สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 12 รักษา
ตั้งแต่ไม่ได้ท่องราตรี ทุกวันนี้กู้เจียวตื่นเช้าเสียยิ่งกว่าไก่
ฟ้ายังไม่ทันสาง เธอก็คว้าถังน้ำเดินออกมาจากบ้านมาแล้ว
เธอเดินมาถึงบ่อน้ำเก่าของหมู่บ้านเพื่อตักน้ำ
เหล่าชาวบ้านเองก็ตื่นแต่เช่า เวลาเดียวกันมีเหล่าป้าและลูกสะใภ้กำลังตักน้ำอยู่ริมบ่าอ
ผู้คนหันมามองด้วยความตื่นตะลึง
เรื่องที่กู้เจียวอาละวาดที่เกวียนวัวในวันนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว ทุกคนรู้ว่านางกระชากกู้ต้าซุ่นลงจากรถ คนบ้าก็คือคนบ้า หากคลุ้มคลั่งขึ้นมา แม้แต่พี่ชายของตัวเองก็ยังทำร้ายได้
แต่ว่า…
นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางถึงตื่นแต่เช้ามาตักน้ำแบบนี้ได้
แต่ไหนแต่ไรมาเด็กบ้าคนนี้ไม่เคยทำการทำงาน ทุกวันนอนหลับกว่าจะตื่นก็ตะวันโด่งแล้ว
กู้เจียวไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองมา เดินนิ่งมายังริมบ่อแล้วใช้ถังตักน้ำ ก่อนจะหาบขึ้นบ่าแล้วเดินกลับไป
จนกระทั่งนางเดินออกไปไกล ทุกคนถึงเพิ่งจะได้สติกลับคืนมา
พวกเขาตาฝาดไปหรือไร เด็กบ้าเมื่อครู่ไม่เหมือนคนบ้าเลยสักนิด แถมท่วงท่าของนางยาม
ตักน้ำก็ช่างงดงาม ยามเยื้องย่างก็น่ามอง
กู้เจียวตักน้ำเสร็จ ก็ลงมือนึ่งซาลาเปาไส้เนื้อเข่งใหญ่
เมี่อวานซื้อเนื้อตากแห้งมาชิ้นหนึ่ง แช่น้ำเอาไว้ก่อนนอนแล้ว รสเค็มที่แฝงอยู่คงเจือจางลงมาก แต่ยังคงสัมผัสรสชาติของเนื้อตากแห้งไว้ได้พอดี
กลิ่นหอมของซาลาเปาไส้เนื้อลอยฟุ้งออกมา จนสุนัขข้างบ้านร้องครางน้ำลายสอ
กู้เจียวห่อซาลาเปาสองลูกขึ้นเขาไป
เห็ดหูหนูถูกเธอเก็บไปแล้วไม่น้อย ส่วนเห็ดป่ายังเหลืออีกมาก
ความจริงแล้วยามชาวบ้านขึ้นเขามาตัดฝืน คงเห็นวัตถุดิบทำอาหารพวกนี้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเก็บไป ประการแรกเพราะแยกไม่ออกว่าเห็ดไหนมีพิษ ประการที่สองเพราะไม่รู้ว่าสามารถล้างพิษของเห็ดหูหนูสดได้
กู้เจียวเก็บเห็ดเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งหน้าตรงไปยังตลาด
ฝั่งตะวันออกของตัวอำเภอเป็นย่านของคนร่ำรวย โรงหมอที่ดีที่สุดและโรงเหล้าที่ดีที่สุดต่างอยู่ที่นี่ ศาลาว่าการและสำนักบัณฑิตเองก็เช่นกัน หากเทียบกันแล้ว ฝั่งตะวันตกวุ่นวายมากกว่านัก
มีทั้งตลาด โรงไม้ บ่อน หอนางโลม …สับสนปนเป อะไรก็มีทั้งนั้น
กู้เจียวมาถึงตลาด ก็หาที่ว่างเพื่อตั้งแผง
หญิงสูงวัยที่อยู่ข้างกันจำเธอได้ จึงส่งยิ้มให้ “เจ้ามาแล้วหรือ เห็ดที่เจ้าเก็บมาเมื่อคราวก่อน
ยังมีหรือไม่ หลานชายคนโตข้าชอบกินนัก แลกกับของข้าสักหน่อยได้ไหม”
