สัญญาร้ายของประธานปีศาจ - ตอนที่ 219
ตอนที่ 219 ทำให้ผู้ชายหลงเสน่ห์ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง
มองดูสีหน้านี้ของเจียงหวั่นหวั่น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รีบลุกยืนขึ้นในทันที “เป็นอะไรไป?”
เจียงหวั่นหวั่นก้าวขาเดินเข้ามา ใบหน้าเล็กๆรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจนแดงก่ำ คิ้วขมวดเข้าหากัน มือนึงดึงแขนของไป๋เสว่เอ๋อร์มากอดไว้ข้างในอ้อมแขนในทันที “ฉันถูกคนใส่ร้าย…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ในน้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความสะอึกสะอื้น จากนั้นน้ำตาก็ทะลักออกมาไม่ยอมหยุด
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ รีบหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ ดึงเธอมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยปากถามขึ้นว่า “ทำไมถึงร้องไห้? เกิดอะไรขึ้นหวั่นหวั่น เธอพูดดีๆ…”
“แผนกของเรามีเพื่อนร่วมงานหญิงคนนึงชื่อว่าเฝิงเช่น ช่วงนี้เธอซื้อกำไลข้อมือรุ่นลิมิเต็ดมาชุดหนึ่ง เมื่อวานอยู่ๆก็หาไม่เจอ ทั่วทั้งห้องทำงานต่างก็ช่วยเธอหาก็หาไม่เจอ วันนี้ตอนที่กำลังจัดเอกสาร มีคนเห็นว่าในแฟ้มเอกสารของฉันมีกำไลข้อมือชุดนึงอยู่ ก็เรียกเฝิงเช่นมา แล้วก็เป็นชุดนั้นที่เธอทำหายจริงๆ เธอก็เลยคิดว่าเป็นฉันที่ขโมยกำไลข้อมือเส้นนั้น ด่าฉันยกใหญ่ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานทั้งหมด…ตอนนี้เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างคิดว่าฉันเป็นขโมย ต่างไม่สนใจฉันแล้ว…”
เจียงหวั่นหวั่นร้องไห้จนกระหืดกระหอบหายใจไม่ทัน จะให้น่าสงสารมากแค่ไหนก็น่าสงสารมากเท่านั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นท่าทีเช่นนี้ของเธอ ก็รู้สึกสงสารจับใจ รีบเอ่ยปากโน้มน้าวขึ้นมาในทันที “เอาล่ะหวั่นหวั่น เธอหยุดร้องไห้ก่อน ฉันลองคิดหาวิธี ดูว่าจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอได้หรือเปล่า”
ดวงตาทั้งสองข้างของเจียงหวั่นหวั่นบวมแดง เอ่ยขึ้นต่อไปว่า “ปกติเฝิงเช่นก็ไม่ชอบน้ำหน้าฉัน คราวก่อนยื่นเรื่องรายงานบิลๆหนึ่ง เดิมทีเป็นพวกเราสองคนเจรจากันมาได้ สุดท้ายตอนที่ขึ้นรายงานเธอก็รายงานเพียงแค่ชื่อของตนเอง ยังมีเรื่องเล็กๆอย่างอื่นอีกมากมาย ฉันก็รู้สึกแล้วว่าเธอไม่ชอบฉัน ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เธอจะต้องยิ่งเพิ่มความได้ทีขี่แพะไล่อย่างแน่นอน ทำยังไงดีล่ะเสว่เอ๋อร์…”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น เรื่องนี้ไม่ว่าเธอจะคิดอย่างไรก็ดูเหมือนเฝิงเช่นคนนั้นจงใจที่จะทำให้เจียงหวั่นหวั่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ต้องการจะถือโอกาสใส่ร้ายกลั่นแกล้งเธอ
ในเวลาปกติความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ไม่ค่อยจะดีนัก เฝิงเช่นยังมักจะรังแกเธออยู่บ่อยๆ กำไลข้อมือสูญหายในคราวนี้ ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องที่เฝิงเช่นจงใจสร้างขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายเจียงหวั่นหวั่น
“หวั่นหวั่น ไม่ต้องร้องไห้แล้ว” ไป๋เสว่เอ๋อร์ยื่นมือออกไปตบหลังเจียงหวั่นหวั่นเบาๆ แล้วเอ่ยปากพูดปลอบใจว่า “ฉันไปถามสถานการณ์เป็นเพื่อนเธอ หากพวกเขาจงใจรังแกเธอ ฉันจะไม่ใช่ว่าไม่สนใจอย่างแน่นอน”
พอเจียงหวั่นหวั่นได้ฟังเธอพูดเช่นนี้ ก็รีบพยักหน้าในทันที “เสว่เอ๋อร์ ในบริษัทนี้ฉันก็มีเธอเป็นเพื่อนแค่คนเดียว เธอไม่ช่วยฉัน ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของเธอ “เอาล่ะ ฉันไปเป็นเพื่อนเธอสักรอบ”
พวกเธอมาถึงยังโซนทำงานของฝ่ายการตลาด มีผู้หญิงวัยรุ่นสองสามคนกำลังสุมหัวกันพูดอะไรบางอย่างอยู่ คนหนึ่งในนั้นมองเห็นเจียงหวั่นหวั่น สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที ส่งสัญญาณให้พวกที่เหลือหันหน้ามา
ผู้หญิงหนึ่งในนั้นที่รูปร่างสูงโปร่งหันหน้ากลับมา พอเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆเจียงหวั่นหวั่น สีหน้าก็อึมครึมลงไปในทันที นัยน์ตาปรากฏความเย็นชาในแบบเย้ยหยันออกมา
สองมือของเธอกอดอยู่บนหน้าอก ก้าวขาเดินเข้ามาในทันที เอ่ยถามด้วยเสียงหัวเราะที่ประชดประชันว่า “ฉันก็ว่าอยู่หายไปไหน ที่แท้ไปหากำลังเสริมมาช่วยนี่เอง!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้น กวาดตามองไปยังกำไลคาร์เทียร์รุ่นลิมิเต็ดที่อยู่บนข้อมือของหญิงสาว ในใจก็รู้ขึ้นมาทันทีว่า เธอคงจะเป็นเฝิงเช่นที่เจียงหวั่นหวั่นว่า
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก้าวขาขึ้นไปเล็กน้อย ส่งยิ้มให้กับเฝิงเช่น แล้วเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ฉันเป็นเพื่อนของหวั่นหวั่น อยากจะมาสอบถามเรื่องราวสักหน่อย ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมงานแผนกเดียวกัน ไม่มีความจำเป็นที่จะมีเรื่องจนไม่สบายใจกันขึ้นมาเพราะว่าเรื่องเล็กน้อย”
“เรื่องเล็กน้อย?” เฝิงเช่นหัวเราะส่งเสียงออกมาอย่างประชดประชัน สายตาดูหมิ่น “คุณเลขาไป๋ คุณพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกมั้งคะ อะไรที่เรียกว่าเรื่องเล็กน้อย ขโมยกำไลที่มีมูลค่าหลายหมื่นเรียกว่าเรื่องเล็กน้อย?”
เห็นท่าทีที่เด็ดขาดของเฝิงเช่น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามย้อนกลับว่า “คุณแน่ใจได้ยังไงว่ากำไลข้อมือคือหวั่นหวั่นที่เป็นคนขโมยไป?”
เฝิงเช่นอุทานออกมาอย่างประชดประชัน “ก็อาศัยว่ามีเพื่อนร่วมงานเห็นกำไลของฉันอยู่ที่เขา พยานหลักฐานก็อยู่ครบ หรือว่าเขายังจะสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้?”
