สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 14 ทดแทนบุญคุณ
ในที่สุดกู้เจียวเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาและกู้เสี่ยวซุ่นถึงเข้าขากันขนาดนั้น เพราะพวกเขามีระดับมันสมอง
ที่เท่ากันนี่เอง
วันนี้กับข้าวที่กู้เจียวปรุงคือไก่ป่าตุ๋นเห็ดหอม รสชาติหอมกรุ่นละมุนลิ้นและเนื้อสัมผัสของไก่ป่าที่เด้งดึ๋งสู้ฟัน นางใช้เวลาเคี่ยวตุ๋นอยู่สองชั่วยามจนทุกอย่างเข้าเนื้อ
นอกจากนี้ กู้เจียวยังทำยำเห็ดหูหนูและยำไชเท้าสับไว้ตัดเลี่ยนและเพิ่มความสดชื่น ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ และหมั่นโถวข้าวโพด
แม้เซียวลิ่วหลังจะสอบได้ที่โหล่ กู้เจียวก็มิวายลงทุนเชือดไก่ป่าทำอาหารมื้อโอชะเพื่อเฉลิมฉลองที่เขาสอบเสร็จ เพียงแต่นางไม่ได้เอ่ยออกมาเท่านั้นเอง
“ไปเรียกพี่เขยมากินข้าวเร็ว” นางเอ่ยกับเสี่ยวซุ่นพลางกุลีกุจอยกหมั่นโถวที่เพิ่งนึ่งเสร็จร้อนๆ ออกมาจากเตา
“เอ้อ!” เสี่ยวซุ่นเดินสะบัดก้นออกไป
ขณะเดียวกัน เซียวลิ่วหลังเพิ่งจะเขียนหนังสือเสร็จไปหนึ่งเล่มพอดี
พวกคนเก่งๆ หลังจากที่สอบขุนนางได้ระดับจวี่เหรินกับจิ้นซื่อแล้ว ร้านหนังสือก็มักจะนำบันทึกและตำราเตรียมสอบของพวกเขามาทำสำเนาแล้วแบ่งขายให้พวกคนที่สนใจเข้าสอบต่อ
เซี่ยวลิ่วหลังนับว่าเป็นคนที่มีลายมือสวย ดังนั้นหนังสือของเขาจึงขายดีเป็นพิเศษ
“พี่เขย! กินข้าว!” เสี่ยวซุ่นตะโกนลอดผ่านช่องประตูห้อง
เซียวลิ่วหลังพลันนึกในใจ เกิดมาเป็นคนไม่สนโลกแบบเขานี่ช่างดีจริงๆ ไม่กี่วันก่อนยังไปรังแกคนเขา
จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่เลย พอมาตอนนี้กลับพูดจาฉอเลาะราวกับสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน
เซียวลิ่วหลังยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา เขาไม่ได้รู้สึกประสีประสาอะไรกับท่าทีหน้ามือเป็นหลังมือของ
กู้เสี่ยวซุ่น แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่คิดจะเอาเรื่องในอดีตมาหักหน้าใครอยู่แล้ว
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นกลับรู้สึกว่าตัวเองมีท่าทีสบายๆสบาย กับพี่เขยคนนี้มากขึ้น
ทั้งสามคนนั่งกินข้าวพร้อมกัน
กู้เสี่ยวซุ่นใช้ตะเกียบคีบเข้าไปที่เห็ดหอมชิ้นโต เท่าที่เขาจำความได้ก็คือพี่สาวของเขาไม่ใช่คนที่ทำอาหาร เลยถือว่าครั้งนี้เป็นการชิมฝีมือของนางครั้งแรก ใครจะไปคิดเล่าว่านางจะทำออกมาได้อร่อยเหลือเชื่อขนาดนี้!
เขาคีบชิ้นเนื้อไก่ขึ้นมาแล้วเข้าปาก
คุณพระ!
อร่อยจนน้ำตาแทบไหล!
