สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่615 รสจัดแต่เช้า
บทที่615 รสจัดแต่เช้า
เช้าวันที่สอง
เย้นหว่านกับกู้จื่อเฟยแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ออกมาจากห้อง กำลังจะไปกินข้าวเช้า
เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ประตูของข้างห้องกลับเปิดออกมาจากด้านใน
โห้หลีเฉินยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองเย้นหว่านด้วยสายตาที่เย็นชา เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เย้นหว่าน เธอมีเพื่อนสนิทแล้ว ก็ลืมฉันงั้นเหรอ?”
เย้นหว่านชะงักฝีเท้าทันที
เธอรับหันหลัง ก็เห็นโห้หลีเฉินยืนอยู่ตรงข้างประตู ใบหน้าอันหล่อเหลา เต็มไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
เธอรู้สึกผิด พูดคุยกับกู้จื่อเฟยออกจากห้อง เธอลืมเรียกโห้หลีเฉินไปกินข้าวเช้าด้วยกัน
กู้จื่อเฟยก็รู้งาน เธอรีบปล่อยมือเย้นหว่าน ดันเธอไปตรงหน้าโห้หลีเฉิน
เธอพูดเสียงเบาว่า “รีบง้อเร็วเข้าสิ”
เย้นหว่าน “……”
ง้อ?
โห้หลีเฉินไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น น่าจะไม่ต้องง้อก็ได้นะ
เผชิญหน้ากับสายตาที่อันตรายของโห้หลีเฉิน เย้นหว่านกลับรู้สึกใจสั่นแปลกๆ ใบหน้าพยายามรักษารอยยิ้มไว้ เธอยิ้มตาหรี่เดินไปข้างๆโห้หลีเฉิน
เธอยื่นมือไปจับมือโห้หลีเฉินไว้ “ฉันกำลังจะเรียกนายพอดี ไปกันเถอะ พวกเราไปกินข้าวกัน”
เรียกเขา?
โห้หลีเฉินยิ้มตาหรี่ เขาไม่โง่หรอกนะ เย้นหว่านเดินไปไกลขนาดนั้น จะย้อนกลับมาเรียกเขางั้นเหรอ?
โห้หลีเฉินบีบคางเย้นหว่านไว้เบาๆ ขยับไปข้างหน้า โน้มตัวลงไปใกล้เธอ
สูดหายใจอย่างสง่า และพ่นไปที่ใบหน้าของเธอ
“ไม่เจอกันคืนหนึ่ง ก็ฝึกโกหกแล้วเหรอ?”
ลมหายใจที่อันตรายถาโถมเข้ามา ทำเอาใบหน้าเย้นหว่านแดงระเรื่อ
สายตาเธอกระสับกระส่าย ทั้งอายทั้งโมโห
รีบอธิบายว่า “ฉัน ฉัน……”
ไม่โกหกก็คงพูดต่อไม่ได้
แต่เผชิญหน้ากับดวงตาแหลมคมของโห้หลีเฉินแบบนี้ จับจ้องอย่างอันตราย ลิ้นเธอพันกันไปหมด ยังจะกล้าพูดโกหกได้ยังไงกัน
เย้นหว่านจิตใจกระวนกระวายจนแทบจะกระเด็นออกมาแล้ว
โห้หลีเฉินก้มหน้าลง ขยับเข้าไปใกล้อีก
ไล่ถามว่า “เธอเป็นอะไรไป?”
ระยะทั้งสองเข้าใกล้กันมากขึ้น ใกล้กันจนแทบจะทิ่มปลายจมูกเขาอยู่แล้ว ริมฝีปากที่เปิดๆปิดๆ
สมองเย้นหว่านวุ่นวายไปหมด
แทบจะว่างเปล่าแล้ว เช้าแบบนี้ก็จีบแบบนี้ ดีจริงเหรอ?
