สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 25 ยอดฝีมือ
ในขณะนั้นเอง กู้เจียวแบกตะกร้าใบเล็กเดินมาจากทางท้ายเรือน
“ไปห้องน้ำแค่นี้ไปเสียนานนัก!” เฝิงหลินพึมพำเสียงเบา
เซียวลิ่วหลังสายตาตกลงบนร่างกู้เจียว พอนางเดินมาใกล้ จึงถามนางว่า “ไม่สบายตรงไหน ให้หมอตรวจดูหน่อย”
“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ” กู้เจียวเอ่ย
ท่าทางเช่นนี้ของนางไม่เหมือนป่วยจริงๆ เซียวลิ่วหลังจึงไปเอายา ตอนจ่ายเงินพบว่าห่อยาปริมาณครึ่งเดือนนึกไม่ถึงว่าจะไม่ถึงหนึ่งตำลึง “คิดผิดไปหรือไม่”
“ไม่นะขอรับ ราคานี้ล่ะ” พนักงานร้านตอบ
“บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่ากิจการพวกเขาไม่ดี ลดราคาลงแล้ว” เฝิงหลินกระซิบบอกข้างหูเขาเสียงเบา
แต่ก็ลดเสียจน…ไม่สมเหตุสมผลเกินไปแล้ว
แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว เซียวลิ่วหลังก็คิดหาเหตุผลอื่นไม่ออกแล้ว ไม่มีทางมีชนชั้นสูงอะไรเทือกนั้นแอบควักกระเป๋าช่วยตนอยู่แล้ว
คนทั้งกลุ่มออกจากหุยชุนถังมา
เถ้าแก่รองมาส่งแขกถึงหน้าประตู ตอนที่เดินเฉียดผ่านไหล่กู้เจียวไปนั้น เถ้าแก่รองยิ้มตาหยียื่นนิ้วทั้งห้านิ้วไปให้กู้เจียว
ค่ายา ห้าตำลึง จดบัญชีเอาไว้แล้ว
กู้เจียวส่งสายตาตำหนิเขา หักออกจากค่ารักษา!
ในทางกลับกัน เถ้าแก่รองยังไม่ได้ให้นางตรวจรักษาคนอื่นเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าถึงเวลานั้นจะให้งานเช่นไรกับนาง
“ท่านพี่เซียว ข้าส่งท่านพี่กลับเอง” เฝิงหลินเอ่ย
เซียวลิ่วหลังพูดโดยไม่ให้ปฏิเสธว่า “ไม่ต้องหรอก เกวียนเทียมวัวของลุงหลัวเอ้อร์ยู่ตรงนั้นเอง เจ้ากลับสำนักบัณฑิตเถิด ทบทวนบทเรียนให้ดี ปีหน้าต้องลงสนามแล้ว”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ เฝิงหลินก็มึนงง การศึกษาของเขาอันที่จริงไม่ค่อยจะได้เรื่องเท่าใดนัก อาจารย์มักจะบอกว่าบทความของเขาตายตัวเกินไป ไม่มีความแปลกใหม่เพียงพอ เจอขุนนางผู้คุมสอบที่พวกเป็นอนุรักษ์นิยมยังพอทำเนา หากเจอกับเขาที่เป็นพวกหัวสมัยใหม่คงได้ตกอันดับแน่แล้ว
เฝิงหลินถอนหายใจ “ก็ได้ ข้าไปสำนักบัณฑิตก่อน ท่านพี่เดินทางระวังด้วยนะ”
เอ่ยจบ เขาก็ถลึงตาใส่กู้เจียวอีกหน ราวกับเป็นห่วงว่ากู้เจียวจะก่อเรื่องก่อราวให้เซียวลิ่วหลัง แต่ว่า นับจากที่เซียวลิ่วหลังเอ่ยคำว่า ‘นางมีชื่อ’ เป็นต้นมา เขาไม่ได้เรียกนางว่าสตรีน่าขยะแขยงอีกเลย
