สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 17 ระดู
“กรี๊ด” เซวียหนิงเซียงกรีดร้อง
ทันใดนั้น กู้เจียวหันกลับมาได้ทัน และถีบชายคนนั้นออกไป
เซวียหนิงเซียงอ้าปากค้างมองดูภาพตรงหน้า นี่กู้เจียวจัดการคนพวกนี้ได้หมดเลยด้วยตัวคนเดียวเลยหรือ!
กู้เจียวตบตีกับพวกอันธพาลเสร็จก็หอบตะกร้าเดินออกไป โดยที่ไม่ได้สนใจว่าเซวียหนิงเซียงอยู่ตรงนั้น ราวกับว่านางทำไปเพียงเพราะพวกอันธพาลนั่นกำลังยืนขวางซอยอยู่
เซวียหนิงเซียงที่เพิ่งจะได้สติก็รีบลุกขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลันตะโกนเรียก “นี่เจ้า…รอก่อนสิ!”
กู้เจียวยังคงเดินต่อไป
ครั้นเซวียหนิงเซียงจะเดินตามนาง แต่สภาพเสื้อผ้าที่ถูกคนพวกนั้นฉีกขาดรุ่งริ่งหากเดินออกไปตรงนี้มีหวังได้ถูกคนเห็นแน่นอน เซวียหนิงเซียงปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ได้
กู้เจียวจึงหยุดฝีเท้าลง เกาหัวแกร่กๆ จากนั้นคว้าเสื้อคลุมออกมาจากตะกร้าแล้วโยนให้เซวียหนิงเซียง
เซวียหนิงเซียงทำหน้าตกใจ มองไปที่เสื้อคลุม แล้วเงยหน้ามองกู้เจียว “เจ้า…เจ้าจะไม่หนาวรึ”
“ถ้าไม่ใส่ก็เอาคืนมา” กู้เจียวทำท่ายื่นมือ
“ใส่สิใส่! ข้าใส่!” เซวียหนิงเซียงจึงรีบคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาใส่
เสื้อคลุมของกู้เจียวออกจะเล็กไปหน่อย โดยเฉพาะตรงช่วงอกที่รัดแน่นเสียจนหายใจไม่ออก
เซวียหนิงเซียงก้มตัวลง เก็บสมุนไพรที่เพิ่งได้มาที่ทำตกพื้น จากนั้นเอ่ยกับกู้เจียว “เมื่อครู่นี้ ขอบใจเจ้ามากนะ”
นางคาดไม่ถึงว่าตนจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ และยิ่งคาดไม่ถึงด้วยว่ากู้เจียวจะออกโรงช่วยนาง
เซวียหนิงเซียงรู้สึกสับสนไปหมด แต่สิ่งที่นางเอ่ยออกไปนั้นมาจากความรู้สึกข้างในจริงๆ
และในตอนนี้เองที่เซวียหนิงเซียงมองกู้เจียวเปลี่ยนไป
“เจ้า…เจ้าไม่เป็นบ้าแล้วหรือ” เซวียหนิงเซียงเอ่ยถามอย่างระวัง
กู้เจียวไม่ตอบ
“เอ หรือยังเป็นอยู่…” หากนางสติดีจริง คงไม่มาช่วยขนาดนี้หรอก ก็เมื่อก่อนเคยแกล้งนางไว้ซะขนาดนั้น
“…” ไร้ซึ่งคำตอบจากกู้เจียว
จู่ๆ เซวียหนิงเซียงพลันสังเกตุเห็นที่มือซ้ายของนางมีรอยเลือด เลยร้องอุทาน “เจ้าบาดเจ็บนี่!”