เธอกลัวเลือดกำเดาตัวเองจะไหลมาก
สายตาเย้นหว่านกระสับกระส่ายมองดูใบหน้าที่เข้าใกล้ เธออ้าปาก แต่ก็พูดไม่ออกสักคำ
“นาย นายหิวไหม? พวกเรา……” ไปกินข้าวกัน……
“หิวแล้ว”
ไม่รอเย้นหว่านพูดจบ โห้หลีเฉินก็พูดต่อจากเย้นหว่าน
สายตาที่ลึกซึ้งของเขาจับจ้องเธอ เหมือนหมึกที่ถูกไฟคลอก
“ควรกินแล้วล่ะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ เฉกเช่นคำสาปที่ทำให้หลงใหล
พึ่งพูดจบ โห้หลีเฉินก็ก้มหน้าลง ริมฝีปากบางประทับบนริมฝีปากเล็กของเธอ
จูบหวานลึกซึ้ง
ริมฝีปากอ่อนนุ่มนั้น ทำเอาคนแทบจะหยุดหายใจได้ เย้นหว่านเหมือนถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน ร่างกายแข็งทื่อไปหมด
ตอนเช้าแบบนี้ เขากลับ กลับจูบเธอเลยเหรอ
ที่สำคัญคือ ข้างๆยังมีคนอีกนะ กู้จื่อเฟยยังดูอยู่ด้วย!
จูบกันกลางที่สาธารณะ น่าอายจริงๆเลย
เย้นหว่านใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย เธออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นรีบผลักโห้หลีเฉินออกอย่างร้อนรน
แต่เขากลับคว้าข้อมือเธอไว้ได้ จับสองมือเธอแปะไว้บนกำแพงที่หัว ร่างกายที่สูงกำยำของเขาจู่โจมเข้ามา กดเธอแนบไว้บนกำแพงแน่น
จูบของเขา ลึกซึ้งเข้าไปอีก
เย้นหว่านทุกอณูรูขุมขน รับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขา จู่โจมกะทันหัน ทำให้ร่างกายเธออ่อนระทวยจนขัดขืนไม่ได้
สมองเย้นหว่านโล่งไปหมด รู้สึกเวียนหัว แทบหาทิศทางไม่เจอ
กู้จื่อเฟยยืนมองข้างๆ กระตุกปากเล็กน้อย เหมือนถูกยัดอาหารหมาเข้าปากเต็มๆ
รู้สึกว่าอิ่มไปเลยทันที ไม่จำเป็นต้องกินข้าวเช้าแล้วล่ะ
ไม่อยากดูอีกต่อไป กู้จื่อเฟยเบี่ยงสายตาไปทางอื่น จากนั้นก็คิดจะเดินหนีไป
เธอพูดเสียงเบาว่า “เสี่ยวหว่าน ฉันไปกินข้าวก่อนนะ”
พูดจบ กู้จื่อเฟยก็รีบหันหลัง เดินไปทางห้องอาหารทันที
เย้นหว่านอึ้งไปเลย
สมองโล่งไปหมด เหมือนลอยอยู่กลางอากาศ ถูกโอบกอดในเมฆที่ฟูฟ่อง ลอยละล่องไปมา รู้สึกเหมือนฝันไปแต่ก็รู้สึกสบายตัว
หนีจากอาการหลงใหลนี้ไม่ได้เลย
เห็นการจูบแบบฝรั่งเศสแบบนี้ กู้จื่อเฟยใบหน้าแดงระเรื่อ เธอเดินเร็วอย่างมาก ก้าวเท้ายาวๆไปทางห้องอาหาร
พึ่งเดินเข้าไป เห็นผู้ชายที่นั่งในนั้น เธอก็หยุดชะงักฝีเท้าลงทันที
เป็นเย้นโม่หลิน
ห้องอาหารใหญ่แบบนี้ ตอนนี้ไม่มีคนอื่นเลย มีแต่เย้นโม่หลิน กับเธอ
เย้นโม่หลินได้ยินเสียงเท้าเดิน เงยหน้าขึ้นเห็นกู้จื่อเฟย สายตาก็เปลี่ยนไปเป็นความมืดมนทันที
