สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 10 ตีคน
หลังจากเซียวลิ่วหลังเข้าสนามสอบไป กู้เจียวก็แบกตะกร้าขึ้นหลังเดินออกมา
นางจะไปตลาดเพื่อนำเห็ดป่าและเห็ดหูหนูที่ผึ่งแดดจนแห้งดีในตะกร้าไปขาย
พร้อมทั้งทำธุระเรื่องอื่นด้วย
ชื่อเสียงของสำนักบัณฑิตเทียนเซียงโด่งดัง มีคนมาเข้าสอบไม่น้อย มีทั้งคนในพื้นที่
และคนต่างถิ่นอย่างเซียวลิ่วหลัง
ในมือของผู้เข้าสอบทุกคนมีหนังสือแนะนำจากสำนักที่ตนสังกัดมีทั้งชุนเสวีย
เซี่ยนเสวียหรือไม่ก็ฝู่เสวีย ก่อนจะแยกย้ายเข้าสนามสอบตามระดับของตนเอง
เพราะระดับแตกต่างดัน เซียวลิ่วหลังและกู้ต้าซุ่นจึงถูกเกณฑ์เข้าคนละสนามสอบ
เซียวลิ่วหลังอยู่แถวสุดท้าย
เกณฑ์การคัดเลือกของสำนักบัณฑิตเทียนเซียวสูงนัก ผู้ที่มาร่ำเรียนอย่างน้อยก็เป็นซิ่วไฉกันทั้งนั้น หลายปีมานี้กว่าจะสอบได้เป็นซิ่วไฉมิใช่เรื่องง่าย คนสอบผ่านตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีอย่าง
กู้ต้าซุ่นนั้นมีน้อยนัก
เซียวลิ่วหลังที่เพิ่งอายุได้สิบเก้าปี จึงเป็นผู้เข้าสอบที่อายุน้อยที่สุดในสนาม
ทั้งยังเป็นคนที่หน้าตาหล่อเหลาที่สุดคนหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่ขาพิการ
ผู้เข้าสอบมองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด ทว่ามองได้ไม่นานก็ก้มหน้าก้มตาเขียนข้อสอบต่อ
ภาคเช้าสอบโคลงกลอน ภาคบ่ายสอบคัมภีร์จิงอี้
เหล่าผู้เข้าสอบที่มายังที่แห่งนี้ฝึกฝนกันจนน้ำหมึกเต็มท้อง การแต่งกาพย์กลอนกันสดๆ
กลางสนามสอบไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา ที่ยากยิ่งกว่าคือคัมภีร์จิงอี้ช่วงบ่าย
คำถามของคัมภีร์จิงอี้ล้วนประมวลมาจากเนื้อความในตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้า
และกำหนดให้ผู้เข้าสอบต้องตอบด้วยร้อยแก้วแปดขาปากู่เหวิน
ร้อยแก้วแปดขาปากู่เหวินประกอบแปดส่วน ได้แก่ เปิดประเด็น รับประเด็น เข้าประเด็น ขาต้น ขากลาง ขาท้าย และขาขมวด ห้ามใช้การอนุมานเปรียบ ต้องใช้คำดั้งเดิมของปราชญ์ผู้ประพันธ์
และต้องอ้างอิงมาจากสำนักเฉิงจูเท่านั้น สร้างข้อจำกัดให้กับผู้เข้าสอบเป็นอย่างมาก
บวกกับคำถามครั้งนี้ช่างยากเหลือเกิน หลังจากสอบมาทั้งวัน ใบหน้าของผู้เข้าสอบก็แทบจะเขียวคล้ำกันหมด
ยามเซียวลิ่วหลังเดินออกมา สหายก็มายืนรออยู่หน้าสนามสอบได้ครึ่งชั่วยามแล้ว
“ลิ่วหลัง! ทางนี้” เขาโบกมือให้เซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังสาวไม้เท้าเดินไปหา
สหายเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินคนมากมายบ่นกันว่าข้อสอบคัมภีร์จิงอี้ออกได้โหดเหี้ยมนัก
โถ พวกท่านช่างโชคร้ายจริงเชียว คราวนี้ท่านเจ้าสำนักเป็นคนออกข้อสอบเอง หากคราวก่อนท่านไม่เกิดเรื่อง แล้วสอบพร้อมกับข้า ก็ไม่ต้องลำบากแบบนี้… ต้องโทษหญิงชั่วนั่น!”
