สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่617 การนัดหมายของเรา
บทที่617 การนัดหมายของเรา
ในตอนที่เจ็บปวดและเสียใจที่สุด ได้ร้องไห้ออกมาอย่างเต็มที่ เป็นการระบายและการปลอบใจที่ดี
กอดเย้นหว่านไว้ กู้จื่อเฟยรู้สึกตื้นตันอย่างมาก อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้ออกมาทันที
เธอร้องไห้หนักมาก ร้องไห้อย่างเต็มที่
ความเจ็บปวดที่กดทับอยู่ในหัวใจแทบจะทำให้คนแหละสลายได้ และก็ไหลออกมาพร้อมน้ำตาบ้าง
เย้นหว่านตบหลังกู้จื่อเฟยเบาๆ ปวดใจแทนจนพูดไม่ออก
ถ้ารู้ว่ากู้จื่อเฟยมาที่นี่จะเจ็บปวดขนาดนี้ ปวดแบบลึกมาก เริ่มแรกเธอจะไม่ให้กู้จื่อเฟยได้รู้จักกับเย้นโม่หลินเลย
“จื่อเฟย ถ้าเธอเสียใจ พวกเราก็พยายามหลบการพบปะกับเขา รอหาตัวกู้ซึงได้แล้ว ฉันจะกลับเมืองหนานกับเธอนะ”
เย้นหว่านพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเบาบาง
ในตอนที่อกหัก ยังต้องเจอคนที่รักแต่ครอบครองไม่ได้นี้ เป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากที่สุด และยากมากที่จะลืมเรื่องนี้ไม่นึกถึงเรื่องนี้อีก
ออกห่าง และให้เวลารักษาบาดแผลนี้ได้
เย้นหว่านเห็นกู้จื่อเฟยปวดใจขนาดนี้ ก็ไม่มีความคิดที่อยากจะให้พวกเขาอยู่ด้วยกันแล้วล่ะ เธอแค่คิดอยากให้กู้จื่อเฟยมีความสุข เจ็บปวดน้อยหน่อยเท่านั้น
คางของกู้จื่อเฟยแนบไว้บนไหล่ของเย้นหว่าน ดวงตาแดงก่ำเพราะร้องไห้ น้ำตาคลอ
เธอตอบเสียงสะอื้นว่า “อืม”
ออกห่าง
หัวใจจะว่างเปล่า จะเจ็บปวดจะเสียใจ แต่เธอก็อยากจะรีบออกไปเร็วๆ อยากจะหนีไปให้เร็วที่สุด
เย้นหว่านพูดเสียงเบาว่า “จื่อเฟย เข้มแข็งหน่อยนะ ร้องไห้แล้ว เธอก็ยังต้องยิ้ม ต้องมีความสุข จะต้องกลับไปเป็นคนบ้าๆบอๆเหมือนเมื่อก่อนให้ได้นะ เป็นกู้จื่อเฟยที่กล้ารักกล้าเสียอีกครั้ง”
นั่นสิคือตัวตนของเธอ
กู้จื่อเฟยกัดริมฝีปากแน่น สีหน้ามืดมนลง
กล้ารักกล้าเสีย?
เธอในตอนนี้ ความกล้าของเธอแพ้จนไม่เหลืออะไรเลย เธอไม่เคยคิดเลยว่า มีวันหนึ่งจะต้องเจอคนแบบนี้ รักจนสุดหัวใจ เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ทุกอย่างของเธอได้
“ฉันแค่ยังเดินออกมาจากอาการอกหักได้น่ะ รอไม่กี่วัน ฉันก็จะยังเป็นกู้จื่อเฟยคนเดิมนะ!”
