สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 977 ไม่ได้หมายถึงราตรีสวัสดิ์
เขาสะกดอารมณ์เอาไว้นิ่ง น้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับไม่ได้พูด
“ทานปลาไหมครับ?”
กู้จื่อเฟยมองดูเขาที่กำลังอดทนไว้อย่างสนุกสนาน สายตาเป็นประกาย ยิ้มให้ราวกับสุนัขจิ้งจอก
เธอพยักหน้าราวกับลูกไก่ “เอาค่ะ”
เย้นโม่หลินรีบย้ายสายตาจากตัวกู้จื่อเฟยทันที แล้วคีบปลาให้เธอ
ขณะที่กำลังใช้ตะเกียบ กลับเจอปัญหาใหญ่เข้า ปลาตัวนี้เต็มไปด้วยก้าง
เขาไม่ถนัดเรื่องนี้เอาซะเลย
แต่เมื่อคิดถึงสายตาเล็กๆของกู้จื่อเฟยที่ตั้งตารออยู่ เขาก็คีบเนื้อปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งโดยไม่บ่นอะไร วางลงในชามตัวเองอย่างระวัง ค่อยๆเลาะก้างออกมาจนหมด
และป้อนให้กู้จื่อเฟยที่ปากอีกครั้ง
กู้จื่อเฟยรีบอ้าปากกินเข้าไปทันที และไม่ลืมที่จะเอ่ยปากชมว่า
“อร่อยจังเลยคะ”
รอยยิ้มของเธอนั้น เย้นโม่หลินที่มองอยู่อดปลื้มใจไม่ได้ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าเรื่องที่ต้องเสียเวลาแกะก้างปลา มันคุ้มค่า
เขาคีบมาอีกชิ้น แล้วตั้งใจแกะก้างออก
กู้จื่อเฟยตั้งอกตั้งใจมองดูการกระทำของเย้นโม่หลิน แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
เย้นโม่หลินแม้จะดูแข็งกร้าว แต่เวลาที่อบอุ่นและละเอียดอ่อน ก็ช่างเหลือเกินจริงๆ
แม้แต่รสชาติของปลา ก็ยังเปลี่ยนเป็นยอดเยี่ยมที่สุดในโลกได้
อาหารมื้อนี้ ใช้เวลานานทีเดียว
เมื่อกู้จื่อเฟยทานจนอิ่ม และให้เย้นโม่หลินทานไปอีกหลายอย่าง จึงเอากับข้าวที่เหลือโยนทิ้งไป
เย้นโม่หลินยืนอยู่ที่ข้างเตียง มองกู้จื่อเฟยแล้วถามว่า
“ตอนนี้ง่วงไหมครับ? อยากจะนอนหรือเล่นอีกสักหน่อย หรือว่าจะดูโทรทัศน์ดีครับ?”
ความจริงกู้จื่อเฟยนอนพักมานานแล้ว ตอนนี้จะนอนไม่หลับก็เป็นเรื่องปกติ
แต่กู้จื่อเฟยกลับพยักหน้า ยื่นมือเล็กๆมาดึงเสื้อเย้นโม่หลินเอาไว้ พลางกระซิบว่า
“ง่วงแล้วค่ะ คุณมานอนด้วยกันสิคะ”
คำเชิญชวนนั้น ทำเอาชาไปทั้งตัวทันที
เย้นโม่หลินตัวแข็งทื่อ ตอบกลับอย่างเคอะเขินว่า
“เออ คือว่าผม ผมยังมีงานค้าง….”
“ฉันนอนคนเดียวกลัวจังเลยค่ะ”
เธอพูดอย่างออดอ้อน ในดวงตา มีหมอกบางๆลอยขึ้นมา ดูแล้วน่าสงสารจับใจ
กำแพงที่เย้นโม่หลินตั้งไว้ทลายลงในทันที
สมองยังไม่ทันได้สั่งการ ก็หลุดปากพูดไปว่า “ผมนอนเป็นเพื่อนเอง”
กู้จื่อเฟยยิ้มชอบใจทันที เหลือบมองไปที่ที่ว่างข้างตัวเอง “รีบมาสิคะ”
ท่าทางรีบอ้าแขนรับแบบนั้น ไม่เหมือนที่ร้องไห้ก่อนหน้านี้แม้แต่นิดเดียว
ราวกับว่า ก่อนหน้านี้เป็นแค่ภาพลวงตา
เย้นโม่หลินรู้สึกอธิบายไม่ถูก ดูเหมือนว่าเขาจะถูกหลอก?