เจียงหวั่นหวั่นได้ยินเฝิงเช่นพูดเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นในทันที “ฉันไม่รู้จริงๆว่ากำไลข้อมือนั่นมาอยู่ในแฟ้มเอกสารของฉันได้ยังไง”
“หรือกำไลข้อมือจะมีขาวิ่งไปหาเธอที่นั่นหรอ?” เฝิงเช่นชำเลืองมองไป๋เสว่เอ๋อร์แวบหนึ่งอย่างเหยียดหยามพลางเอ่ย “คิดว่าลากคนสนิทของประธานเผยเข้ามาก็จะสามารถเป็นแบ็คอัพให้กับตัวเองได้? น่าขำ!”
เจียงหวั่นหวั่นได้ยินคำที่เฝิงเช่นพูดไม่น่าฟังมากขึ้นเรื่อยๆ ยังโยงไปถึงไป๋เสว่เอ๋อร์ สีหน้าของเธอก็แดงก่ำ ดึงเสียงให้สูงขึ้นมาอย่างรุนแรง “เฝิงเช่น เธอรังแกฉันก็พอแล้ว!อย่าไปว่าคนอื่น!”
“ฉันว่าเขาแล้วจะทำไม?” เฝิงเช่นพิจารณาไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างแม่นยำมาโดยตลอดว่ามีท่าทีที่น่ารังแก พอคิดถึงว่าเพื่อนร่วมงานข้างกายทั้งหมดต่างก็เป็นแบ็คอัพให้กับเธอ เธอก็ไม่มีความกังวลและหวาดกลัวแล้ว “ในบริษัทใครไม่รู้ว่าเขาปีนขึ้นเตียงของประธานเผยยังไง ทำให้ผู้ชายหลงเสน่ห์ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ช่างทำให้คนไม่นับถือไม่ได้จริงๆ!”
พอเฝิงเช่นพูดขนาดนี้ เพื่อนร่วมงานผู้หญิงสองสามคนที่ยืนอยู่ด้านข้างของเธอต่างก็เอามือปิดปากขำ สายตาที่มองยังไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ยิ่งเพิ่มความเย้ยหยันอย่างปกปิดเอาไว้ไม่อยู่
ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้ามาที่นี่เดิมทีคิดอยากจะแก้ไขปัญหาดีๆ คิดไม่ถึงว่าเฝิงเช่นจะพูดจาไม่น่าฟังขนาดนั้น เธอกำลังจะเอ่ยปาก แต่ใครจะรู้ว่าด้านข้างอยู่ๆก็สะท้อนเงาร่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามด้วยความโมโหของเจียงหวั่นหวั่น “เฝิงเช่นเธอว่าใครกัน!เธอสิถึงจะทำให้ผู้ชายหลงเสน่ห์!”
ไป๋เสว่เอ่อร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ เพิ่งจะเห็นได้ชัดว่าเป็นเจียงหวั่นหวั่นที่กระโจนเข้าไป เธอจับผมของเฝิงเช่นเอาไว้ ดึงกระชากอย่างเอาเป็นเอาตาย เฝิงเช่นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และยื่นมือออกไปกระชากผมของเจียงหวั่นหวั่นอย่างไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตัวเองด้อยกว่า
“เจียงหวั่นหวั่น!เธอบ้าไปแล้วหรอ!ปล่อยมือ!”
เดิมทีผู้หญิงสองสามคนที่อยู่ข้างๆก็คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยเฝิงเช่น ทว่าด้านข้างดังสะท้อนน้ำเสียงที่เยือกเย็นขึ้นมา “พวกเธอห้ามขยับ!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก้าวขาเข้าไปข้างหน้า สีหน้าเคร่งขรึมและมืดมนจนน่ากลัว เธอยื่นมือออกไป พยายามแยกเจียงหวั่นหวั่นและเฝิงเช่นออกจากกัน
ทั้งสองคนแต่เดิมก็สะสมความโกรธแค้นกันมานาน ตอนนี้มีจุดให้ระเบิด ความขัดแย้งและการต่อสู้ต่างก็ถือโอกาสระบายออกมา ใครก็ไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ
“เจียงหวั่นหวั่นฉันไม่จบกับเธอแน่!”