เซียวลิ่วหลังเหลือบมองเขา คิ้วขมวดเป็นปม
สหายเอ่ยต่อ “ใช่แล้ว หลายวันมานี้นางไม่ได้รังแกท่านใช่หรือไม่ ข้าละกังวลเหลือเกินว่าวันนี้ท่านจะไม่มาอีกแล้ว”
ความจริง…ก็เกือบจะไม่ได้มาแล้ว
เซียวลิ่วหลังนิ่งไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นไม่รู้ว่าเพราะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นพลางทอดสายตามองออกไปข้างหน้า
ยามเพิ่งสอบเสร็จเช่นนี้ ถนนหน้าสำนักบัณฑิตจึงมีผู้คนเดินขวักไขว่ดั่งสายน้ำที่ไหลอย่าง
ไม่หยุดหย่อน
ร่างผอมบางแบกตะกร้าไว้บนหลังปรากฏขึ้น สองมือคล้องกันกอดอกพิงกำแพง
ท่าทางดูไม่สบอารมณ์นัก
รอบกายมีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา แต่เพราะใบหน้าของนางนั้นชวนให้สายตาหลายหลากมองมา ทว่านางกลับไม่สนใจ ไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด ไม่เก้อเขิน หรือแม้แต่จะน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด
ไม่นานสหายผู้นั้นก็เห็นกู้เจียว เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันในทันใด “เอ๊ะ! นางมาที่นี่ได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่ามาก่อความวุ่นวายให้ท่านหรอกนะ! ท่านบอกข้ามาตามตรง วันนี้ท่านหนีออกมาจากบ้าน
ใช่หรือไม่”
อันที่จริงเซียวลิ่วหลังก็ไม่แน่ใจนักว่ากู้เจียวมาหาเขาหรือเปล่า รู้เพียงแค่ว่าท่าทางของนางในตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังรอใครสักคนอยู่…
คงเป็นเพราะผู้เข้าสอบเริ่มออกมากันเยอะแล้ว กู้เจียวจึงเริ่มตั้งสติจดจ่อขึ้นมา
กู้เจียวเหลียวมองมา ท่ามกลางฝูงชนมากมาย พริบตาเดียวก็มองเห็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา
โดดเด่น
นางยิ้มบาง พลางเดินมาหาเซียวลิ่วหลัง
“สอบเสร็จแล้วหรือ” นางถาม
“ใช่” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “รอนานแล้วหรือ”
“ก็ไม่นานหรอก” กู้เจียวบิดหูตัวเองไปมาพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เจ้าไปตลาดไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่กลับบ้าน” เซียวลิ่วหลังเห็นเห็ดหูหนูและเห็ดป่าในตะกร้า
บนหลังของนาง จึงรู้ว่านางต้องไปตลาดมาเป็นแน่ แต่ยามบ่ายเช่นนี้ตลาดคงวายแล้ว
“เผอิญมีธุระแถวนี้นิดหน่อย” นางตอบ
“อย่างเจ้ามีธุระกับเขาด้วยหรือ” สหายกลอกตามองบน
ทว่าคำพูดของกู้เจียวกลับเตือนสติเขาขึ้นมา
วันนี้เขาเลิกเรียนเร็วจึงแวะไปที่โรงหมอ และพบว่าวันนี้หมอจางออกตรวจ
ทั้งยังช่วยชีวิตคนใกล้ตายไว้คนหนึ่งด้วย
“แน่ใจหรือว่าเป็นหมอจาง” เซียวลิ่วหลังตกใจเล็กน้อย
เหตุวุ่นวายในโรงหมอเมื่อคราวก่อน หมอจางเองก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ที่ความจริงแล้วคนที่รักษาคนป่วยแล้วตายนั้นไม่ใช่หมอจาง เขาเพียงแค่โดนลูกหลงได้ด้วย
ทว่าหมอจางนั้นก็โมโหไม่น้อย ถึงกลับเอ่ยสถบขึ้นว่าชาตินี้จะไม่มาเหยียบที่นี่อีก
สหายเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “แน่นอน! ข้าเห็นกับตาว่าคนผู้นั้นถูกห้ามเข้าไป เลือดท่วมทั้งกาย คอพับไปแล้ว ไม่มีลมหายใจ นอกจากหมอจางที่มาจากเมืองหลวงแล้ว จะมีใครช่วยเขาได้อีก”
กู้เจียวมองมดน้อยบนพื้นเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
สหายเจื้อยแจ้วต่อ “เป็นถึงขนาดนั้นหมอจางยังรักษาให้ฟื้นขึ้นมาได้ ขาของท่าน เขาก็ย่อมรักษาให้หายได้แน่นอน เรื่องพวกนี้ท่านไม่ต้องกังวล หมอจางออกตรวจเมื่อไหร่ข้าจะไปถามไถ่เอง”
