สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่821 มองต่างออกไป
“จื่อเฟย ถ้าเธอรู้สึกไม่ดีก็บอกฉันนะ ยังไงฉันก็จะให้พี่ชายฉันไปซะ เธอไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก”
เย้นหว่านพูดอย่างจริงจัง
ใบหน้าของกู้จื่อเฟยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ได้ๆๆ ถ้าฉันรู้สึกไม่ดีจะบอกเธอแน่นอน แม่คุณหนูของฉันอย่าเสียเวลาอยู่เลย รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า เธอยังไม่ได้แต่งหน้าเลยนะ”
พูดดังนั้น กู้จื่อเฟยก็ดันเย้นหว่านไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
เย้นหว่านเห็นท่าทีที่ไร้ความแยแสอย่างสิ้นเชิงของกู้จื่อเฟย ความกังวลในใจเองก็ลดลงไปมากแล้วหอบชุดราตรีเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ชั่วขณะที่ประตูของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าปิดลง รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้จื่อเฟยก็พลันหายไป
ในดวงตากลมโตนั้น ความโศกเศร้าที่ไม่อาจยับยั้งก็หลั่งไหลออกมา
กับเย้นโม่หลินแล้ว จะบอกว่าลืมก็ลืมได้ บอกว่าไม่สนใจก็ไม่สนใจได้ที่ไหนกัน
วันที่รู้ว่าจะได้เจอกับเขาอีก ใจที่เธอตัดไปอย่างยากลำบาก ก็ถาโถมด้วยคลื่นลูกใหญ่อีกครั้ง
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งเข้าใจถ่องแท้ถึงความเป็นไปไม่ได้ระหว่างเขาและเธอ ยิ่งเจ็บปวด ก็ยิ่งสิ้นหวัง
เธอได้แต่ควบคุมตัวเอง ให้ไม่ไปสนใจ
เย้นหว่านเป็นห่วงเธอ เธอเองก็เป็นห่วงเย้นหว่านเช่นเดียวกัน
เรื่องของหยิงหลิงเกี่ยวข้องก็ชีวิตของโห้หลีเฉิน เป็นเรื่องสำคัญที่เย้นหว่านให้ความสำคัญมากที่สุด เย้นโม่หลินความสามารถเป็นเลิศ ฝีมือแข็งแกร่ง มีเขาอยู่เรื่องราวจึงจะดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
เธอไม่สามารถทำเสียเรื่องเพราะความคิดเล็กน้อยของตัวเองได้
ส่วนหัวใจของเธอนั้น ก็เก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก
มันนานมาแล้ว ชินชาไปแล้ว ก็ไม่สนใจแล้วล่ะ
เมื่อเปลี่ยนชุดราตรีแล้ว แต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว เย้นหว่านจึงเดินออกมาจากประตูห้องพร้อมกู้จื่อเฟย
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ชายหนุ่มทั้งสามนั้นไม่ได้มารอพวกเธอที่หน้าประตู
ทางนั้นบอกว่าเสื้อผ้าผู้ชายของพวกเขาเปลี่ยนกันเร็วแถมไม่ต้องแต่งหน้า ต้องจัดการเสร็จกันเร็วแน่นอนอยู่แล้ว ต้องมารอพวกเธออยู่ที่ประตูถึงจะถูกสิ
แต่พวกเขาไปไหนซะแล้วล่ะ?
ขณะกำลังฉงนสงสัย ป้าหวางจึงเพิ่งมาบอกกับพวกเธอว่าพวกของโห้หลีเฉินลงไปด้านล่างก่อนแล้ว ให้พวกเธอจัดการเร็จแล้วค่อยลงไป
เย้นหว่านงุนงง พวกโห้หลีเฉินไม่รอเธอและกู้จื่อเฟยแล้วจะลงไปด้านล่างก่อนได้ยังไง?
