าๆออกมาทีละคำ “กู้จื่อเฟย!”
“ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
เจียงเป้ยนีส่งสายตายิ้มแสดงชัยชนะ
……
กู้จื่อเฟยไม่รู้ว่านอนหลับไปนานแค่ไหน เมื่อเธอตื่นขึ้น ฟ้าก็มืดลงแล้ว
สายตาของเธอพร่ามัว แต่พอจะเห็นแสงสลัวๆอยู่ไม่ไกล
เวลากลางคืนมันมืดมาก มองอะไรก็ไม่ชัดเลย
นั่นคือแสงของหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน เวลานี้ เย้นโม่หลินกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น ใช้นิ้วสัมผัสมันเบาๆ
ที่น่าแปลกคือ เขาวางนิ้วลงบนมัน แต่กลับไม่มีเสียงดังออกมาแม้แต่นิดเดียว
ภาพที่เห็นทั้งหมด ราวกับภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามและเงียบสงบภาพหนึ่ง
ภายใต้แสงสลัว ใบหน้าของเขาดูมีมิติมากขึ้น มีความสวยงามอย่างน่าทึ่ง
แต่กู้จื่อเฟยก็สังเกตเห็นว่า ใต้ตาของเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเงาหรือรอยคล้ำใต้ตาจริงๆ
ขณะที่กำลังมองอยู่นั้น ก็เป็นเวลาตีสามแล้ว
เขายังคงทำงานอยู่อีกหรือ?
หรือว่าเพื่อคอยเฝ้าเธอ จึงย้ายโต๊ะทำงานมาทำในห้องของเธอด้วย
กู้จื่อเฟยรู้สึกตื้นตันใจจนพูดไม่ออกทันที แถมยังรู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งใจด้วย
เธอเปิดปากเรียกเขาเบาๆ “พี่เย้นคะ…..”
เย้นโม่หลินหยุดพิมพ์ที่แป้นพิมพ์กะทันหัน เหลือบตาขึ้นมองมาทางกู้จื่อเฟย
“คุณตื่นแล้วหรือครับ?”
ขณะเดียวกัน เขาก็ลุกขึ้น ก้าวอาดๆเดินไปที่ข้างเตียง
โค้งตัวลงมองดูเธอ “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
กู้จื่อเฟยส่ายหน้า ก็แค่อยากจะลุกขึ้นมานั่ง เธอทำท่าจะขยับ ฝ่ามืออันใหญ่ของเขาก็วางลงที่หลังของเธอประคองเธอให้ลุกขึ้นนั่ง
เขานั่งลงที่ข้างเตียง อยู่ใกล้เธอมาก แต่ก็ทิ้งระยะห่างไว้อย่างสุภาพบุรุษ
กู้จื่อเฟยรู้สึกว่ากลิ่นกายของเขาช่างหอมละมุน ร่างของเธออ่อนระทวยลงทันที เธอเซลงไปในอ้อมแขนของเย้นโม่หลินราวกับไร้กระดูก
แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนนุ่มว่า
“ฉันสบายดีค่ะ เพียงแต่รู้สึกอ่อนเพลียนิดหน่อย ไม่ค่อยมีแรง อยากหาที่พิงสักหน่อย”
เย้นโม่หลินแข็งทื่อไปทั้งตัว
ก้มลงมองศีรษะเล็กๆบนหน้าอกของเขา ในใจรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างควบคุมไม่ได้
เขากลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ รักษากิริยาให้นิ่งไว้ ปล่อยให้กู้จื่อเฟยพิงตัวเขา
กู้จื่อเฟยราวกับแมวน้อยตัวหนึ่งสบายอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เธอเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังคงสว่างอยู่ “ยังมีงานค้างอยู่อีกหรือคะ?”
“อืม” เย้นโม่หลินตอบเสียงเบา
“ยังต้องทำอีกนานแค่ไหนคะ? ถึงกี่โมงกัน?”
“ถ้าไม่เสร็จ ก็ต้องทำต่อไปทั้งคืนครับ ถ้าคุณง่วงแล้วก็นอนต่อเถอะ ผมรบกวนคุณหรือเปล่า?”
เย้นโม่หลินพูดไป พลางรู้สึกเป็นกังวล
เขาอยากจะปกป้องกู้จื่อเฟย แต่ก็ต้องทำงานด้วย จึงต้องย้ายโต๊ะทำงานมาที่นี่ถึงจะทำสองอย่างพร้อมกันได้
แต่ว่าถ้าเป็นการรบกวนกู้จื่อเฟยแล้วละก็……
“คะ รบกวนค่ะ”
น้ำเสียงของกู้จื่อเฟยแผ่วเบาและไม่พอใจอยู่นิดหน่อย
เย้นโม่หลินหยุดนิ่งตัวแข็ง รู้สึกผิดเล็กน้อยขึ้นมาทันที
สมองของเขารีบคิดหาทางทันที “ถ้างั้นผม….” เปลี่ยนเป็นใช้นิ้วเขียนแทน…..