กู้เจียวฉีกน่องไก่ออกมาแบ่งให้เซียวลิ่วหลังและกู้เสี่ยวซุ่นคนละชิ้น
แม้แต่เนื้อส่วนน่องเองก็ถูกเคี่ยวจนได้รส ทำให้เนื้อไก่มีสัมผัสนุ่มฉ่ำ พอกัดเข้าไปกู้เสี่ยวซุ่นรู้สึกเหมือนราวกับตัวเองกำลังขึ้นสวรรค์
ตัดภาพมาที่เซียวลิ่วหลังที่ยังคงหน้านิ่ง
หากกู้เจียวรู้สักนิดว่าก่อนหน้านี้เซียวลิ่วหลังเป็นคนกินเยอะแค่ไหน ก็คงมีเปลี่ยนความคิดกันบ้างล่ะ
ทั้งสองทานข้าวหมดอย่างรวดเร็ว ขณะที่กู้เสี่ยวซุ่นกำลังจะไปเติมข้าว พลันหันไปเห็นชามข้าวของพี่เขย
ที่ทานหมดแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยถาม “เติมข้าวไหมพี่เขย”
“อืม” เซียวลิ่วหลังไม่ปฏิเสธ
อืมที่ว่านี่ ไม่รู้ว่าพี่เขยผู้นี้ตอบรับน้ำใจของเขา หรือตอบรับที่เรียกพี่เขยว่าพี่เขยกันแน่นะ
แต่กู้เสี่ยวซุ่นก็รีบไปตักข้าวให้ทันที
มื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่กู้เสี่ยวซุ่นรู้สึกอิ่มหมีพีมันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ทั้งรสชาติ ทั้งบรรยากาศบนโต๊ะ
แม้ท่านพี่ทั้งสองจะพูดน้อยไปหน่อยก็ตาม ซึ่งก็แปลว่าเขาได้มีโอกาสพูดยังไงล่ะ! ทุกคนดูกินกันเอร็ดอร่อยเชียวล่ะ!
เมื่อทุกคนอิ่มแล้ว เซี่ยวลิ่วหลังช่วยกู้เจียวเก็บจาน ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นไปผ่าฟืนที่หลังเรือน
พอเดินเข้าไปในห้องครัว จู่ๆ เซียวลิ่วหลังก็ยัดถุงเงินใส่ในกำมือกู้เจียว
นางหันไปหาเขาด้วยสีหน้าสงสัย
“เอาไว้ซื้อข้าวของจำเป็นในเรือน” เขาเอ่ย
เป็นเงินจำนวนสองตำลึงจากเซี่ยวลิ่วหลัง ซึ่งเงินนี้เป็นน้ำพักน้ำแรงหนึ่งเดือนกว่าที่เขาเขียนหนังสือส่งขาย ลำพังเขามีเงินติดตัวเพียงแค่สิบกว่าสลึงทองแดงเท่านั้น ส่วนงานในมือของเขาตอนนี้ก็ใกล้เสร็จแล้ว อีกสักสองวันก็คงเอาไปแลกในเมืองได้
กู้เจียวเลิกคิ้วมองไปที่ถุงเงิน แล้วคว้าเก็บไว้อย่างดี
หลังจากเก็บห้องครัวเสร็จ กู้เจียวกำลังจะเดินออกไปตักน้ำที่ปากทางหมู่บ้าน แต่จู่ๆ กู้เสี่ยวซุ่นเข้ามาคว้าไม้คานหาบ พลางเอ่ย “เจ้าพักเถอะ งานใช้แรงแบบนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
พอคว้ามาได้ เอ่ยจบ แล้วก็เดินออกไปอย่างเร็ว กู้เจียวห้ามแทบไม่ทัน
ตอนนี้คือเวลากินข้าวของทุกเรือน ไม่มีใครออกมาตักน้ำกัน กลายเป็นว่ากู้เสี่ยวซุ่นได้ยึดครองบ่อไป
ขณะที่เขากำลังขะมักเขม้นตักน้ำจากบ่อ จู่ๆ มีบุรุษควบม้าสองนายกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา จากนั้นมาหยุดยืนอยู่ด้านข้าง
บุรุษทั้งสองกระโดดลงจากหลังม้า
เขารู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตจากคนแปลกหน้าทั้งสอง
ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกฝึกกำลังภายในมา ต่อให้เกณฑ์อันธพาลมาทั้งหมู่บ้านอย่างไรก็คงสู้ไม่ไหวแน่นอน
“เจ้าเป็นคนที่นี่รึ” หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
“เอ่อ…ใช่ขอรับ มีเรื่องอันใดรึ” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยถามอย่างลังเล
“พวกเรามาตามหาคนน่ะ!” เอ่ยจบพลางคว้าร่มสภาพผุพังออกมา จากนั้นเอ่ยถามอีกครั้งด้วยเสียงดุดัน “เจ้าเคยพบเจอร่มคันนี้หรือไม่”
ทำไมจะไม่เคยเห็นเล่า ก็นั่นมันร่มของกู้เจียวนี่นา!