หรือฝู้เหวยข่ายจะมาแล้วอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อคิดเช่นนั้น เย้นหว่านก็พลันใจเต้นรัว แต่ก็กังวลด้วย
เธอหันกลับไปพูดกับกู้จื่อเฟย “จื่อเฟย เรารีบลงไปกันเถอะ”
“โอเค”
กู้จื่อเฟยเองก็ไม่รอช้า ถกกระโปรงยาวเดินไปยังลิฟต์พร้อมกับเย้นหว่าน
ทั้งสองออกมาจากลิฟต์ก็เดินตรงไปยังห้องโถง
เพียงเพิ่งเดินมาถึง ก็มองเห็นทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างประหลาดใจ
พวกโห้หลีเฉินทั้งสามกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางสง่างาม และยังมีอีกคน นั่นคือบิดาของกู้จื่อเฟย กู้หรงเองก็นั่งอยู่บนโซฟา
ฝู้เหวยข่ายยังไม่มา
ใจที่ลอยหวิวของเย้นหว่านนั้นตกลงมาอีกครั้ง เธอคิดมากไปเองสินะ
“เฟยเฟย เสี่ยวหว่าน รีบมานั่งเร็วเข้า”
เมื่อกู้หรงเห็นพวกเธอ เอ่ยต้อนรับด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ
ด้วยความสัมพันธ์ของเธอกับกู้จื่อเฟย เย้นหว่านจึงมาที่ตระกูลกู้อยู่บ่อยๆ กู้หรงเองก็คุ้นเคยกับเธออย่างมาก ปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยนเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง
บนใบหน้าของเย้นหว่านเฉยรอยยิ้มขึ้นมาในทันที “คุณอากู้”
เย้นหว่านเดินเข้าไป แล้วนั่งลงข้างโห้หลีเฉินอย่างเป็นธรรมชาติ
ที่นั่งในห้องโถงใหญ่ค่อนข้างมาก กู้จื่อเฟยคิดที่จะนั่งบนเก้าอี้เดี่ยวตัวหนึ่ง ในตอนนั้นเอง กู้หรงกลับเรียกเธอเอาไว้
เขาเอ่ย “จื่อเฟย มานั่งนี่สิ”
เขาชี้ไปยังโซฟาอีกตัวที่อยู่ข้างๆ
ถัดไปจากเบื้องหน้าของเขา แต่ว่าบนโซฟาตัวนั้น มีป่ายฉีกำลังนั่งอยู่
ในสถานการณ์ปกติเมื่อมีแขก จะพยายามให้แขกนั่งบนโซฟาตัวเดียวเพียงลำพัง เพื่อแสดงความเคารพและมารยาท
กู้จื่อเฟยมองไปยังกู้หรงอย่างไม่เข้าใจ
กู้หรงเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“เข้ามาซี่ พ่อมีเรื่องต้องพูดกับลูก”
มีเรื่องจะพูด เธอจะนั่งตรงไหนก็ฟังได้ ทำไมต้องไปนั่งตรงหน้าเขาด้วย? ช่างเถอะ วันนี้เป็นเกิดของเขา เธอจะเชื่อฟังเขาสักครั้ง
กู้จื่อเฟยไม่พูดอะไรมากอีก เธอเดินไปนั่งลงที่โซฟาข้างๆ กู้หรง ถัดไปไม่ไกลนั้นก็คือป่ายฉีที่นั่งอยู่
ขณะที่เธอนั่งลง ชายหนุ่มทั้งสามในที่นั้นก็เธออย่างมีความนัย
โห้หลีเฉินมองพินิจด้วยท่าทางที่ซับซ้อน บนใบหน้าหล่อเหลาไม่มีอารมณ์มากนักดังเคย
แต่สีหน้าของเย้นโม่หลินกลับหม่นมืดลงเล็กน้อย ราวกับกำลังอดกลั้นไฟโทสะที่อธิบายไม่ได้
ส่วนป่ายฉีนั้น มองไปทางกู้หรงที มองไปที่กู้จื่อเฟยที ด้วยสายตาแปลกประหลาด เหมือนจะสังเกตและตั้งคำถาม
กู้จื่อเฟยตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ระหว่างที่เธอยังไม่มา มันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า? ผู้ชายทั้งสามคนนี้ต่างมีท่าทางไม่ค่อยปกติ
ในตอนนั้นเอง กู้หรงก็ยิ้มอย่างเป็นกันเองแล้วพูดกับกู้จื่อเฟย
“จื่อเฟย ลูกแนะนำพวกเขาให้พ่อรู้จักสักหน่อยสิ”
แนะนำ?
กู้จื่อเฟยประหลาดใจ เมื่อครู่พวกเขาก็นั่งอยู่ด้วยกันแล้วนี่นา ยังไม่ได้แนะนำตัวให้กันเลยงั้นเหรอ?
