สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 34 ซื้อภูเขา
หลังจากได้เงินมา กู้เจียวก็ครุ่นคิดว่าจะเอาไปใช้อะไรดี
วันที่สองเซียวลิ่วหลังกลับมาจากสำนักบัณฑิต ครอบครัวสามคนนั่งกินข้าวอยู่กลางโถง
แม้จะพูดว่าครอบครัวสามคน แต่ความจริงแล้วระหว่างกันไม่มีความสัมพันธ์อันใด ทั้งยังน่าแปลกที่บรรยากาศดูกลมเกลียวยิ่งนัก
หญิงชรากัดน่องไก่คำโต ก่อนจะเหลือบตามองกู้เจียวแล้วพูดว่า “มีอะไรก็พูด!”
กู้เจียว “ท่านย่าสายตาเฉียบแหลมแท้ รู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเรื่องอยากพูด”
“ข้าอยากซื้อภูเขา” กู้เจียวเอ่ย
“เสื้อผ้าฤดูหนาวหรือว่าฤดูใบไม่ร่วงล่ะ” หญิงชราส่งสายตาระอาใจให้กับกู้เจียว ราวกับกำลังบ่นว่าเรื่องเล็กแค่นี้เหตุใดถึงต้องอ้ำอึ้ง
“ข้าไม่ได้หมายถึงเสื้อ แต่หมายถึงภูเขาใหญ่ เขาลูกนั้นที่อยู่ท้ายหมู่บ้านเรา” กู้เจียวไปเก็บของป่าบนเขาอยู่เป็นประจำ จึงได้พบว่าบนเขานั้นมีของดีไม่น้อย หากซื้อทั้งหมด นอกจากจะเก็บของป่าได้แล้ว ยังจะเก็บยาสมุนไพร ทั้งยังตัดฟืนได้อีก แถมยังล่าสัตว์ได้… เอาเป็นว่าเขาทั้งลูกสามารถทำเงินได้ ไม่มีทางขาดทุนแน่นอน
“ก็ซื้อสิ!”
สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ หญิงชราไม่ลังเลแม้แต่น้อย เรื่องเงินทองแบบนี้ หญิงชราไม่เคยจู้จี้และมักจะมือเติบอยู่เสมอ
หากเป็นแม่นางอู๋ย่าแท้ๆ ของเจ้าของร่างเดิมละก็ คงจะด่ากราดกู้เจียวจนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ‘นางตัวกาลกิณี ล้างผลาญตระกูล คิดจะซื้อภูเขางั้นหรือ คิดว่าลมพัดเงินมาหรืออย่างไร!’
ในสายตาของชาวบ้านทั้งหลาย ภูเขานั้นไม่มีค่าแต่อย่างใด อย่างมากก็แค่เอาไว้ตัดฟืน เก็บผักป่า ถึงจะมีทั้งของป่าและล่าสัตว์ได้ แต่ก็ไม่มีใครซื้อภูเขาทั้งลูกเพื่อของพวกนั้น
กู้เจียวเป็นคนรู้จักของดี นี่เป็นความสามารถที่ได้มาจากการเสี่ยงอันตรายในป่าลึก
เพราะอย่างนั้นหากนางได้ภูเขาลูกนั้นมาอยู่ได้มือก็เท่ากับได้ครอบครองขุมสมบัติ
หากเป็นแต่ก่อนเรื่องพวกนี้นางสามารถตัดสินใจได้เอง เซียวลิ่วหลังไม่เคยก้าวก่ายการตัดสินใจของนาง แต่ตั้งแต่หญิงชรามาอยู่ที่นี่ รูปแบบความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง
“เจ้าหมายถึงภูเขาหลังบ้านลุงหลัวเอ้อร์ลูกนั้นหรือ” เซียวลิ่วหลังถาม
“ใช่” กู้เจียวพยักหน้า
หมู่บ้านชิงเฉวียนล้อมด้วยภูเขาสามทิศ ที่นางหมายตาไว้คือภูเขาลูกที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งก็คือภูเขาที่ชาวบ้านมักจะขึ้นไปเก็บของป่า บ้านของลุงหลัวเอ้อร์อยู่ที่ตีนเขาลูกนั้น
“ได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปถามนายอากรเอง” เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่ลังเลเลยสักนิด
กู้เจียวเกาหัว นายอากรก็คือท่านปู่ของนางเอง นางไปถามเองก็ได้มิใช่หรือ ที่นางพูดออกมาไม่ได้ตั้งใจจะให้เขาไปเป็นธุระให้เสียหน่อย
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เซียวลิ่วหลังก็เดินทางไปยังเรือนตระกูลกู้
แม่นางโจวและแม่นางหลิวถูกทางการโบยไปสามสิบที หลายวันมานี้ก็ได้แต่นอนคว่ำอยู่กับพื้นเพื่อรักษาตัว ภายในเรือนเงียบสงบไม่น้อย
“พี่เขย! ท่านมาทำอะไรหรือ” กู้เสี่ยวซุ่นเป็นคนเปิดประตู
“ข้ามาหาท่านนายอากร” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