หญิงคนนั้นขายมันหวาน ราคาของมันหวานเทียบไม่ได้กับเห็ดบนเขา ทว่ากู้เจียวไม่ได้สนใจ พลางยื่นตะกร้าให้นางเลือกหยิบเอง
หญิงคนนั้นหยิบไปสองกำ พร้อมทั้งหย่อนมันหวานสีแดงสองลูกใหญ่ลงในตะกร้า
ไม่นาน ก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้า…ข้าขอแลกหัวผักกาดกับเจ้าได้หรือไม่ ข้าก็อยากตุ๋นเห็ดให้คนที่บ้านข้าบ้าง”
“ได้จ้ะ” กู้เจียวพยักหน้าโดยไม่ลังเล พร้อมส่งสายตาบอกให้นางหยิบได้ตามสบาย
หญิงชราแลกหัวผักกาดสองหัวใหญ่กับเห็ดสองกำของกู้เจียว
หลังจากนั้นก็มีพ่อค้าแม่ขายอีกหลายเจ้า ที่แห่กันมาแลกพืชผักของตัวเองกับเห็ดของกู้เจียว
ภาพนั้นอยู่ในสายตาของชายสองคนที่นั่งอยู่ในโรงน้ำชาที่ตั้งเยื้องไปฝั่งตรงข้าม
“ผู้ดูแลหวัง นางหรือที่ท่านพูดถึง” คำถามนั้นมาจากชายอายุราวสามสิบปีในชุดเสื้อผ้าหรูหรา ใบหน้าคมเข้ม รูปร่างสูงใหญ่
หนุ่มใหญ่อายุสี่สิบกว่าที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้น “ใช่ขอรับเถ้าแก่รอง นางผู้นี้แล”
เถ้าแก่รองมองกู้เจียวพลางขมวดคิ้ว “ของป่าราคาแพงแบบนั้น เหตุใดถึงยอมให้คนเอาผัก
ราคาถูกมาแลก นางบ้าไปแล้วหรือ แถมยังมีคนเอาของเน่าเสียมาแลก แต่นางก็ไม่ปริปากสักคำ
นางคงบ้าไปแล้วจริงๆ!”
“คือ…” ผู้ดูแลหวังไม่รู้จะตอบเช่นไร
เขากลับคิดว่านางไม่ได้บ้า นางแค่ไม่ใส่ใจ
“เจ้าไม่ได้จำผิดใช่หรือไม่” เถ้าแก่รองถาม
“ตอนที่นางช่วยคนป่วย ข้าก็อยู่ตรงนั้น ข้าเห็นเองกับตาว่านางเย็บแผลทั้งยาวทั้งลึก
ขนาดนั้นเองกับมือ ข้าไม่มีทางจำผิดแน่” ผู้ดูแลหวังเอ่ยพลางยกมือยกไม้ประกอบ
แต่ที่ผู้ดูแลหวังไม่ได้บอกก็คือ ความจริงแล้วเขาเคยพบนางถึงสองครั้ง ครั้งแรกที่ตลาดแห่งนี้ เพราะเหตุนี้เขาถึงได้รู้ว่านางจะต้องมาค้าขายที่นี่
“นางเพิ่งอายุเท่าไหร่กันเชียว” เถ้าแก่รองขมวดคิ้วมุ่น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเชื่อได้ว่านางคือหมอที่ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้
อายุน้อยเกินไป ทั้งยังยากจน แถมบนใบหน้ายังมีปานเช่นนั้นอีก
แต่ผู้ดูแลหลังไม่มีทางหลอกเขา
เหตุอาละวาดที่โรงหมอคราวก่อนสร้างผลกระทบอย่างหนัก นอกจากจะผิดใจกับหมอแล้ว
ยังทำให้โรงหมอใหญ่ในเมืองหลวงไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตำแหน่งเถ้าแก่รองของเขาเริ่มสั่นคลอน
เขาจำเป็นจะต้องรีบหาตัวหมอมาแก้สถานการณ์
เถ้าแก่รองเอ่ย “เจ้าไปถามนางดู เป็นศิษย์อาจารย์ใด ข้ายินดีจ้างอาจารย์ของนางมาประจำที่โรงหมอด้วยเงินก้อนใหญ่”