นั่นก็น่าเหลือเชื่อเกินไป พวกเขาทั้งหมดจะนั่งมองตากันเฉยๆ งั้นเหรอ?
เย้นหว่านเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน เธอมองโห้หลีเฉินแล้วมองกู้จื่อเฟยอีกที ทั้งสองต่างก็มึนงงกันหมด
กู้จื่อเฟยไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อถูกพ่อของตัวเองจ้องด้วยแววตาเป็นประกายจึงได้แต่เอ่ยออกไป
“คนนี้คือโห้หลีเฉิน ซึ่งคุณโห้ก็เป็นคู่หมั้นของเสี่ยวหว่านด้วย”
กู้หรงพยักหน้าให้กับโห้หลีเฉินอย่างสุภาพ
โห้หลีเฉินไร้ความเปลี่ยนแปลงในสีหน้า แต่ท่าทีที่ดูนิ่งสงบนั้นกลับกำลังตรวจสอบกู้หรงอย่างละเอียด เหมือนกับจะมองทะลุจุดมุ่งหมายของเขา
เหตุที่พวกเขาลงมาชั้นล่างนั้น ก็เพราะได้พบกับกู้หรงที่เชิญพวกเขาลงไปนั่งข้างล่างกันก่อนอย่างกระตือรือร้น
แน่นอนว่าต่างก็ได้แนะนำตัวกันไปแล้ว
แต่ตอนนี้กู้หรงกลับต้องการให้กู้จื่อเฟยแนะนำให้ใหม่อีกครั้ง มีจุดประสงค์อะไรกัน?
เมื่อแนะนำโห้หลีเฉินเสร็จแล้ว กู้จื่อเฟยก็มองไปยังเย้นโม่หลินด้วยแววตาสั่นไหวและค่อนข้างเป็นกังวล
ร่างกายของเธออดกริ่งเกรงเล็กน้อยไม่ได้ เอ่ย “คนนี้คือเย้นโม่หลิน คุณชายเย้นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเสี่ยวหว่านค่ะ”
กู้หรงเองก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
เย้นโม่หลินที่มักจะพูดน้อยอยู่แล้ว ใบหน้าตายด้านนั้นเพียงแค่พยักหน้าตอบเท่านั้น
กู้จื่อเฟยได้แต่เลื่อนสายตาต่อไปยังป่ายฉีที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คนนี้คือป่ายฉี เป็นเพื่อนของเสี่ยวหว่าน”
แต่ในครั้งนี้ กู้หรงกลับไม่รีบพยักหน้าให้ป่ายให้ แต่มองไปยังกู้จื่อเฟยแล้วเอ่ยถาม
“จบแล้วเหรอ?”
กู้จื่อเฟยงงงวย “จบแล้วสิคะ ยังมีอะไรอีกล่ะ?”
กู้หรงไม่ค่อยพอใจนัก “พี่น้องของป่ายฉีทำอะไรกันบ้าง พวกลูกรู้จักกันได้ยังไง ลูกยังไม่ได้พูดเลยนะ”
กู้จื่อเฟยตะลึงงัน นั่นก็จำเป็นต้องพูดด้วยเหรอ?
เมื่อมองไปยังท่าทางกระตือรือร้นและจริงจังของพ่อตัวเองกู้จื่อเฟยก็หมดคำจะพูด แล้วพูดอย่างขอไปที
“เขาเป็นหมอค่ะ ฉันกับเขารู้จักกันเพราะเสี่ยวหว่านก็เท่านั้นเอง ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้….” สนิท
ยังไม่ทำทันได้พูดจบ กู้หรงก็มองไปที่ป่ายฉีอย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ย
“หมอเหรอดีสิ ดีเลย ช่วยชีวิตและรักษาการบาดเจ็บ น้ำใจงดงาม เป็นเด็กหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง”
ทุกคน “…..”
ไม่ใช่หมอประเภทที่ช่วยชีวิตคนใกล้ตายและดูแลรักษาคนที่บาดเจ็บตามโรงพยาบาลทั่วไป เขาเป็นพวกที่ลงมีดเพียงพริบตาก็ส่งคนไปเฝ้ายมบาลได้แล้วต่างหาก
บนใบหน้าของป่ายฉีแย้มยิ้มอย่างไม่ลืมมารยาท
“ท่านลุงชมเกินไปแล้ว นั่นเป็นเพียงงานของอาชีพผมเท่านั้นเองครับ”