เฝิงหลินจากไปแล้ว กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังไม่รีบกลับหมู่บ้านทันที แต่ไปในร้านค้าเพื่อซื้อของกันก่อน
กู้เจียวซื้อผลไม้เชื่อม เมล็ดทานตะวันและถั่วลิสง นางพบว่าหญิงชราเกลี้ยกล่อมง่ายไม่น้อย ขอแค่ให้ของกินนาง นางก็สามารถอยู่ในห้องได้เป็นวันๆ
เซียวลิ่วหลังซื้อน้ำตาลแดงมานิดหน่อย คราก่อนไปขอยืมน้ำตาลแดงมาจากบ้านท่านป้าจาง ยังไม่ได้คืนนางเลย
ทั้งสองหิ้วของไปที่เกวียนเทียมวัว ลุงหลัวเอ้อร์ซูยิ้ม “ของฉลองปีใหม่เล่า ควรจะจัดได้แล้ว อีกเดี๋ยวก็วันส่งท้ายปีเก่าแล้ว”
ทั้งสองนิ่งอึ้งพร้อมกัน
จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าวันส่งท้ายปีใกล้มาถึงแล้ว
อันที่จริงไม่ใช่ว่าทั้งสองใช้ชีวิตกันจนมึนๆ งงๆ ไม่รู้วันคืน แต่ในใจพวกเขาล้วนไม่มีความคุ้นชินและความคิดที่จะฉลองปีใหม่เลย วันส่งท้ายปีที่ครอบครัวกินข้าวพร้อมหน้า บ้านเรือนจุดโคมไฟ สำหรับพวกเขาแล้ว
ล้วนเป็นคืนวันอันโดดเดี่ยวที่สุดมาโดยตลอด
ชาติที่แล้วกู้เจียวออกจากบ้านตอนแปดขวบ อาศัยอยู่ในฐานการทดลองขององค์กร พอถึงวันส่งท้ายปีองค์กรก็จะหยุดงานทุกภาคส่วน เขตฐานอันว่างเปล่าสุดท้ายเหลือแค่นางคนเดียว
เรื่องของเซียวลิ่วหลังนั้นกู้เจียวรู้ไม่มากนัก บางทีเขาอาจจะเคยคึกคักมาก่อน แต่ต่อมาล้วนมลายหมดสิ้นแล้วก็ได้
นางเป็นวิญญาณโดดเดี่ยวจากต่างภพ เขาเป็นคนแปลกหน้าในต่างแดน
คำพูดของลุงหลัวเอ้อร์ซูทำให้ทั้งคู่พลันไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
ทว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงถือของในมือตัวเองขึ้นเกวียนไปอย่างเงียบๆ
เกวียนเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เมื่อมาถึงหมู่บ้านฟากฟ้าก็มืดแล้ว
ลุงหลัวเอ้อร์ซูขับเกวียนกลับบ้านตัวเอง กู้เจียวเอาของทั้งหมดโยนเข้าตะกร้าของตัวเอง เดินไปทางบ้านตัวเองด้วยกันกับเซียวลิ่วหลัง
เพิ่งจะเดินได้ครึ่งทางก็เห็นหน้าประตูตัวเองจากไกลๆ เหมือนจะเกิดเรื่องขึ้น ฝูงชนรุมล้อมหนาแน่นจนน้ำยังรอดผ่านไม่ได้ ในนั้นมีเสียงด่าทอลอยออกมาด้วย
ตรงหน้าประตูเนื่องจากท่านป้าจางป้อนข้าวให้หลานทั้งสองแล้วเดินผ่านไปไม่ได้จึงตะโกนใส่ทั้งคู่ว่า
“ไอ้หยา ลิ่วหลัง เหตุใดพวกเจ้าเพิ่งจะกลับมา บ้านเจ้าเกิดเรื่องแล้ว!”
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือท่านป้าจาง” เซียวลิ่วหลังถาม
“คนตระกูลกู้มาหา ทะเลาะกับใครนะ…ป้าของเจ้า!”