“คุณรับปากฉันว่าจะดูแลฉันตลอดเวลาไงคะ”
กู้จื่อเฟยรีบตัดบทเย้นโม่หลินก่อน เงยหน้าขึ้น มองผ่านแสงไฟสลัว ไปที่เย้นโม่หลิน
บนใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความจริงจัง “ฉันหิวค่ะ คุณทานเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ”
เย้นโม่หลินเหลือบมองคอมพิวเตอร์ทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ลังเลใจ
กล่าวว่า “ได้ครับ ผมจะให้คนเตรียมอาหารมาให้”
ขณะที่พูดอยู่ เขาก็เปิดโคมไฟที่หัวเตียง โทรศัพท์ไปสั่ง
กู้จื่อเฟยพักฟื้นอยู่เป็นเวลานาน ย่อมต้องหิวเป็นเรื่องธรรมดา ตามที่ป่ายฉีเคยบอกไว้ เขาจึงต้องให้คนเตรียมอาหารไว้ตลอดเวลา
แม้แต่ช่วงกลางดึก
ในเมื่อเธอพูดขึ้นมาตอนนี้ เขาก็ต้องทำให้ด้วยความเต็มใจเสมอ
รอไม่นาน ก็มีสาวใช้คนหนึ่งเข็นรถเสิร์ฟอาหารเข้ามา ในนั้นมีอาหารของคนป่วยวางไว้ แต่กลับมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว
เดิมทีท้องของกู้จื่อเฟยว่างเปล่า จู่ๆ ก็น้ำลายสอขึ้นมาทันที
แต่ว่าเธอกลับไม่ได้รีบหยิบตะเกียบขึ้นมา แต่หันไปบอกกับสาวใช้ว่า
“ขอชามและตะเกียบอีกชุดหนึ่งนะ”
สาวใช้ได้เตรียมมาพร้อมแล้ว รีบก้มลงไปหยิบตะเกียบและชามอีกชุดหนึ่งจากด้านล่างรถเข็นขึ้นมา
กู้จื่อเฟยมองไปทางเย้นโม่หลิน “ทานข้าวด้วยกันสิคะ”
เย้นโม่หลินลังเลเล็กน้อย แล้วเขาก็พยักหน้า
ณ เวลานี้เขายุ่งมาก จนไม่มีเวลาได้ทานข้าวบนโต๊ะแบบเงียบๆเช่นนี้มานานแล้ว
เมื่อเห็นว่าเย้นโม่หลินรับปากจะทาน กู้จื่อเฟยจึงตัดสินใจหยิบตะเกียบ
แต่พอกำลังจะหยิบตะเกียบ เธอกลับรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่า มือของเธอยังคงถูกห่อไว้ราวกับเกี๊ยว
อย่าพูดถึงเรื่องจะใช้ตะเกียบเลย แม้แต่ช้อนก็ยังหยิบไม่ได้
เธอรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
เย้นโม่หลินสังเกตเห็นเธอ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างไม่มั่นใจว่า
“หรือว่า ให้ผมป้อนคุณดีไหมครับ?”
ความรู้สึกที่กู้จื่อเฟยทำอะไรไม่ถูก ได้เปลี่ยนเป็นดีใจขึ้นมาในทันที เธอมองเย้นโม่หลินด้วยสายตาร้อนรุ่ม แล้วพยักหน้าช้าๆ
เวลามือเจ็บนี่มันดีอย่างนี้เอง ถ้างั้นเธอจะห่ออีกสักสองสามอันก็คงจะดี
เย้นโม่หลินถูกกู้จื่อเฟยมองด้วยสายตาที่เร่าร้อนก็ยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่ ป้อนข้าวสาวน้อย นี่เป็นครั้งแรกของเขาเลย
เมื่อก่อนเคยเห็นคู่รักพวกนั้นป้อนข้าวให้กัน รู้สึกขยะแขยง และดูหลอกลวง
ตอนนี้กลายเป็นเขาที่ต้องมาทำเสียเอง……
อืม ไม่เหมือนกัน เขาทำเพราะกู้จื่อเฟยบาดเจ็บ ก็แค่ดูแลคนป่วยเท่านั้นเอง
เย้นโม่หลินรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อเขาคิดได้แบบนี้
หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบมะเขือยาวชิ้นหนึ่งป้อนให้กับกู้จื่อเฟย กู้จื่อเฟยรีบอ้าปากรับทันที กัดโดนทั้งมะเขือยาวและตะเกียบพร้อมกัน
เห็นเธอกัดโดนตะเกียบเข้า เย้นโม่หลินสะดุ้งราวกับถูกไฟช๊อต รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าไหลมาตามตะเกียบด้วย
เขาตื่นเต้นจนแทบปล่อยตะเกียบทิ้งไป
นี่มันเหมือนทานข้าวตรงไหนกัน แต่ละนาทีทำเอาคิดไปไกล
เจ้าตัวเองกลับยังไม่รู้ตัว เคี้ยวเอาตะเกียบเข้า แถมยังใช้ลิ้นเลียริมฝีปากอีก
กิริยาแบบนั้น ทำให้เย้นโม่หลินกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที เสี่ยวโม่เงยหน้าขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
ลมหายใจของเย้นโม่หลินรุนแรงขึ้น เขาเริ่มหันหน้ามองไปทางอื่น
จะอดใจไว้ไม่ได้แล้ว
กู้จื่อเฟยสายตาเป็นประกาย น้ำเสียงอ่อนไหว
เอ่ยถามว่า “พี่เย้นคะ พี่เป็นอะไรไปหรือ?”
ยังมีหน้ามาถาม หล่อนนี่มัน?
ไฟในตัวของเย้นโม่หลินกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว แทบอยากจะจัดการเธอในทันที