สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่678 ฝีมือเยี่ยม
บทที่678 ฝีมือเยี่ยม
หลังจากทำเสร็จแล้ว เส้นที่รัดตึงไปทั่วตัวเธอ ก็คลายลงในทันที
น้ำตาที่อดกลั้นไว้ ก็รื้นกลับมาเต็มเบ้าตาอีกครั้ง
โห้หลีเฉินมองเธออย่างปวดใจ ฝ่ามือลูบแก้มของเธอ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“แค่แผลเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ไม่กี่วันก็หายแล้ว อย่าทุกข์ใจไปเลย เด็กดี”
เย้นหว่านยิ่งอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที
แต่กลับไม่อยากให้โห้หลีเฉินเป็นห่วงเธอด้วยเช่นกัน เธอสูดจมูกแล้วอดกลั้นน้ำตาลงไปอีกครั้ง
เธอกัดริมฝีปาก พยักหน้าแรง ๆ
“นายยังบาดเจ็บที่อื่นอีกรึเปล่า?”
เธอจะได้จัดการทีเดียว
แม้ว่าแผลฟกช้ำที่หลังของโห้หลีเฉินจะไม่เห็นเลือด แต่ภายในกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง บาดเจ็บอยู่ภายในเนื้อหนัง จำเป็นต้องใช้ยาบรรเทาจากภายนอก
แต่…..
เขามองท่าทางฝืนกลั้นน้ำตาของเย้นหว่านแล้วก็เม้มปาก ส่ายหน้า
“ไม่มีแล้ว ฉันก็กินยาอีกสองเม็ดก็พอแล้ว”
“โอเค เดี๋ยวฉันเอาน้ำให้”
เย้นหว่านจ่ายยาไม่ได้ เธอวางกล่องยาไว้ตรงหน้าโห้หลีเฉินทันทีอย่างเชื่อฟัง จากนั้นจึงไปหยิบน้ำที่เตรียมไว้ในรถ
แต่เดิมในรถนั้นมีน้ำร้อนที่อุ่นอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ผ่านการกระแทกมากขนาดนี้ น้ำร้อนนั้นจึงเสียไปด้วย
อุปกรณ์มากมายในรถมีระดับความเสียหายแตกต่างกันไป แม้แต่ไฟรถเองก็เปิดไปได้แล้ว
เย้นหว่านได้แต่เทน้ำเย็นแก้วหนึ่ง กุมไว้ในมือ แล้วค่อยยื่นไปตรงหน้าโห้หลีเฉิน
“ไม่มีน้ำร้อนแล้ว ดื่มสักหน่อยนะ”
“อืม”
โห้หลีเฉินไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย แล้วกลืนเม็ดยาลงไปพร้อมกับน้ำ
ยานี้หลัก ๆ คือใช้เพื่อแก้อาการฟกช้ำและรักษาภายใน
เมื่อเห็นโห้หลีเฉินกินยาแล้ว เย้นหว่านมองเขาอย่างเป็นกังวล “ดีขึ้นรึยัง?”
ถามจบ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองเซ่อชะมัด เพิ่งจะกินยาลงไปยังไม่ทันละลายในท้องเลย จะไปเห็นผลเร็วขนาดนั้นได้ยังไง
ขณะที่เธอกำลังคับอกคับใจ ก็กลับได้ยินคำตอบอย่างจริงจังของโห้หลีเฉิน
“ดีขึ้นเยอะแล้ว”
มุมปากของเขายกยิ้ม “ฝีมือการทำแผลของเธอเยี่ยมมาก”
แก้มของเย้นหว่านแดงเรื่อทันที
ความอึดอัดกลัดกลุ้มในใจละลายหายไปมากอย่างน่าอัศจรรย์
บรรยากาศค่อย ๆ ดีขึ้นเล็กน้อย โห้หลีเฉินเองก็ไม่ล่าช้า สายตาคมกริบมองสภาพภายในรถอีกครั้ง
เย้นหว่านเองก็มุ่งความสนใจจดจ่อไปที่รถ มองไปยังหิมะที่ปกคลุมอย่างหนาแน่นนอกหน้าต่างรถ ก็รู้สึกไม่สบายใจ
เธอเอ่ยเสียงหนัก “ไม่รู้ว่าหิมะข้างนอกกลบอยู่แค่ไหน พวกเราสามารถออกไปแบบนี้ได้รึเปล่า?”