ป้าอย่างนั้นรึ
บ้านพวกเขามีคนที่เรียกกันเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
คงจะไม่ใช่…หญิงชราหรอกกระมัง
หญิงชราความจำเสื่อมแล้ว คงได้โดนรังแกอย่างอนาถแน่!
กู้เจียวหันไปมองเซียวลิ่วหลังพลางเอ่ยว่า “ข้าไปดูก่อนนะ”
ท่านป้าจางรีบเอ่ยว่า “เจ้ารีบไปเร็วเข้า! ย่าเจ้ายิ่งไม่ยอมคนอยู่ด้วย!”
กู้ซีมาที่นี่นานเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นย่าของเจ้าของร่างมาก่อนเลย รู้แต่ว่านางแซ่อู๋ ตอนสาวๆ เป็นคนงี่เง่าปากจัด ต่อมาแต่งให้นายใหญ่กู้ นายใหญ่กู้เป็นปัญญาชน ต่อมาก็เป็นนายอากร ตามหลักแล้วแม่นางอู๋อยู่กับเขาควรจะสำรวมจึงจะถูก แต่แม่นางอู๋ดันยิ่งอวดดีและหยิ่งยโสมากกว่าเดิม
คนที่ไม่ควรไปหาเรื่องด้วยอันดับหนึ่งในหมู่บ้านก็คือแม่นางอู๋ ดังนั้นท่านป้าจางจึงห่วง ‘ป้า’ ของเซียวลิ่วหลังจะโดนรังแก
กู้เจียวถึงหน้าประตูบ้านตัวเองพบว่าฮูหยินตระกูลกู้มากันพร้อมหน้า แม่นางอู๋รวมถึงลูกสะใภ้สองคน
ของนางอย่างแม่นางโจวกับแม่นางหลิว
แน่นอนว่า กู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เอ้อซุ่นก็อยู่ด้วย
กู้เอ้อซุ่นยืนอยู่ข้างกายมารดานาง กู้เสี่ยวซุ่นยืนอยู่ข้างหญิงชรา
แต่ว่า ท่านป้าจางบรรยายได้ไม่ค่อยจะตรงนัก…คนที่โดนด่าจนหน้าดำหน้าแดงเหมือนจะเป็นพวกแม่นางอู๋สามคนมากกว่า!
“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้ามีปัญญาก็พูดอีกรอบสิ!” แม่นางอู๋เท้าเอว ชี้นิ้วใส่หญิงชรา
หญิงชราไม่รู้ว่าให้ใครไปยกม้านั่งมาให้นาง นางนั่งไขว่ห้างท่าทางเด็ดขาดอยู่บนม้านั่ง คว้าเมล็ดทานตะวันมาหนึ่งกำมือ แทะไปพลาง เอ่ยอย่างไม่ไม่ใส่ใจว่า “มีสิทธิ์อะไรมาให้พูดอีกรอบ สมองเจ้าไม่ดีจึงฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่าหูหนวกจึงฟังไม่ชัดล่ะ” แม่นางอู๋อันธพาลใช้อำนาจบาตรใหญ่ในหมู่บ้านตั้งหลายปีเพียงนี้ ยังไม่เคยโดนใครว่าให้เช่นนี้มาก่อน
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกสะใภ้ทั้งสองคนอยากจะให้นางมาทะเลาะหาเรื่องคน ฝีมือความสามารถของหญิงชรานางนี้ สะใภ้ทั้งสองรับมือไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!
“ข้าไม่สน! เงินหนึ่งตำลึงนี้คืนนี้เขาต้องเอามาให้ข้า!” แม่นางอู๋เถียงแล้วไม่ชนะ จึงเริ่มเอาความไร้เหตุไร้ผลเข้าสู้
หญิงชราบ้วนเปลือกเมล็ดทานตะวันใส่หน้านาง “ถุย! เขากินข้าวบ้านเจ้าแล้ว หรือว่ากินข้าวต้มบ้านเจ้าไปแล้วล่ะ เหยาเจี่ยยังมียางอายกว่าเจ้าเลย! อย่าว่าแต่เงินหนึ่งตำลึง แค่กษาปณ์เดียวก็ไม่มีทางให้!”