กู้เสี่ยวซุ่นเริ่มใจคอไม่ดี
“เจ้าเคยเห็นใช่หรือไม่”หนึ่งในนั้นเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงขู่พลางหรี่ตา
“ข้า…ขะขะข้า…” กู้เสี่ยวซุ่นเริ่มติดอ่าง พลางนึกในใจ นี่นางไปก่อเรื่องอันใดอะไรไว้เนี่ย เหตุใดถึงได้มี่ทาทางคนน่ากลัวๆ แบบนี้มาถามหานาง
“เจ้าหนู” หนึ่งในนั้นจู่ๆ ยื่นแขนกล้ามใหญ่ออกมา เอามือกุมที่หัวไหล่กู้เสี่ยวซุ่น พลางเอ่ย
“เจ้าควรพูดความจริงนะ ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปถามคนอื่น…”
นี่แรงเยอะขนาดนี้เชียวรึ ชนิดที่ว่าร่างครึ่งท่อนของเขาแทบจะขยับไปไหนไม่ได้เลย!
กู้เสี่ยวซุ่นกัดฟันเอ่ย “ของข้าเอง!”
บุรุษร่างใหญ่เมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับตกใจ
ทั้งคู่หันไปสบสายตาราวกับส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
บุรุษที่กุมไหล่กู้เสี่ยวซุ่นอยู่ก็ชักมือกลับ พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน “แน่ใจหรือว่าของเจ้า”
ลำแข้งของกู้เสี่ยวซุ่นจากที่เกร็งนิ่งบัดนี้เริ่มจะระทวย แต่กระนั้นยังคงความฝีปากกล้าแล้วเอ่ยต่อ
“ในเมื่อมันเป็นของข้า ข้าต้องรู้อยู่แล้วสิ บนคันร่มนั่นมีคำว่า ‘เสี่ยว’ สลักไว้อยู่ ข้าสลักมันเองกับมือ”
แน่นอนว่าครั้งนี้เขาพูดจริง เขาเคยสลักคำไว้บนด้ามพัดของนางอีกด้วย ตอนนั้นเขาเขียนเป็นแค่คำว่า ‘เสี่ยว’ ซึ่งตอนนั้นเขาทำไปเพื่อแก้เบื่อฆ่าเวลาเท่านั้น
และแน่นอนอีกว่า บุรุษทั้งสองสังเกตเห็นแล้วว่าคันร่มมีคำสลักอยู่จริง นั่นยิ่งทำให้พวกเขาเชื่อหนักกว่าเดิมว่าร่มนี้เป็นของเขา
“ถ้าเช่นนั้น วันก่อนที่หลังเขา เป็นเจ้าอย่างนั้นรึ”
“ใช่ ข้าเอง!”
“คนที่ใช้เท้าเหยียบทาบลงบนใบหน้าของนายท่าน เป็นเจ้าสินะ”
“…ใช่!”
“รวมถึงแขนของนายท่านด้วย”
“…ใช่! ข้าเอง! ”
“เข็มตรงบั้นท้ายก็ฝีมือเจ้าด้วยรึ”
นี่เขากำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยนชัดๆ แล้วพี่สาวเขา พี่สาวแท้ๆ ของเขา ทำอีท่าไหนถึงได้เอาเข็มไปปักบั้นท้ายคนแบบนั้นกันเล่า
กู้เสี่ยวซุ่นสูดหายใจลึก หลับตา แล้วพ่นคำใส่รัวๆ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ทั้งหมดนั่นข้าทำเอง!
หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปถามคนอื่นๆ ดูสิ ว่าแถวนี้นอกจากข้าแล้วจะมีใครบังอาจทำเรื่องแบบนั้นกันได้อีก”
กู้เสี่ยวซุ่นได้แต่คิดในใจ ซวยแล้ว วันนี้เขาคงจะได้เป็นศพอยู่ข้างบ่อน้ำแน่นอน ทว่า ไฉนไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิด ถึงได้เห็นว่าบุรุษสองคนนั้นก้าวถอยหลังแล้วก้มโค้งคำนับให้เขา!
“ท่านผู้มีพระคุณ! ในที่สุดพวกเราก็ตามหาท่านจนเจอ!”
“…”
“พี่สาว!” กู้เสี่ยวซุ่นวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งมาถึงที่ห้องครัว “ข้าว่าข้าก่อเรื่องเข้าให้แล้วล่ะ!”