กู้เจียวเอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบ “ไม่ใช่เลือดของข้าน่ะ”
แน่นอนว่านางไม่ได้โกหก นั่นไม่ใช่เลือดของนางจริงๆ
สักพักก็เกิดนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบเอาผ้ามาเช็ดรอยเลือดออก
เซวียหนิงเซียงหันไปทางอันธพาลทั้งสี่ที่นอนเจ็บออดๆ แอดๆ บนพื้น ก็ไม่เห็นมีใครมีเลือดออกเลยนี่นา
แล้วรอยเลือดนั่นมันมาจากไหนกัน หรือว่า เมื่อครู่นี้ นางไปทำอะไรมากันแน่นะ
และแล้วนางทั้งสองก็เดินออกมาจากตรอกนั้น
กู้เจียวเงยหน้ามองฟ้า
จู่ๆ เซวียหนิงเซียงก็ยืนมือมาดึงชายเสื้อกู้เจียว พลางเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงออดอ้อน “ข้า…ข้าขอกลับหมู่บ้านกับเจ้าด้วยได้ไหม”
กู้เจียวขมวดคิ้วลงเล็กน้อยมุ่น
นางยังไม่กลับหมู่บ้านหรอก
เซวียหนิงเซียงนึกในใจ คงไม่แปลกหรอกที่กู้เจียวจะปฏิเสธนาง
เดิมทีเดอมความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนางก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ซ้ำเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้นางก็อุตส่าห์ยื่นมือช่วยเหลือ คงเห็นแก่ที่ตนเป็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านกันมานานสินะ เพราะงั้น ก็คงไม่มีเหตุจำเป็นอันใดที่นางจะต้องพานางไปส่งหมู่บ้านหรอก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เซวียหนิงเซียงจึงชักมือกลับ
กู้เจียวเอ่ยขึ้น “ข้าต้องไปที่สำนักบัณฑิตก่อนน่ะ”
เซวียหนิงเซียงเมื่อได้ยินก็ทำหน้าดีใจดวงตาเบิกกว้าง “ข้าไปด้วยได้หรือไม่”
กู้เจียวไม่ตอบ
จากนั้นเดินมุ่งหน้าไปยังในเมือง
เซวียหนิงเซียงลองเดินตามนางไปก้าวสองก้าวก่อน เมื่อเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีไล่ เลยเกิดดีใจและเดินตามนางต่อ
เท้าของเซวียหนิงเซียงเคยถูกพับรัดให้เล็กลงมาก่อน จังหวะการเดินของนางจึงช้ากว่าคนเท้าปกติ
แม้กู้เจียวจะทำท่ากุมขมับอยู่หลายหน แต่สุดท้ายก็ยอมรอเซวียหนิงเซียงเดินตามมา
และแล้วทั้งสองเดินมาถึงสำนักบัณฑิต ซึ่งเป็นเวลาเลิกเรียนพอดี
เซียวลิ่วหลังเดินออกมาพร้อมกับถือย่ามหนังสือ พอเห็นกู้เจียวที่ยืนรออยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ทำท่าตกใจ
จากนั้นเขาเดินเข้าไปหานางแล้วเอ่ยถาม “วันนี้เจ้ามาแถวนี้รึ”
“อืม” กู้เจียวตอบกำกวม
เซวียหนิงเซียงทำหน้าตะลึงงึงงันเมื่อได้ยินคำตอบ พลางนึกในใจ นี่ตนและนางเดินกันมาจากตลาดจนถึงสำนักบัณฑิต ระยะทางตั้งเจ็ดแปดลี้เชียวนะ นี่ นี่ นี่…นี่น่ะนะหรือแถวนี้ของนาง