ทั้งสองเห็นอีกฝ่าย ก็ต่างไม่พูดอะไรกัน
บรรยากาศเงียบสงบจนน่ากลัว
กู้จื่อเฟยหัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจที่รีบวิ่งมาในนี้
เจอเย้นโม่หลินแบบลำพัง รู้สึกอึดอัดมากจริงๆ
ยืนตัวแข็งทื่ออยู่สักพัก กู้จื่อเฟยก็ถึงใจเย็นลง ทักทายอย่างมีมารยาท
“คุณชายเย้น อรุณสวัสดิ์”
การเรียกที่ไม่คุ้นเคย ทำเอาเย้นโม่หลินชะงักไปตามๆกัน
เธอไม่ได้เรียกเขาว่าพี่เย้นอีกต่อไป แต่เรียกคุณชายเย้นอย่างห่างเหิน
สายตาเย้นโม่หลินมืดมนลงไปอีก เขาเม้มปาก พยายามควบคุมอารมณ์หวั่นไหวภายในหัวใจเอาไว้
เขาเงยหน้ามองเธอ อยากจะแสดงออกถึงความอ่อนโยนให้มากที่สุด แต่ฟังแล้วกลับแข็งทื่อซะอย่างงั้น
“เธอไม่ต้องเคร่งขนาดนั้นหรอก เรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว”
กู้จื่อเฟยแปลกใจ มองเย้นโม่หลินอย่างตะลึง
ผ่านไปแล้ว?
หมายความว่ายังไง?
สีหน้าเธอตึงเครียด นานมากหลังจากนั้น ถึงถามเสียงแข็งไปว่า “นายไม่โทษฉันแล้ว?”
เย้นโม่หลินส่ายหน้า พูดอย่างจริงใจว่า
“เรื่องที่เสี่ยวหว่านประสบอุบัติเหตุ ไม่โทษเธอหรอก”
เรื่องนี้ หลังจากนั้นที่ใจร้อน เขาก็คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว
เย้นโม่หลินพูดว่า “คำพูดวันนั้นฉันพูดหนักไปหน่อย เธออย่าเก็บมาใส่ใจเลย เธอกับเสี่ยวหว่านเป็นเพื่อนรักกัน และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป”
เขาไม่ห้ามการไปมาหาสู่ของพวกเธอหรอก
ความหมายก็คืออนุญาตให้กู้จื่อเฟยอยู่ที่นี่ต่อไป
กู้จื่อเฟยแปลกใจมาก มองเย้นโม่หลินด้วยสายตาเปล่งประกายวิบวับ
เธอคิดว่า หลังจากนี้เย้นโม่หลินจะไล่เธอไปเสียอีก ต่อไปก็จะไม่อนุญาตให้เธออยู่ข้างเย้นหว่านอีกต่อไป
ตอนนี้อารมณ์ของเย้นโม่หลิน ก็คือเธอกับเย้นหว่านเป็นเพื่อนกันต่อไปได้
กู้จื่อเฟยหัวใจที่หนักอึ้ง ก็ได้รับการปลอบใจเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน จิตใจที่มืดมน ก็มีความคาดหวังที่ไม่สมควรปรากฏขึ้น
เธอรีบกำมือตัวเองไว้แน่น จากนั้นที่ดิ้นรนและลังเลในใจอยู่นาน ก็ถึงรวบรวมความกล้า มองเย้นโม่หลิน
เธอกัดฟัน พูดเสียงเบาว่า “งั้นนาย……นาย……”
เห็นท่าทางระมัดระวังตัวของกู้จื่อเฟย เย้นโม่หลินก็รู้สึกหงุดหงิดใจแปลกๆ
เขาขมวดคิ้ว และถามไปตรงๆว่า “เธออยากพูดอะไร? อันที่ตอบได้ ฉันจะตอบ”
ตรงๆแบบเขา
หัวใจกู้จื่อเฟยเต้นแรงกว่าเดิม และหนักกว่าเดิมไปอีก
ความคิดที่กล้าแกร่งพุ่งเข้ามาในหัวเธอ ทำเอาเธออดไม่ได้ถามออกไป