“เบาๆ สิ พี่เขยเจ้ากำลังอ่านหนังสืออยู่นะ” กู้เจียวชี้นิ้วทำเสียงชู่ว์
กู้เสี่ยวซุ่นที่ทำหน้าราวกับจะปล่อยโฮค่อยๆ อธิบายเหตุการณ์เมื่อครู่ให้กู้เจียวฟัง “…ท่านพี่ ว่าอย่างไรล่ะ ผู้มีพระคุณอะไรกัน หรือว่าพวกนั้นมันจะมาหลอกต้มตุ๋นข้า”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” กู้เจียวพยักหน้าพลางนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขา “แล้วเจ้าไม่ได้ถามรึว่า
พวกเขาเป็นใครมาจากไหน”
กู้เสี่ยวซุ่นเอียงหัวพลางเอ่ย “ข้าลืมถามน่ะ”
“แล้วพวกเขาไปหรือยัง”
“ยังนะ”
กู้เจียววางไม้กวาดในมือลง “เอาล่ะ เจ้ารอข้าอยู่นี่นะ”
“เจ้าอย่าไปเลย!” กู้เสี่ยวซุ่นรั้งนาง
“ไม่เป็นไรหรอก” กู้เจียวหัวเราะ จากนั้นเดินออกไปทางปากหมู่บ้าน
กู้เสี่ยวซุ่นมองตามไป ไม่รู้ว่าพี่สาวของตนไปพูดอะไรกับบุรุษสองคนนั้นบ้าง แต่ดูเหมือนว่าบุรุษสองคนนั้นเดินออกไปแล้ว
วันรุ่งขึ้น ช่วงฟ้าสาง รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามายังหมู่บ้าน จากนั้นมาหยุดที่หน้าเรือนของตระกูลกู้
ปรากฏบุรุษวัยกลางคนท่วงท่าสง่าเดินลงมาจากรถม้า
วันนี้เป็นเวรเข้าครัวของเรือนใหญ่ แม่นางโจวและกู้เย่ว์เอ๋อจึงตื่นก่อนแล้วง
กู้เย่ว์เอ๋อสะพายตะกร้ากำลังจะออกไปเก็บพืชผัก ครั้นพอเปิดประตูออกไป ก็พบกับบุรุษวัยกลางคนกำลังทำท่าจะเคาะประตูรวมถึงรถม้าที่จอดอยู่ด้านหลัง
นางไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ จึงเกิดอาการทำตัวไม่ถูก
บุรุษวัยกลางคนเอ่ยทักก่อนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรียนถามขอรับ ที่นี่คือเรือนของนายอากรกู้ใช่หรือไม่”
กู้เย่ว์เอ๋อรีบวิ่งเข้าไปด้านในเรือนพลางตะโกน “…ท่านแม่! มีคนมาหาท่านปู่น่ะ!”
จากนั้นกู้ฉังไห่เดินออกมาต้อนรับ
เขาคือบุตรคนโตของนายใหญ่กู้ เขาเคยตามนายใหญ่กู้ไปที่สำนักเพื่อทำธุระให้เป็นครั้งคราว
อีกทั้งเขาเป็นคนที่รอบรู้กว่าใครเมื่อเทียบกับคนในหมู่บ้าน
ดูปราดเดียวก็รู้ว่าคนคนๆ นี้ไม่ธรรมดา
กู้ฉังไห่เอ่ยถามอย่างสุภาพ “บิดาข้ากำลังอาบน้ำอยู่ แล้วท่านคือ…”
บุรุษวัยกลางคนยิ้มให้พลางประสานมือคารวะ “ข้ามาจากสำนักบัณฑิตเทียนเซียง ที่มาในวันนี้
ก็เพื่อจะมารับท่านชายกู้เข้าศึกษาน่ะขอรับ”
เข้าเรียนงั้นรึ มิใช่ว่าผู้เรียนจะต้องเดินทางไปเองหรอกหรือ ให้คนจากสำนักบัณฑิตมารับมาส่งแบบนี้ได้ด้วยรึ
เป็นเพราะต้าซุ่นสอบได้คะแนนดีมากอย่างนั้นหรือ
กู้ฉังไห่รู้สึกถึงความเชิดหน้าชูตาจนเอวและหลังยืดตรงอย่างเห็นได้ชัด เขาหันเข้าไปด้านในเรือน
แล้วตะโกนเรียก “ต้าซุ่น มีคนจากสำนักบัณฑิตมารับเข้าเรียนน่ะ!”