ที่กังวลคือหากฝังลึกอยู่กองหิมะ เมื่อประตูรถเปิดออก พวกเขาก็จะถูกฝังในหิมะที่พุ่งเข้ามา
“ได้”
แขนซ้ายของโห้หลีเฉินเกี่ยวแขวนอยู่กับคอ มือขวายังสามารถใช้งานนาฬิกาบนข้อมือได้ เขากดอย่างคล่องแคล่ว ก็ปรากฏรหัสตัวเลขเป็นแถว ๆ ที่ซับซ้อนบนนาฬิกานั้น
เย้นหว่านมองอย่างตกตะลึง นาฬิกาเรือนนี้ยังเป็นคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กอีกงั้นเหรอ?
เมื่อเห็นท่าทางมึนงงของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินก็เม้มปาก พูดอธิบายอย่างใจเย็น
“นาฬิกาเรือนนี้มีความจุเยอะมาก ชาร์จพลังงานจากแสงอาทิตย์ เวลาสแตนด์บายนานและไม่แตกง่าย ดังนั้นในเวลาที่เกิดอันตราย ก็สามารถใช้แทนมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้”
“ฉันทดสอบดูแล้ว เราไม่ได้ถูกฝังอยู่ลึกมาก ปัดหิมะออกสักหน่อยก็ออกไปได้แล้ว”
“โอเค งั้นฉันทำเอง”
ก่อนเย้นหว่านจะออกเดินทางมา ได้ผ่านการอบรมอย่างรวดเร็วมาแล้ว รู้ว่าในสถานการณ์ที่ถูกหิมะฝังจะต้องปัดหิมะยังไง
เพียงเธอขยับตัว แขนก็กลับถูกโห้หลีเฉินคว้าเอาไว้
เขาเอ่ยอย่างจนใจ “ใส่ชุดกันความเย็นก่อน”
เย้นหว่านลูบหัวอย่างเขินอาย “ในรถอุ่นมา ฉันเกือบจะลืมแล้วสิ”
ด้านในและนอกรถ เป็นสองอุณหภูมิ
ยังโชคดีที่อุปกรณ์ทำความร้อนในรถไม่เสีย ไม่อย่างนั้นเธอกับโห้หลีเฉินลงตกมาแล้วยังสลบไปนานขนาดนี้ ก็คงแข็งตายอยู่ในน้ำแข็งไปนานแล้ว
เย้นหว่านไปหยิบชุดกันความเย็นที่วางอยู่หลังรถอย่างว่องไว แต่ที่น่าแปลกใจคือ เธอกลับหยิบออกมาเพียงชิ้น
อีกชิ้นหนึ่งถูกส่วนที่บุบเข้าไปด้านหลังของโห้หลีเฉินกดไว้ด้านในนั้นแน่น
เย้นหว่านดึงฉุดอยู่พักหนึ่ง ก็ยังดึงออกมาไม่ได้
“ไม่ต้องดึงแล้ว เอาออกมาไม่ได้ ถึงออกมาได้ก็พังไปแล้ว ใส่ไม่ได้แล้วล่ะ”
โห้หลีเฉินหยุดการกระทำของเย้นหว่านอย่างหนักแน่น
เย้นหว่านขมวดคิ้วแน่น “แต่บนรถมีชุดกันความเย็นแค่ตัวนี้แล้ว”
อากาศข้างนอกหนาวสุดขีด ถ้าไม่ได้ใส่ชุดกันความเย็น ร่างกายคงรับไม่ไหวแน่
“ไม่เป็นไร ยังมีเสื้อนวมบุฝ้ายตัวหนึ่ง ฉันใส่ก็โอเคแล้ว”
โห้หลีเฉินยื่นมือหยิบเสื้อบุนวมอีกตัวออกมา แล้วกางออกบนต้นขาอย่างว่องไว
นั่นมือเตรียมไว้สำหรับใส่ในตอนที่ไม่ได้หนาวขนาดนั้น
เย้นหว่านยังคงขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ เสื้อบุนวมบาง ๆ ตัวนั้น สามารถทนได้เพียงความหนาวทั่วไปเท่านั้น แต่อากาศข้างนอกนี่มันเป็นความหนาวอย่างเลวร้ายมากนะ…..