เด็กอย่างนางคงไม่มีทางเรียนรู้วิชาแพทย์ด้วยตนเองแน่นอน จ้างอาจารย์ของนางย่อมน่าเชื่อถือกว่าจ้างนางอยู่แล้ว
ผู้ดูแลหวังเห็นว่าวิธีการนี้พอจะเป็นไปได้ จึงหันหลังเดินเข้าไปถาม คิดไม่ถึงเลยว่าพอเดินออกไปก้าวเดียว ก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งล้มลงตรงหน้ากับแผงขายไก่พอดี ไก่ในกรงพากันส่งเสียงร้องวิ่งพล่าน
“ไอ้หยา! ไก่ของข้า! ไก่ของข้า!” ชายชราพ่อค้าไก่วิ่งไล่จับไก่ให้วุ่น
โกลาหลวุ่นวายไปหมด
สายตาของผู้ดูแลหวังและเถ้าแก่รองจับจ้องไปที่ชายหนุ่มคนนั้น ก่อนจะตกตะลึงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ชายหนุ่มคนนั้นมีอาการแน่นหน้าอก ผิวหนังเขียวคล้ำ ลมหายใจหอบกระชั้น เหมือนกับอาการของคนใกล้ตายที่โรงหมอของพวกเขาไม่มีผิด ทว่าอาการของเขารุนแรงยิ่งกว่า ทั้งยังเฉียบพลันยิ่งกว่า คนป่วยคนนั้นยังโชคดีที่พยุงอาการมาถึงบ้านได้ แต่ชายหนุ่มคนนี้ไม่นานคงสิ้นลมเป็นแน่
นี่เป็นอาการที่รักษาไม่ได้ แม้หมอจากโรงหมอของพวกเขามาถึงก็คงช่วยเขาไว้ไม่ได้!
ท่ามกลางสถานการณ์อลหม่าน ร่างผอมบางของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชน
คุกเข่าลงตรงหน้าชายหนุ่มผู้นั้น ก่อนจะฉีกเสื้อของเขาออก แล้วใช้ของบางสิ่งทิ่มลงไปตรงกลางอกเขาอย่างแรง
ทุกคนสูดลมเข้าปากด้วยความตกตะลึง!
จะฆ่าคนหรืออย่างไร
วินาทีต่อมากู้เจียวดึงเข็มที่ปักอยู่ออก ลมแผ่วเบาพวยพุ่งออกมา
ผู้คนมากมายเห็นหน้าอกของชายหนุ่มที่แทบจะขาดใจตายไปเมื่อครู่ค่อย ๆ ยุบลง
จังหวะหายใจของเขากลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา
ผู้ดูแลหวังตาพร่าไปหมด “ยัง…ยังจะถามหาอาจารย์ของนางอีกหรือไม่ขอรับ”
“ยังจะต้องถามอีกหรือ!” หากโรงหมอของเขามีหมอแบบนี้ คงไม่มีวันไหนที่คนไข้ตาย
เถ้าแก่รองผลักผู้ดูแลหวังออกให้พ้นทาง เขาลุกยืนขึ้นก่อนจะเดินไปหากู้เจียวด้วยตัวเอง
“เจ้าบอกว่า เจ้าจะให้ข้าไปเป็นหมอที่โรงหมอของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ” ขณะที่ฟังเถ้าแก่รองพูด กู้เจียวก็หันมองไปทางชายหนุ่มคนนั้น
ชายคนนั้นกระดูกซี่โครงหักทำให้ปอดทะลุ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าเยื้อหุ้มปอดมีอากาศอยู่ข้างใน แม้จะเอาลมออกมาจากช่องอกได้แล้ว แต่ก็ต้องรักษาต่อ น่าเสียดายที่พอลมหายใจกลับเป็นปกติแล้วเขาก็วิ่งหนีไป
กู้เจียวเหลียวกลับมา ก่อนจะถามเถ้าแก่รอง “พวกเจ้ามาจากโรงหมอใดกัน”
เถ้าแก่รองเอ่ย “ในอำเภอชิงเฉวียนนี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นโรงหมอก็มีแค่หุยชุนถังของพวกข้า!”
