สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 2 สามี
ในฐานะที่เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์อย่างมาก ชาติที่แล้วกู้เจียวรวบรวมหนุ่มหล่อเอาไว้ไม่น้อย แต่ไม่เคยมีคนไหนที่… สามารถเรียกได้อย่างแท้จริงว่าหล่อ หนุ่มหล่อทุกคนรวมกันยังไม่เท่าคนตรงหน้านี้เลย
คนผู้นี้มีใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา องศาคิ้วตาประณีตราวกับหยกสลัก ดวงตาสองข้างเย็นชาดุจบึงน้ำอันเย็นยะเยือกที่ไร้ก้นบึ้ง
บนใบหน้าซีดขาวแฝงไว้ด้วยเค้าความเจ็บป่วย แต่เนื่องจากเขินอายจึงได้ปรากฏริ้วแดงเรื่อขึ้น กลับขับให้น่าหลงใหลมากขึ้น
ด้วยอายุอานามของเขา กู้เจียวกลับรู้สึกว่าเรียกเด็กหนุ่มเหมาะสมกว่าชายหนุ่ม
“มองพอหรือยัง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยลอดไรฟัน
“ยังไม่พอเลย แต่ว่า…” กู้เจียวกวาดตามองรูปร่างเขาแวบหนึ่ง ดวงตางามหรี่ลงเล็กน้อย “กลัวว่าจะทับเจ้าแบนเสียก่อน”
กล่าวจบ กู้เจียวลุกขึ้นอย่างมีมาด
ตัวคนเรียกได้ลุกขึ้นแล้ว ทว่าท่วาดวงตากลับยังคงจับจ้องอยู่บนร่างเขาด้วยความสนใจลึกซึ้ง
“กู้เจียว เจ้า…” เซียวลิ่วหลังถูกสายตานางมองเสียจนเปลี่ยนจากอับอายกลายเป็นโกรธ
“ต้องพยุงเจ้าขึ้นหรือไม่” กู้เจียวยิ้มตาหยีพลางยื่นมือไปหา
“ไม่ต้อง!”
เซียวลิ่วหลังเบี่ยงตัวด้วยแววตาเย็นเยียบ จับเก้าอี้ด้านข้างพยุงตัวลุกขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก แต่ก็ยังคงปฏิเสธน้ำใจจากกู้เจียว
จากนั้นเขาก็ไม่สนใจกู้เจียวอีก เดินขากะเผลกออกจากห้องไป
กู้เจียวยามนี้นึกขึ้นได้แล้วว่าเขาเป็นใคร นี่คือเซียวลิ่วหลังสามีของเจ้าของร่างนี้
เซียวลิ่วหลังถูกกู้เจียวพากลับมา พอเขาฟื้นขึ้นมาคนในตระกูลกู้ถามความเป็นมาจากเขาพบว่าเขากำพร้า
ไม่มีที่ไป ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามนั้นเลยว่า ชายหญิงไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน บุตรสาวตระกูลเราช่วยเจ้าไว้ ไม่สู้ให้พวกเจ้าทั้งสองคนได้แต่งงานกันเพื่อรักษาเกียรติและชื่อเสียงของนางเอาไว้ บีบคั้นให้เซียวลิ่วหลังสู่ขอกู้เจียว
พูดถึงเรื่องสู่ขอแล้วกลับยิ่งเหมือนการแต่งเข้าเรือนฝ่ายหญิงเสียมากกว่า ห้องผุพังที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ในยามนี้ตระกูลกู้เป็นคนมอบให้ ไร่นาที่เพาะปลูกตระกูลกู้ก็แบ่งให้ แต่ละอย่างล้วนมีแต่แย่ๆ ทั้งนั้น
ยามแต่งงานกู้เจียวกลับไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังพิการ หลังจากรู้เรื่องก็ค่อยๆ เริ่มรังเกียจเขาขึ้นมา แล้วหันไป ‘อ่อย’ บัณฑิตเสี่ยวฉินในเมืองแทน
คนในหมู่บ้านต่างเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่เซียวลิ่วหลัง ว่ากันว่าดอกไม้สดปักบนกองมูลวัว เซียวลิ่วหลังเป็นดอกไม้ดอกนั้น มูลวัวก็คือนาง