เฝิงเช่นตะโกนเสียงดัง มือกดอยู่บนลำคอของเจียงหวั่นหวั่น เล็บยาวออกแรงขึ้น จิกเข้าไปบนเนื้อในทันที
เจียงหวั่นหวั่นก็ไม่ยอมปล่อยมือ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปที่เฝิงเช่น ออกแรงกระชากผมของเธอ “ใครให้เธอว่าเสว่เอ๋อร์!เธอน่ะหรอที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา!เธอนั่นแหละที่ง่าย!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นว่าแยกทั้งสองคนออกจากกันไม่ได้ สายตามองเห็นเฝิงเช่นที่จิกบนบริเวณลำคอของเจียงหวั่นหวั่นจนเกิดรอยแดง เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือออกไปผลักเฝิงเช่นออกอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยในทันที
เฝิงเช่นเซถอยหลังไปสองสามก้าว ถูกกลุ่มเพื่อนซี้ประคองเอาไว้ ถึงยืนได้อย่างมั่นคง เธอหันหน้าไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์อีกครั้ง สีหน้าได้เปลี่ยนไปแล้ว เอ่ยปากขึ้นอย่างโมโหจนถึงขีดสุดว่า “เธอ!คิดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าผลักฉัน!”
กลัวว่าเจียงหวั่นหวั่นจะกระโจนเข้าไปตบตีกับเฝิงเช่นขึ้นมาอีกครั้ง ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงรีบดึงแขนของเจียงหวั่นหวั่นเอาไว้ ขวางไปที่ด้านหน้าของเธอ แล้วเอ่ยปากพูดกับเฝิงเช่นว่า “ฉันผลักเธอแล้วจะทำไม!หรือจะต้องมองดูพวกเธอตบตีกันจนเลือดออกหัวแตกหรอ!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ท่าทีที่ซื่อตรงไม่เข้าข้างใครแผ่ขยายออกมา กลับทำให้คนที่อยู่รอบด้านตกใจด้วยซ้ำ
เธอก้าวขึ้นไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องตรงไปที่เฝิงเช่นพลางเอ่ย “ในเมื่อเธอยืนยันอย่างมั่นใจว่าหวั่นหวั่นเป็นคนขโมยกำไล ตอนนี้ไม่มีหนทางที่จะพิสูจน์ได้ งั้นพวกเราก็เอาไปที่หน่วยงานพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจสอบรอยนิ้วมือ ดูว่าบนกำไลข้อมือหลงเหลือรอยนิ้วมือของใครเอาไว้กันแน่!หากตรวจสอบออกมามีรอยนิ้วมือของหวั่นหวั่น พวกเราจะขอโทษเธอ ลาออกไปด้วยตัวเอง!หากไม่มี ขอให้เธอขอโทษ!และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบทั้งหมด!”
คำพูดนี้ของไป๋เสว่เอ๋อร์ ทำให้เฝิงเช่นนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ด้านข้างมีเพื่อนร่วมงานที่ไม่รู้เรื่องราวมุงดูด้วยความสนุกทยอยกันพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย “นั่นสิ!เอาไปทำการพิสูจน์ก็ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องแล้วหรอ!”
พอดีกับกำไลที่สวมอยู่บนข้อมือของเฝิงเช่นเป็นแบบกว้าง หลงเหลือรอยนิ้วมือได้ง่ายที่สุด
และนัยน์ตาของเฝิงเช่นก็สะท้อนความตื่นตระหนกออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า “ทำการพิสูจน์อะไรกัน!มีพยานหลักฐานพิสูจน์แล้ว ยังจำเป็นต้องทำการพิสูจน์อีกหรอ?