นึกไม่ถึงว่าแม่นางอู๋จะโดนเอาไปเปรียบกับสตรีที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเหยาเจี่ย แม่นางอู๋โมโหจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว!
แม่นางอู๋ “เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า…”
หญิงชราไม่ให้โอกาสแม่นางอู๋ได้สำแดงฤทธิ์แม้แต่น้อย “แล้วก็ เจ้าอย่าได้อ้างว่าเจียวเจียวของข้ากินข้าวไปของเจ้าเลย นางกินได้เท่าใดเอง พวกเจ้ามาเอาเงินกับลิ่วหลังไปเท่าใดแล้ว เจียวเจียวของข้าเดิมทีหาเขยที่ตระกูลกู้ จนใจที่พวกเจ้าไม่ลดไม่ละ ไล่พวกเขาสองคนออกมา ในเมื่อไล่ออกมาแล้ว เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้าตระกูลกู้แล้ว!”
แม่นางอู๋ตัวสั่นด้วยความโกรธ “นะ…นั่นก็แค่แยกบ้าน!” ไล่ไม่ไล่อะไร คำพูดพรรค์นี้ลือออกไป ชื่อเสียงของตระกูลกู้ยังจะเหลือรึ หญิงชราแทะเมล็ดทานตะวันอีกครั้ง “อ้อ เจ้ายอมรับว่าแยกบ้านแล้วหรือ! ในเมื่อแยกบ้านแล้วเหตุใดเจ้ายังจะให้ลิ่วหลังเอาเงินไปจ่ายให้พวกเจ้าอีกล่ะ! หน้าตาล่ะ เอาไปฉาบกำแพงแล้วรึ!”
แม่นางอู๋ถูกตอกหน้าหงายจนกลอกตามองบน
หญิงชราบ้านี่มาจากไหน ชะ…ช่างน่าโมโหนัก!
บรรดาเพื่อนบ้านใกล้จะขำกันตายอยู่แล้ว
ปากนั่นของแม่นางอู๋ด่าทอในหมู่บ้านนี้ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน วันนี้กลับโดนตอกหน้าจนหมดคำจะพูดไปแล้ว
เรื่องแยกบ้านเดิมทีตระกูลกู้ทำได้ไม่เหมาะสม แต่ตอนนั้นตระกูลกู้ป่าวประกาศออกไปว่าเป็นความคิดของเซียวลิ่วหลัง เซียวลิ่วหลังไม่อยากพักอยู่กับตระกูลกู้ บรรดาคนในหมู่บ้านจึงไม่อาจว่าอะไรมากได้
เรื่องที่หลังจากนั้นกู้เจียวมักจะกินข้าวที่บ้านตระกูลกู้ คนในหมู่บ้านก็ต่างรู้กันดี แต่คิดไม่ถึงว่าตระกูลกู้จะมาเก็บเงินด้วย!
กู้เจียวเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบสี่ปี นางจะกินข้าวได้เท่าใดกันเชียว แต่ตระกูลกู้กลับให้เซียวลิ่วหลังจ่ายหนึ่งตำลึงทุกเดือน!
นี่มันไม่ใช่หลอกลวงคนหรือไร
เงินหนึ่งตำลึงเพียงพอให้ครอบครัวใหญ่กินอิ่มกันถึงสองเดือนเลยนะ!
แม่นางโจวกับแม่นางหลิวแค่เห็นเซียวลิ่วหลังไม่ได้จ่ายเงินที่บ้านหนึ่งเดือน จึงได้มาทวงถึงบ้าน ไหนเลยจะไปคิดว่าจะใหญ่โตถึงสถานการณ์ยามนี้ที่พอเกิดขึ้นก็หาทางลงไม่ได้
ยามนี้ควรทำอย่างไรดีล่ะ