เซียวลิ่วหลังคิดอะไรในใจนั้น กู้เจียวไม่รู้ แต่หากเขาสามารถเมินเฉยต่อสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ของนางได้ ย่อมเห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจเจ้าของร่างนี้มากแค่ไหน
กู้เจียวเปิดประตูตู้ออกมา หมายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มบนร่าง กลับพบว่าในตู้ไร้ซึ่งเสื้อผ้าสะอาดแม้แต่ชุดเดียวอย่างน่าเศร้า
“พี่ใหญ่เซียว ท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
จู่ๆ หน้าประตูก็มีเสียงอ่อนเสียงหวานดังขึ้น
ผู้มาใหม่เป็นสตรีออกเรือนนางน้อยในชุดกระโปรงลายดอกใหญ่ๆ สีม่วง ฮูหยินน้อยหวีผมเสียมันเงา
ทาแป้งแต่งหน้า ข้อพับแขนมีตะกร้าคล้องไว้ บนตะกร้ามีผ้าลายคลุมอยู่ ทำให้ไม่รู้ว่าในนั้นใส่อะไรไว้
กู้เจียวขุดค้นความทรงจำจากเจ้าของร่างออกมาด้วยความรวดเร็ว คนผู้นี้เป็นแม่ม่ายน้อยของหมู่บ้านชิงเฉวียนนามว่าเซวียหนิงเซียง
เซวียหนิงเซียงเป็นเพื่อนบ้านของพวกเธอ ยามปกติชอบมาเข้ามาในบ้านพวกเธอ ส่วนใหญ่จะเลือกในตอนที่เจ้าของร่างไม่อยู่บ้าน บางครั้งก็ให้เจ้าของร่างเดิมได้เจอเข้าสองสามครั้ง เจ้าของร่างเดิมสติไม่สมประกอบ เสียเปรียบให้แก่เซวียหนิงเซียงไปไม่น้อย
ข่าวคราวที่บัณฑิตเสี่ยวฉินมาหมู่บ้านครานี้ก็เป็นเซวียหนิงเซียงที่เปิดเผยให้เจ้าของร่างเดิมฟัง
“โอ๊ะ นี่น้องสะใภ้หนิงเซียงมิใช่หรือ กลางวันแสกๆ มาทำอะไรที่บ้านข้าล่ะ”
จู่ๆ กู้เจียวก็ปรากฏตัวขึ้นทำเอาเซวียหนิงเซียงตกอกตกใจยกใหญ่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความผิดหวังว่า “เหตุใดจึงเป็นเจ้าเล่า”
กู้เจียวแย้มยิ้ม เคาะบานประตูเบาๆ พลางเอ่ยว่า “นี่เป็นบ้านข้า เห็นข้าแล้วแปลกใจมากหรือ แล้วนี่เจ้ากำลังผิดหวังอะไร”
เซวียหนิงเซียงสำลัก แน่นอนว่านางผิดหวังที่ไม่เจอเซียวลิ่วหลังน่ะสินะสิ
เซวียหนิงเซียงมองไปยังกู้เจียวอีกครั้ง
คนยังคงเป็นคนคนนั้นอยู่ แต่เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาดไม่น้อย ไม่แข็งทื่อราวกับขอนไม้เหมือนเมื่อก่อน ในแววตามีความฉลาดเฉียบแหลม ต่อให้ทั่วทั้งร่างจะเปียกชุ่ม แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกว่านางสภาพอเนจอนาถเลยสักนิด ตรงกันข้ามยังมีมาดน่ายำเกรงที่มองไม่เห็นอีกด้วย
ตนคงตาฝาดไปแน่ๆ คนสติไม่ดีจะสามารถเปลี่ยนแปรไปได้อย่างไร
เซวียหนิงเซียงเชิดหน้าขึ้น เอ่ยว่า “ข้ามาหาพี่ใหญ่เซียว!”
กู้เจียวแย้มยิ้มบาง “พี่ใหญ่เซียวรึ เรียกเสียสนิทสนมจริง เจ้ากับสามีข้าสนิทกันมากหรือ”
“หลบไป!” เซวียหนิงเซียงคร้านจะสนใจนาง
“ไม่หลบแล้วจะทำไม” กู้เจียวขวางอีกฝ่ายไว้
เซวียหนิงเซียงไม่เห็นกู้เจียวอยู่ในสายตาสักนิด นางยกมือขึ้นผลักกู้เจียว
กู้เจียวเบี่ยงหลบเล็กน้อย กระดกปลายเท้าขึ้น
“ไอ้หยา…”
เซวียหนิงเซียงล้มลงหน้าคะมำทั้งคนทั้งตะกร้า
“นางบ้ากู้! เจ้าขัดขาข้า!”