ในที่สุด เขาก็เปลี่ยนเป็นชุดนอนลงนอนข้างๆกู้จื่อเฟย
เตียงใหญ่มาก ระหว่างคนทั้งสองยังมีระยะห่างอีกหนึ่งคน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน กู้จื่อเฟยจะเป็นคนแทรกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย้นโม่หลินทุกครั้ง แต่ตอนนี้ เธอถูกห่อไปทั้งตัวเหมือนเกี๊ยวชิ้นใหญ่ จะกลิ้งก็ยังกลิ้งไม่ได้
แต่ว่า นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อเธอหรอก
ในความมืด เธอเอ่ยปากเบาๆว่า
“พี่เย้น พี่อยู่ไหมคะ?”
เย้นโม่หลินตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อยู่ครับ”
“แต่ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นเลยนะคะ เหมือนยังนอนอยู่คนเดียว รู้สึกกลัวนิดหน่อยค่ะ”
เย้นโม่หลิน “…..”
เขากลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีตัวตนและลมหายใจ ซึ่งกำลังแผดเผาเขาอย่างคุกรุ่น
เย้นโม่หลินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยๆขยับตัว ไปนอนข้างๆกู้จื่อเฟย
ระหว่างทั้งสอง ระยะห่างแคบลง เหลือเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ
เย้นโม่หลินไม่มีทางเลือกร่างกายของเขาแข็งทื่อ
กู้จื่อเฟยพูดเบาๆว่า “ยังไกลไปคะ”
เย้นโม่หลินหมดหนทาง เขาไม่เชื่อว่าระยะห่างขนาดนี้กู้จื่อเฟยยังสัมผัสไม่ได้ว่ามีเขาอยู่ใกล้ๆ เธอกำลังเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน
แต่ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
เขาค่อยๆขยับเข้าไปใกล้กู้จื่อเฟยอีกหน่อย ทันใดนั้น ไหล่ก็ชนเข้ากับไหล่ ไหล่ของทั้งคู่แนบชิดกัน
อย่างนี้กู้จื่อเฟยจึงรู้สึกพอใจแล้ว
หลับตาลงได้ซะที “ฉันได้รับบาดเจ็บอยู่ ฉันไม่ขอให้คุณกอดฉันหรอก คุณอย่าเสียใจไปเลยนะ”
เย้นโม่หลิน “…..”
เขามีท่าทีอยากกอดเธอตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?
เย้นโม่หลินไม่มีทางเลือก รอฟังกู้จื่อเฟยพูดต่อ
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ พี่เย้น”
“อืม” เขาตอบเธอ
กู้จื่อเฟยบ่นอย่างไม่พอใจ “คุณก็ต้องตอบให้สุภาพสิคะ บอกฉันว่าราตรีสวัสดิ์ด้วย”
เย้นโม่หลินคิดว่าตัวเขาไม่ใช่คนที่พูดจาอ่อนหวานแบบนั้น แต่ก็แข็งใจพูดมันออกมา
“ราตรีสวัสดิ์ กู้จื่อเฟย”
รอยยิ้มที่มุมปากของกู้จื่อเฟยยกสูงขึ้น ตอบไปเบาๆว่า
“ราตรีสวัสดิ์ยังมีอีกความหมายหนึ่ง ก็คือฉันรักคุณคะ”
เสียงพูดเบาๆแผ่ไปในความมืด แต่มันกระทบถึงหน้าอกของใครบางคน
เย้นโม่หลินลืมตาขึ้นมองเพดานด้วยความงุนงง ราวกับว่าคลื่นพายุกำลังก่อตัวขึ้นในอกของเขา
ราตรีสวัสดิ์อีกความหมายหนึ่ง ก็คือฉันรักคุณ
ถ้างั้นเมื่อกี้ที่กู้จื่อเฟยพูดกับเขาว่าราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่เย้น ก็หมายความว่า ฉันรักคุณคะพี่เย้นงั้นหรือ?