“อ๋อ” นางลูบคาง
เถ้าแก่รองคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตบปากรับคำง่ายๆ เขาเตรียมตั้งรับกับการโก่งค่าตัวของอีกฝ่ายแล้ว ใครจะไปคิดเล่าว่ากู้เจียวจะตอบเพียงแค่อ๋อ “บังเอิญจริงเชียว ข้ากำลังจะไปโรงหมอของพวกเจ้าพอดี ข้าจะทำงานกับหุยชุนถังก็ได้ แต่ข้าขอบอกให้รู้ก่อน ว่าเดือนหนึ่งข้าออกตรวจได้เพียงแค่ครั้งเดียว”
“คะ…ครั้งเดียวอย่างนั้นหรือ” เถ้าแก่รองชะงักไป ไม่สิ นี่เจ้าตกลงแล้วหรือ
จะไม่อิดออดสักหน่อยหรือ โก่งค่าตัว ไม่ได้สิ ครั้งเดียว เดือนหนึ่งนางจะรับรักษาแค่ครั้งเดียวอย่างนั้นหรือ
“ข้ายุ่งมาก” กู้เจียวเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
ยุ่ง…ยุ่งกับการขายผักน่ะหรือ
เถ้าแก่รองมองตะกร้าของนาง มุมปากกระตุกเล็กน้อย
ว่ากันตามตรง ครั้งเดียวนั้นไม่พอสำหรับเขา แต่คนทำมาค้าขาย ต้องรู้จักค่อยเป็นค่อยไป
ให้นางเข้ามาอยู่หุยชุนถังของเขาให้ได้ก่อน วันหน้าหากคนรู้จักมากเข้า ก็ค่อยเจรจาต่อรองก็ได้
เถ้าแก่รองเอ่ย “ได้…ครั้งเดียวก็ครั้งเดียว!”
กู้เจียวมองเขา ราวกลับจากนี้ไปต่างหากที่คือประเด็นสำคัญ “อีกอย่าง ข้ายังมีเงื่อนไขอีกหนึ่งข้อ”
…
หลังจากเฝิงหลินเลิกเรียนก็รีบควบม้ารุดไปยังโรงหมอ
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่โรงหมอคราวนั้น โรงหมอก็แสนเงียบเหงา เหล่าคนงานจัดระเบียบยาอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่โถงใหญ่
“วันนี้หมอจางอยู่หรือไม่” เฝิงหลินเอ่ยถามคนงานคนหนึ่ง
คนงานตอบ “หมอจางกลับเมืองหลวงไปแล้วขอรับ”
“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อใด” เฝิงหลินถามอย่างนอบน้อม
“ไม่แน่ใจขอรับ” คนงานเอ่ย
“เจ้าช่วยถามให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ เพื่อนของข้าขาบาดเจ็บมาครึ่งปีแล้ว มีแต่หมอจางเท่านั้น
ที่รักษาเขาได้” เฝิงหลินพูดต่อไม่ยอมลดละ
คนงานมองเขาอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าบอกท่านตามตรงก็แล้วกัน หมอจางคงไม่มาที่นี่อีกแล้ว หากท่านอยากให้เขารักษา จะไปหาเขาที่หุยชุนถังในเมืองหลวงก็ได้ เพียงแต่ค่ารักษานั้นแพงนัก”
“เท่าใดหรือ” เฝิงหลินถาม
“สิบตำลึง”
“ว่าอย่างไรนะ สิบตำลึง!”
เฝิงหลินชะงักไป ถึงเขาจะรวมเงินกับเซียวลิ่วหลังก็ยังไม่มีมากพอขนาดนั้น