ตอนนั้นเองที่เซียวลิ่วหลังสังเกตเห็นเซวียหนิงเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เขาแสดงอาการประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ ไม่ว่าจะคิดแล้วคิดอีกยังไงก็คิดไม่ออกว่าสองคนนี้มายืนอยู่ด้วยกันได้อย่างไร แถมเซวียหนิงเซียงยังใส่ชุดของกู้เจียวอีกด้วย
รถวัวของหลัวเอ้อซูจอดรออยู่ตรงหน้าตรอกทางแล้ว พวกเขานัดแนะกันไว้อย่างดีแล้วว่าให้หลัวเอ้อซูมารับกลับตอนเย็นด้วย
ทั้งสามคนขึ้นรถไป โดยกู้เจียวนั่งอยู่ตรงกลาง
เดิมเซวียหนิงเซียนก็เคยชอบพอเซียวลิ่วหลังอยู่ไม่น้อย แต่พอเกิดเรื่องวันนี้ขึ้น ทัศนคติของนางที่มีต่อผู้ชายจึงเปลี่ยนไป แม้แต่จะเอ่ยทักเซียวลิ่วหลังนางก็ไม่ทำ
แน่นอนว่าเซียวลิ่วหลังไม่ได้สนใจท่าทีของเซวียหนิงเซียงอยู่แล้ว กลับสงสัยเสียมากกว่าว่าพวกนางมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้เอ่ยถาม
กู้เจียวยกเสื้อคลุมให้เซวียหนิงเซียงไปแล้ว ส่วนตนนั้นมีแค่เสื้อผ้าบางๆ ติดตัว ตอนเดินยังไม่เท่าไหร่ แต่พอนั่งบนรถเท่านั้น กลับรู้สึกหนาวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เซียวลิ่วหลังก้มลงมองที่เครื่องแบบของตน ลังเลว่าจะให้นางใส่ดีไหม ครั้นจะให้ใส่ แต่ความสัมพันธ์ของเขากับนางไม่ได้ดีขนาดนั้น ครั้นจะไม่ให้ใส่ ประเดี๋ยวนางจะหนาวตายเสียก่อน
และในตอนนั้นเอง เขาเหลือบไปเห็นเซวียหนิงเซียง
กระเถิบเขถิบร่างเข้ามาใกล้กู้เจียวแล้วอิงตัวเข้าใกล้เพื่อใช้อุณหภูมิร่างกายนางสร้างความอบอุ่นให้กู้เจียว
“…” เซียวลิ่วหลังเมื่อเห็นดังนั้น เขาถึงกับพูดไม่ออก
หลังจากที่รถวัวเคลื่อนออกจากตรอกมาซักสักพัก ก็เห็นว่ากู้ต้าซุ่นกำลังยืนรอรถอยู่
เนื่องกู้เอ้อซุ่นถูก ‘ไล่’ ให้กลับเรือนไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงมีแค่กู้ต้าซุ่นที่ยืนรอรถคนเดียว
กู้ต้าซุ่นไม่ได้สนใจว่าบนรถนั่นมีเซวียหนิงเซียงนั่งมาด้วย แต่กลับสังเกตท่าทีอันเฉยเมยของทั้งสองที่เหมือนกับตอนเช้า จนเขาเองรู้สึกได้ว่าพวกเขาคงรู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แต่ไม่ยักกะเห็นพวกเขาเอ่ยอะไรออกมา มองดูกู้เอ้อซุ่นถูกไล่ออกจากห้องหน้าตาเฉย จนเขาเองก็เกือบถูกท่านอาจารย์สงสัยไปด้วย
สรุปแล้ว นี่เป็นแผนของใครกันแน่ จะเป็นเซียวลิ่วหลัง หรือนางสติไม่ดีนั่นกันแน่
ลมอ่อนพัดโชย กู้เจียวเก็บปอยผมที่บังหน้าอยู่ออกไปโดยที่ไม่สนว่าใครจะมาเห็นรอยปานแดงบนใบหน้านาง
ซึ่งต้าซุ่นไม่เคยได้เห็นนางในสภาพนี้มาก่อน