การสารภาพรักแบบกะทันหันนี้ทำให้เย้นโม่หลินรู้สึกสับสนราวกับเด็กคนหนึ่ง คลื่นแปลกๆเข้าครอบงำประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขา
ขณะที่หัวใจกำลังปั่นป่วน เย้นโม่หลินไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เช้าวันต่อมา
ฟ้าเริ่มสางได้ไม่นาน เธอก็ลืมตาขึ้น
เธอไม่ได้หลับเลย เธอนอนมานานเกินไปแล้ว
เมื่อคืนตอนที่ตื่นมากลางดึกเธอก็นอนไม่หลับอีกเลย แต่ว่าอยากให้เย้นโม่หลินนอกพักเสียหน่อย จึงบังคับตัวเองให้นอนจนถึงตอนนี้
ตอนนี้หล่อนกระปรี้กระเปร่าขึ้นร้อยเท่า สามารถเล่นได้ยาวต่อเนื่องได้ถึงสามสิบหกชั่วโมงโดยไม่ง่วงนอน
นอนไม่หลับก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง สำหรับเธอมันยากที่จะตื่นแล้วลืมตาขึ้นมา ยังสามารถเห็นเย้นโม่หลินนอนหลับอยู่ข้างๆเธอสักครั้ง
แสงแดดในยามเช้าส่องลอดม่านเข้ามา ยิ่งทำให้ใบหน้าของเย้นโม่หลินดูหล่อเหลามากขึ้น
ราวกับเป็นอาหารตามื้อใหญ่ ให้กู้จื่อเฟยได้ชื่นชมในตอนเช้านี้
แต่เธอยังมองได้ไม่นานเท่าไหร่ ดวงตาของเย้นโม่หลินก็เปิดขึ้น เธอมองเขาด้วยสายตาที่เฉียบขาด
ราวกับอสูรร้ายกำลังนอนหลับ เขาตื่นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ เมื่อรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาเป็นเหยื่อ
ความคมชัดในดวงตาของเย้นโม่หลินจางหายไป หลังจากที่เขาเห็นว่ากู้จื่อเฟยกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างร้อนรน
ในตอนเช้าเสียงมักจะแหบราวกับยังไม่ตื่นดี ทุ้มต่ำกวนคน
เขาถามว่า “เป็นอะไรไป?”
ตื่นแล้วกลับมองเขาแบบนี้ เย้นโม่หลินไม่เข้าใจอยู่ดีว่ากู้จื่อเฟยคิดอะไรอยู่
กู้จื่อเฟยแสดงสีหน้าที่ผิดหวัง พลางกล่าวด้วยความน้อยใจว่า
“ในเวลาที่ดีเช่นนี้ มีคนหล่ออยู่ตรงหน้า ฉันกลับทำอะไรไม่ได้ เพราะได้รับบาดเจ็บอยู่”
เย้นโม่หลินอึ้งไปชั่วขณะ
เขาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
เขาอยากจะเปลี่ยนเรื่องคุยทันที และต้องการลุกจากเตียง แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็เห็นกู้จื่อเฟยถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ท่าทางแบบนั้น ราวกับว่าเรื่องที่ตั้งใจไว้ไม่สามารถทำได้ รู้สึกผิดหวังที่สุด
ความผิดหวังยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากขึ้น
เย้นโม่หลินคิดขึ้นมาได้ ย้อนกลับไปอย่างมีเงื่อนไข
“รอให้คุณหายดีก่อนเถอะ”
กู้จื่อเฟยแววตาเป็นประกายทันที ข้างหลังเธอ เหมือนจะมีหางอันหนึ่งโบกไปมาด้วยความดีใจ
“หมายความว่าถ้าหายดีแล้วก็สามารถทำอะไรกับคุณก็ได้งั้นหรือคะ?”
ที่ว่าทำอะไรก็ได้ ใช้หัวแม่โป้งเท้าคิด ก็คงไม่ใช่การไปเดินเล่นนอนคุยกันธรรมดาสินะ