เมื่อก่อนนั้นการขัดขาเช่นนี้เคยเกิดขึ้นไม่น้อยแล้ว แต่ว่าคนที่โดนขัดล้มในครานี้กลับกลายเป็นเซวียหนิงเซียงเสียเองก็เท่านั้น
กู้เจียวกอดอกมือสองข้าง พิงบานประตูมองนาง ราวกับกำลังบอกว่า ‘ขัดขาเจ้าแล้วจะทำไม มีปัญญาเจ้าก็มาขัดคืนสิ’
เซวียหนิงเซียงสงสัยว่าตัวเองจะตาฝาดอย่างมหันต์ทีเดียว
อันที่จริง เซวียหนิงเซียงกับเจ้าของร่างเดิมมักจะไม่ลงรอยกันมาตั้งนานแล้ว เป็นสตรีในหมู่บ้านที่ผู้คนพากันนินทากันมากที่สุด คนหนึ่งกู้เจียวผู้สติไม่สมประกอบ อีกคนคือแม่ม่ายเซวียหนิงเซียง แต่เซวียหนิงเซียงหน้าตาสะสวย ตัวคนก็ขยันขันแข็ง นิสัยใจคอก็เหมาะสมกว่ากู้เจียว
ตอนนั้นเซียวลิ่วหลังหมดสติอยู่หน้าหมู่บ้าน เซวียหนิงเซียงกับเจ้าของร่างเดิมเป็นคนเจอเข้า
เซวียหนิงเซียงกลัวว่าเรื่องยุ่งยากจะตามมาจึงไปตามคนในหมู่บ้าน เจ้าของร่างเดิมกลับพาเขากลับบ้านมาเลยทันที
หลังจากนั้นพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าเซียวลิ่วหลังเป็นบัณฑิตธรรมดาธรรมดา เซวียหนิงเซียงก็มาเสียใจภายหลังเสียแล้ว
เซวียหนิงเซียงตะเบ็งเสียงกำลังจะก่นด่า เซียวลิ่วหลังก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
เซวียหนิงเซียงเห็นเขาเข้าก็พลันเปลี่ยนสีหน้า ร้องห่มร้องไห้อย่างอ่อนแอทันที “พี่ใหญ่เซียว นางรังแกข้า!
นางเอาเท้ามาขัดขาข้า!”
กู้เจียวมองเซียวลิ่วหลัง แบมืออย่างผู้บริสุทธิ์ “นางผลักข้าก่อน”
เซวียหนิงเซียงพลันตื่นเต้นขึ้นทันใด “พี่ใหญ่เซียว ท่านฟังสิ นางยอมรับแล้ว…”
“น้องสะใภ้เซวียมาหามีธุระอะไรหรือ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยขัดนางขึ้น
เซวียหนิงเซียงนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง
นางมองเซียวลิ่วหลังแล้วมองกู้เจียว ยกตะกร้าบนพื้นขึ้นเอ่ยว่า “ข้า…คือว่า…คราก่อนท่านช่วยข้าอ่านจดหมาย ไม่ได้ขอบคุณท่านดีๆ เลย ที่บ้านท่านไม่มีอะไรกินมิใช่หรือ ข้าไปขุดมันเทศมาสองสามหัวมอบให้ท่าน…”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก น้องสะใภ้หนิงเซียง ที่บ้านยังมีแป้งข้าวโพดอยู่ ของพวกนี้เจ้าเอากลับไปกินเองเถิด”
เซวียหนิงเซียงกัดริมปาก “แต่ว่า…”
กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เขาก็บอกอยู่ว่าให้เจ้าเอากลับไป ไม่ได้ยินรึ”
เสียงนางไม่ดังมาก แต่แววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มนั้นกลับซ่อนความเย็นยะเยือกที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเอาไว้
เซวียหนิงเซียงขนหัวลุก ไม่กล้าอยู่ต่อ คว้าตะกร้าเผ่นออกไป
กู้เจียวอมยิ้มมองไปยังสามีตัวเอง “มองไม่ออกเลยนะนี่ คนพิการอย่างเจ้า ยังเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวไม่น้อย”
เซียวลิ่วหลังเหลือบมองกู้เจียวอย่างเรียบเฉย ถือไม้เท้าเดินกลับห้องไป
“ซี้ด…”
เจ็บแผลขึ้นมาอีกแล้ว
กู้เจียวลูบท้ายทอยพลางกลับห้องตัวเองเช่นกัน
เธอนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ย ลูบแผลไปมา บาดแผลใหญ่ไม่น้อยเลย แม้จะไม่เรียกว่าลึกมากมาย แต่หากไม่ฆ่าเชื้อ เป็นไปได้สูงว่าจะติดเชื้อ แต่นี่มันสมัยโบราณ เธอจะไปหาของฆ่าเชื้อมาจากที่ไหนได้
“ถ้ากล่องยาฉันยังอยู่ก็คงดี”
เพิ่งจะคิดขึ้น กู้เจียวก็รู้สึกว่าในสมองของตัวเองเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างแรงครู่หนึ่ง เจ็บปวดเสียจนเธอสลบไป
เมื่อเธอฟื้นขึ้น ทันใดนั้นก็พบว่าบนโต๊ะตรงหน้ามีกล่องยาโผล่ขึ้นมา