กู้จื่อเฟยกัดฟัน พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
พูดให้เย้นหว่านฟัง และพูดให้ตัวเองเหมือนกัน
เย้นหว่านทำตามที่พูดได้อยู่แล้ว ช่วงนี้ก็อยู่กับกู้จื่อเฟยอยู่ตลอด ก็ไม่ได้ไปกินอาหารที่ห้องอาหาร แต่ให้คนไปส่งอาหารที่ห้องแทน
กินกับกู้จื่อเฟย
โห้หลีเฉินกลับไม่ว่าอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ยังไปกินข้าวเองทุกวันตามปกติ
และเย้นโม่หลินก็อยู่ด้วย
บางทีเย้นหว่านไม่กล้าคิดภาพนั้นเลยจริงๆ ทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกัน กินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันไม่บ่อยมาก
คงเป็นภาพที่อึดอัดน่าดู
และยังเป็นความอันตรายที่รุนแรงมากอีกด้วย
หรือว่าทั้งสองกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่?
เย้นหว่านไม่เข้าใจ มีความแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็อดใจไว้ไม่ได้ไปแอบดู
เพราะยังไง พวกเขาสองคนก็มีไหวพริบดีกว่าคนทั่วไปมาก เกรงว่าเธอพึ่งออกไป ยังไม่ได้ฟังหรือเห็นอะไร ก็ถูกจับได้เสียก่อนแล้วล่ะ
พอหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว โห้หลีเฉินก็กลับมาแต่โดยดี เย้นหว่านก็พูดปลอบตัวเอง ให้วางใจ
ก็เป็นแบบนี้ในเวลาสามวัน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว
เย้นโม่หลินทางนั้นก็จัดการเสร็จแล้ว วันนี้บินกลับตระกูลเย้นพอดี
เย้นหว่านดูแลร่างกายโห้หลีเฉินอยู่ทุกวัน และรู้ว่าตอนนี้แม้บาดแผลเขาจะยังไม่หายดีมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถออกกำลังกายหนักได้ นั่งเครื่องบินเรื่องพวกนี้ก็ไม่เป็นปัญหามาก
แต่ว่า……
เย้นหว่านขมวดคิ้ว มองโห้หลีเฉินอย่างไม่สบายใจ
“ตระกูลเย้นตอนนี้ก็ยังตัดสินใจที่จะยกเลิกสิทธิ์การรับมรดกของนาย และยังสั่งคนตามจับนายอีก นายกลับไปละก็ จะเป็นอันตรายเกินไปไหม?”
ถ้าอันตรายมากเกินไป ไม่มีความมั่นใจมากพอ ก็ให้โห้หลีเฉินอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ
ส่วนเรื่องของหยูซือห้าน เย้นหว่านคิดแล้ว แม้ไม่มีโห้หลีเฉินไปเอง ได้ผลลัพธ์ที่ดีมา แต่ได้เปิดโปงความผิดของหยูซือห้านต่อหน้า ก็สามารถทำลายเขาได้แล้ว
โห้หลีเฉินมองดูท่าทีที่เป็นห่วงของเย้นหว่าน เขาก็ยิ้มมุมปาก ก้มหน้าจุ๊บไปที่หน้าผากเธอทีหนึ่ง “เย้นหว่าน เธอต้องเชื่อใจผู้ชายของเธอนะ”
บนหน้าผาก เหมือนมีไฟปะทุขึ้นเล็กน้อย ร้อนผ่าวไปหมด
เย้นหว่านหน้าแดงระเรื่อ มองค้อนเขาอย่างรำคาญ
เธอกำลังพูดเรื่องจริงจัง ทำไมเขาถึงทำตัวไม่จริงแบบนี้นะ ทำเรื่องอะไร พูดอะไรของเขาน่ะ
อะไรคือเขาเป็นผู้ชายของเธอกัน?