“ฉันสุขภาพดี สภาพอากาศระดับนี้ กระทบอะไรฉันไม่ได้หรอก เสื้อบุนวมก็พอแล้ว”
เมื่อรู้ความกังวลของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินจึงอธิบายอย่างใจเย็น
ในขณะเดียวกัน ก็คลี่เสื้อบุนวมออกด้วยมือเดียว แล้วสวมมันบนร่างกายของตัวเอง
แขนซ้ายที่ห้อยอยู่ของเขา เขาก็หยิบมันมาใส่เสื้อผ้า ซึ่งง่ายต่อการทำให้แผลฉีกอีกครั้ง
เย้นหว่านไม่อาจสนใจอะไรได้อีกในทันใด เธอรีบเอื้อมมือไปถือเสื้อบุนวมแล้วช่วยใส่ให้โห้หลีเฉิน
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บที่แขน แต่การเคลื่อนไหวของโห้หลีเฉินไม่ได้ช้าเลยแม้แต่น้อย จึงสวมเสื้อบุนวมบนร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
เย้นหว่านมองเขาที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ในใจนั้นกลัดกลุ้ม แต่กลับไม่มีอะไรให้พูดแล้ว
โห้หลีเฉินท่าทีเด็ดเดี่ยว บวกกับสถานการณ์ในตอนนี้ที่เอาชุดกันความเย็นออกมาไม่ได้จริง ๆ จึงไม่มีตัวเลือกมากกว่านี้แล้ว
เย้นหว่านกัดฟัน “ก่อนไปก่อนเถอะ”
รถคันอื่นเองก็ตกลงมาเหมือนกัน ถ้าหาเจอล่ะก็ บางทีคงจะหาชุดกันความเย็นตัวอื่นได้
คิดถึงตรงนั้น ในใจของเย้นหว่านก็บีบรัดขึ้นมาอย่างทนไม่ได้
ไม่รู้ว่าพวกเย้นโม่หลินตกลงมาแล้วจะยังปลอดภัยอยู่รึเปล่า
ออกไปแล้ว ต้องหาดู
อุดอู้อยู่ในรถคงไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมา เย้นหว่านจึงไม่โอ้เอ้ต่อไป เธอหยิบเครื่องมือออกมาแล้วเริ่มปัดกวาดหิมะ
โดยตำแหน่งหันหลังให้กับโห้หลีเฉิน
และตอนนั้นเอง สีหน้าท่าทีไม่ยี่หระบนใบหน้าของโห้หลีเฉิน ก็ขมวดนิ่วคิ้วย่นในที่ที่เย้นหว่านมองไม่เห็น
สีหน้าของเขาซีดเผือด ดูหมองคล้ำและอัดอั้น ยับยั้งเจ็บปวดและอ่อนเพลียอย่างหนักหน่วง
อาการบาดเจ็บบนร่างกาย เขาเพียงแค่กำลังพยุงอาการ อาการบาดเจ็บในตอนนี้ของเขา สิ่งที่ดีที่สุดคือการนอนพักผ่อน ฟื้นฟูสักระยะหนึ่ง
แต่เขากลับไม่มีเวลาและปัจจัยให้ฟื้นฟู
และก็ไม่อยากให้เย้นหว่านเห็นแล้วเป็นห่วงและรู้สึกแย่
เมื่อหน้าต่างรถเปิดออก อากาศหนาวภายนอกนั้นก็รุกล้ำเข้ามา มันคืออุณหภูมิสองอย่างของน้ำแข็งและไฟอย่างสิ้นเชิง
เย้นหว่านอดทนต่อความหนาวเย็นที่ปะทะใบหน้า เมินความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาที่ซ่อนไว้บนร่างกาย เริ่มปัดกวาดหิมะอย่างจริงจังและรวดเร็ว
รีบกระโดดออกไป แล้วจะได้ออกไปตามหาคนและขอความช่วยเหลือ
ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่ที่น้ำแข็งและหิมะปกคลุมไปทั่วก็ร้อนจนเหงื่อท่วมตัว จนในที่สุดด้านใต้กองหิมะ ก็ปัดกวาดจนปรากฏทางที่จะสามารถออกไปได้
เธอเช็กเหงื่อบนหน้าผาก เพียงเหงื่อนั้นร่วงลงบนผ้าคลุมของเธอ ก็กลายเป็นน้ำแข็งไปอย่างรวดเร็ว
เย้นหว่านมองอย่างไม่ค่อยสบายใจ
อากาศของที่นี่ เย็นเกินไปแล้ว
เธอเม้มปาก เก็บของทุกอย่างใส่ในกระเป๋าเป้ แล้วออกไปด้วยกันกับโห้หลีเฉิน
ออกมาจากอุโมงค์หิมะอย่างยากลำบาก เมื่อเย้นหว่านมองเห็นสถานการณ์ด้านนอกอย่างชัดเจน เจ้าตัวก็แทบหน้ามืด