“เจ้าจะไปเมื่อใด” กู้เจียวโพล่งถามขึ้นมา
สหายมองนางอย่างเหยียดหยาม “เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
กู้เจียว “…”
มื้อเย็นวันนี้จบลงที่ตัวอำเภอ สหายรบเร้าจะพาเซียวลิ่วหลังไปชิมบะหมี่หยางชุนใกล้กับสำนักบัณฑิตให้ได้ ทั้งยังบอกว่ารสชาติเหมือนที่บ้านเกิดไม่มีผิด
หลังจากกินข้าวเสร็จ เซียวลิ่วหลังและกู้เจียวก็นั่งเกวียนกลับมาถึงหมู่บ้าน คราวนี้เซียวลิ่วหลังกำชับว่าต้องการรถที่มีห้องโดยสาร
ม่านราตรีโรยตัวลงมา ภายในตัวรถไม่มีตะเกียงน้ำมัน ทว่ามีแสงจันทร์สว่างจ้าลอดผ่านเข้ามา
กู้เจียวนั่งตรงข้ามกับเซียวลิ่วหลัง ท่อนขาเล็กสองข้าเหยียดยาว กระดกปลายเท้าเล่นไปมา
นางซื้อรองเท้าใหม่
ไม่ใช่รองเท้าปักลายดอกไม้ราคาแพง แต่เป็นเพียงรองเท้าผ้าราคาถูกแสนธรรมดา
หน้ารองเท้าสีดำสนิท ไม่มีสีสันแต่งแต้ม ทว่ากลับงามยิ่งนักยามอยู่บนเท้าของนาง
ท่าทางของนางยามแกว่งเท้าเล่นไปมานั้นช่างแสนน่าเอ็นดู แววตาเปล่งประกายราวกับหมู่ดาว
เกวียนจอดลงที่หน้าหมู่บ้านเหมือนเคย
หลังจากทั้งสองลงจากรถ กู้เจียวก็เดินตามหลังเขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเช่นเคย
เรื่องที่กู้เจียวฉีกหน้ากู้ต้าซุ่นเพื่อเซียวลิ่วหลังแพร่ไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เซวียหนิงเซียงตั้งใจออกมายืนคอยหน้าบ้าน ก็เห็นทั้งสองเดินตามกันท่ามกลางราตรีอย่างที่คิดไว้
หรือว่าคราวก่อนนางจะไม่ได้ตาฝาดไป
ทั้งสองคนญาติดีต่อกันแล้วหรือ
“นางบ้ากู้!”
เสียงนั้นทำลายความเงียบสงัด เซวียหนิงเซียวหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน
กู้เจียวและเซียวลิ่วหลังหยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูบ้านของตัวเอง ก่อนจะหันไปเห็นเด็กหนุ่ม
ที่กำลังย่ามสามขุมเข้ามาหาพวกเขา นั่นคือหลานชายคนรองของตระกูลกู้ กู้เอ้อซุ่น
กู้เอ้อซุ่นและกู้เสี่ยวซุ่นเป็นลูกชายของแม่นางหลิว ทว่าเขานั้นสนิทสนมกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องอย่างกู้ต้าซุ่นมากกว่าพี่น้องท้องเดียวกัน
กู้เจียวกวาดตามองด้วยสีหน้านิ่งเรียบก่อนจะเบนสายตากลับมา นางสะเดาะกลอนประตูก่อนจะเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับเซียวลิ่วหลัง
กู้เอ้อซุ่นเดินจ้ำเข้ามา เท้าสะเอวยืนอยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด
“นางบ้ากู้ เจ้าคิดว่าตนเองใหญ่คับฟ้าหรือไร กล้าดีอย่างไรถึงได้ทำกับพี่ใหญ่เช่นนั้น! เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเกือบทำให้พี่ใหญ่เข้าสอบสาย! แถมยังหักหน้าพี่ใหญ่ต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านอีก!”
อย่าไปฟัง อย่าไปฟัง คนบ้าพูดพล่าม
กู้เจียวก้าวข้ามธรณีประตูแล้วงับประตูลง
กู้เอ้อซุ่นเห็นว่านางไม่แยแสตนก็ยิ่งเดือดดาล เท้าข้างหนึ่งก้าวข้ามประตูเข้ามา มืออีกข้างหนึ่งก็ยันบานประตูไว้ “เจ้ากล้าหรือ ท่านปู่ให้ข้ามาตามตัวเจ้า! เจ้ารีบไปโขกหัวสารภาพผิดกับท่านปู่เดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
กู้เจียวยกมือขึ้นทึ้งใบหูของตัวเองอย่างงุ่นง่าน
น่ารำคาญชะมัด
“ได้ยินหรือไม่ หากวันนี้ไม่จัดการเรื่องนี้ให้จบ อย่าหวังว่าเจ้าจะได้…”
เขายังพูดไม่ทันจบ
กู้เจียวก็ยกเท้าขึ้นถีบเขาจนลอยกระเด็นออกไป!