โห้หลีเฉินยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ยื่นมือไปโอบเอวเย้นหว่านไว้ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด
ร่างกายทั้งสอง แนบแน่นกันอย่างรักใคร่
หัวใจทั้งสองเต้นเร็วตึกตัก
โห้หลีเฉินก้มหน้าลง ขยับเข้าไปใกล้หูของเย้นหว่าน ทุกคำพูดเป็นเหมือนขนนกที่คืบคลานผ่านหูของเธอ
“ถ้าจัดการเรื่องของตระกูลหยูเสร็จแล้ว บาดแผลของฉันก็จะดีเอง”
ดังนั้น……
“เย้นหว่าน เธอต้องเตรียมตัวให้ดีนะ”
เตรียมตัว เตรียมอะไร
ไม่พูดให้เข้าใจ ก็เพียงพอต่อการที่ทำให้เย้นหว่านหน้าแดงระเรื่อไปถึงหลังหูได้
พวกเขาตกลงกันแล้วว่า รอบาดแผลโห้หลีเฉินดีก่อน เขาจะนอนกับเธอ
เธอไม่ปฏิเสธ
แต่พอเรื่องนี้จะมาถึงแล้วจริงๆ เย้นหว่านก็ตัวร้อนไปหมด ร้อนรนเหมือนกุ้งที่ถูกต้มสุกแล้ว
แม้ตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรกจะอยู่บนเตียง ก็ทำเรื่องอย่างว่ากันไปแล้ว
แต่ครั้งนั้นสติสตังยังไม่เข้าที่ และแปลกหน้ามาก ความสัมพันธ์ไม่เหมือนกัน บรรยากาศไม่เหมือนกัน อารมณ์ไม่เหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเย้นหว่านยังมีหลายตอนที่จำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ส่วนใหญ่
ถ้าตอนนี้เธอกับโห้หลีเฉินทำเรื่องอย่างว่านั้น รู้สึกจะเป็นการทดลองแบบใหญ่หมดเลย……
แค่คิด เย้นหว่านก็หัวใจเต้นแรงแล้ว
เธอผลักเขาออกอย่างเขินอาย ก้มหน้าลง พึมพำว่า “ฉันถามนายอันตรายไหม นายตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ก็พอแล้ว ทำไมต้องพูดเรื่องอื่นด้วยล่ะ ไม่พูดกับนายแล้ว ฉันไปเก็บของก่อนนะ!”
พูดจบ เย้นหว่านก็มองโห้หลีเฉินอย่างเขินอาย และรีบวิ่งเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
โห้หลีเฉินมองดูประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ถูกปิดอย่างรวดเร็ว ก็ยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดู
เขาหวังว่าหลังจากที่เรื่องตระกูลหยูจัดการเสร็จแล้ว การอยู่ด้วยกันระหว่างเขากับเย้นหว่าน
ตอนนั้น เขาไม่ให้เธอผลักเขาออกง่ายๆแบบนี้แน่นอน
แต่ว่า พอเรื่องตระกูลหยูจัดการเสร็จแล้ว ร่างกายเขาจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
ถ้าร่างกายเขาถูกหยูซื้อห้านวางยาจนเสื่อมสภาพไปจริงๆละก็ งั้นเขากับเย้นหว่าน……
สายตาของโห้หลีเฉินโหดเหี้ยมจนน่ากลัว
——
เพราะก่อนหน้านี้เย้นโม่หลินก็บอกทุกคนว่าต้องไปแล้ว พวกเขานั่งบนเฮลิคอปเตอร์ด้วยกัน และบินไปคฤหาสน์ตระกูลหยู
และตระกูลหยู ก็ต้อนรับอยู่รอบที่จอดอย่างเป็นมิตร
หยูฉู่สองพาท่านอาวุโสส่วนหนึ่งของตระกูลหยูมา ยืนอยู่นอกที่จอด รอเครื่องบินจอดลง
ด้านหลังของพวกเขา ที่จอดสี่ด้านทั้งหมดนั้น มีบอดี้การ์ดยืนเรียงเป็นแถว แต่ละคนร่างกายสูงกำยำ และยังแต่งตัวอาวุธพร้อมอีกด้วย
สาวรับใช้สวยๆก็ยืนเรียงกันเป็นสี่แถวอย่างเป็นระเบียบ ในมือถือดอกไม้สดไว้ ริบบิ้น ใบหน้ายิ้มด้วยความจริงใจ
แต่บนน่อง กลับมีมีดสั้นและปืนพ่วงอยู่ด้วย
เบื้องหน้าทำพิธีต้อนรับอย่างเป็นมิตร แต่เบื้องหลัง ก็ทำการป้องกันขั้นสูงสุด
พิธีต้อนรับนี้ เบื้องหลังของการต้อนรับด้วยรอยยิ้มนี้ ก็เป็นงานเลี้ยงที่มีอันตรายอยู่รอบด้าน