เอ ไม่สิ ที่จริงเขาเคยเห็นแล้ว ตอนนั้น ช่วงเช้าของวันสอบ ที่นางลากเขาให้ลงจากเกวียน สภาพนางก็เช่นนี้ เพียงแต่ตอนนั้นเขากำลังอารมณ์เสียอยู่เลยไม่ได้สังเกต
เหตุใดจู่ๆ นางถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ จู่ๆ นางไม่ได้มานั่งกินข้าวที่เรือนเหมือนแต่ก่อนแล้ว แถมดูเหมือนจะสนิทสนมกับเซียวลิ่วหลังมากขึ้นอีกด้วย
“เจ้าดื่มนี่ก่อนไหม” เซวียหนิงเซียงคว้าถุงน้ำตรงเอวแล้วยื่นให้กู้เจียว
แม้แต่เซวียหนิงเซียงเองที่อดีตไม่ถูกกัน บัดนี้กลับกลายมาเป็นเพื่อนรักกันเฉยเลย
กู้ต้าซุ่นขมวดคิ้วสงสัย
รถเกวียนเคลื่อนมาถึงหมู่บ้านแล้ว กู้ต้าซุ่นกระโดดลงจากรถ
กู้เจียวไม่ได้แย่งลงรถเหมือนแต่ก่อน แต่กลับนั่งอยู่บนนั้นไม่ขยับ พลางเอ่ยเบาๆ “พรุ่งนี้อย่าลืมพาเสี่ยวซุ่นไปเข้าเรียนด้วยล่ะ”
กู้ต้าซุ่นเมื่อได้ยินก็พลันกำหมัดแน่น
…
พอกลับถึงเรือน กู้เจียวรู้สึกว่าวันนี้อากาศเย็นเป็นพิเศษ มื้อเท้าเย็นเฉียบ พอตกกลางคืน ก็พบว่า ระดูมาเยือนแล้ว
คนในชนบทส่วนใหญ่เป็นพวกทุพโภชนาการ บวกกับร่างกายอันแคระแกร็นของนางทำให้เพิ่งจะมีระดูตอนอายุปาเข้าไปสิบสี่ปีแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านางดื่มน้ำน้อยไปหรือไม่ก็ร่างกายชื้นเกินไป หนำซ้ำวันนี้ตากลมมาตลอดทางกลับ ทำให้นางรู้สึกปวดท้องรุนแรง
ตอนที่นางยังอยู่องค์กร ก็พบเจอกับความเจ็บปวดมานักต่อนัก จะเว้นก็แต่ปวดท้องระดูทุกเดือนนี่แหละที่นางมักจะทนไม่ค่อยไหว
เซวียหนิงเซียงเข้ามาในเรือนเพื่อคืนเสื้อคลุมให้นาง พอเข้ามาก็เห็นว่ากู้เซียวกำลังนั่งตัวงอหน้าซีดอยู่บนเก้าอี้
เลยรีบเข้าไปถาม “เจ้าเป็นอะไรรึ”
“ไม่มีอะไรน่า” กู้เจียวเอ่ยเสียงอ่อน
สตรีแกร่งที่จัดการผู้ชายสี่คนได้อยู่หมัดเมื่อตอนกลางวัน แต่พอมาตอนนี้กลับร่างกายอ่อนแอจนลุกไม่ขึ้น จะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ เซวียหนิงเซียงมองไปทางมือของกู้เจียวที่กำลังกุมท้องน้อยอยู่ ก็พลันร้องอ๋อ แล้วเอ่ยถาม “ระดูเจ้ามาแล้วสินะ”
กู้เจียวไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะโต้ตอบ
เซียวลิ่วหลังเมื่อได้ยินเสียงพวกนางก็รีบเดินเข้ามาถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ”
กู้เจียวไม่ตอบ เซวียหนิงเซียงจึงเอ่ยตอบให้ “นางมีระดู เหมือนจะปวดหนักด้วย ในเรือนเจ้ามีก้อนน้ำตาลแดงไหม ต้มให้นางกินเสียหน่อยดีกว่า”
เซี่ยวลิ่วหลังยืนนิ่งทำหน้างง
เซวียหนิงเซียงคิดว่าทั้งสองคนแต่งงานกันมาครึ่งปีแล้ว และก็น่าจะเข้าเรือนหอกันแล้วเรียบร้อย จึงเอ่ยออกไปอย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