แม้เขาจะแต่งงานกับกู้เจียวแล้ว แต่ยังคงเรียกท่านปู่ว่านายอากรมาโดยตลอด
“อ๋อ” กู้เสี่ยวซุ่นแค่ตกใจที่พี่เขยมาเยือนถึงบ้าน แต่มิได้ประหลาดใจกับคำเรียกของพี่เขา ในเมื่อตระกูลกู้เป็นคนบังคับให้พี่เขยแต่งงาน ขูดรีดขูดเนื้อพี่เขยราวกับเป็นลูกหนี้
“ท่านปู่ พี่เขยมาแล้ว!” กู้เสี่ยวซุ่นพาเซียวลิ่วหลังไปยังห้องของนายใหญ่กู้
นายใหญ่กู้มองเซียวลิ่วหลังด้วยความประหลาดใจ หากเขาจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวลิ่วหลังมาที่บ้านตระกูลกู้หลังจากแต่งงานกับกู้เจียว
“ดึกป่านนี้แล้ว มีธุระอะไรหรือ” นายใหญ่กู้ถาม
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ามาถามท่านายอากร ว่าภูเขาหลังเรือนลุงหลัวเอ้อร์นั้นขายราคาเท่าไหร่”
“เจ้าจะถามไปทำไม คนในสำนักบัณฑิตของเจ้าจะซื้อภูเขาหรือ” แม้นายใหญ่กู้จะหูตากว้างไกลเพียงใดแต่คงคาดไม่ถึงว่าหลานสาวของตัวเองจะซื้อเขาลูกนี้ “เขาลูกนั้นราคาไม่เบา… เพียงแต่ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะซื้อก็ซื้อได้ เขาลูกนั้นไม่ได้เป็นของหมู่บ้านเรา แล้วก็ไม่ใช่ของทางการ แต่เป็นที่ดินของวัด”
“วัดอย่างนั้นหรือ” เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้เลยว่าที่นี่มีวัดอยู่ด้วย
นายใหญ่กู้เอ่ย “ใช่แล้ว เป็นของวัด เจ้าเพิ่งมาได้ไม่นาน คงยังไม่เคยไปใช่หรือไม่ อีกฟากหนึ่งของเขา อ้อมจากตีนเขาไป เดินอีกประมาณหนึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว หากคนในสำนักบัณฑิตเจ้าอยากซื้อละก็ ต้องไปเจรจากับเจ้าอาวาสวัด”
เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นายใหญ่กู้จึงพูดขึ้น “จะว่าไปแล้ว เจียวเหนียงก็เกิดที่วัดแห่งนั้น”
เซียวลิ่วหลังกลับมาถึงมาบ้าน กู้เจียวก็ออกมารับแล้วถามเขาในทันที “ได้ความอย่างไรบ้าง ตระกูลกู้ว่าอย่างไร”
เซียวลิ่วหลังถ่ายทอดคำพูดทั้งหมดของนายใหญ่กู้ให้ฟัง
“เป็นที่ดินของวัดนี่เอง…” เจ้าของร่างเดิมไม่เคยไปที่วัดแห่งนั้น ไม่สิ หากเป็นไปตามที่นายใหญ่กู้บอกว่านางเกิดที่วัดแห่งนั้น เช่นนั้นก็แปลว่าเคยไปมาก่อน “ไม่ได้บอกหรือว่าราคาประมาณเท่าไหร่”
“ไม่ได้บอกแน่ชัด แต่ร้อยตำลึงอาจจะไม่พอ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
“อ๋อ ข้ายังพอมีอยู่” กู้เจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะล้วงถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางลงบนโต๊ะ
หญิงชราที่แทะเมล็ดทานตะวันอยู่หยุดชะงักลง
ทว่านั่นยังไม่จบ กู้เจียวหยิบออกมาถุงแล้วถุงเล่า ถุงแล้วถุงเล่า
หญิงชราและเซียวลิ่วหลังตกตะลึงพร้อมกัน ถุงเงินพวกนี้รวมกันแล้วมีประมาณยี่สิบสามสิบตำลึงได้ นางไปหามาจากไหนกัน
เซียวลิ่วหลังตั้งสติก่อนเอ่ยถาม “เป็นเงินที่เจ้าได้มาจากการขายของป่าทั้งหมดเลยหรือ”
“ใช่” กู้เจียวพยายามเบิกตาโพลง ปั้นสีหน้าจริงจัง “มิใช่ได้มาเพราะรีดไถหรอกนะ!”
เซียวลิ่วหลัง “…”
…
ในสมัยโบราณแบบนี้เหล่าบัณฑิตไม่มีวัดหยุดมากนัก นอกจากวันหยุดทุกสิบวันแล้ว ก็มีวันหยุดช่วงเก็บเกี่ยว วันหยุดเย็บถ้าเดือนเก้า แล้วก็มีวันหยุดสิ้นปีในเดือนสุดท้ายไปจนถึงและวันหยุดปีใหม่ในเดือนแรก
เดิมทีวันหยุดสิ้นปีมักจะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนสุดท้าย แต่ปีนี้กลับยืดมาถึงช่วงครึ่งเดือนหลัง และด้วยเพื่อที่จะได้หยุดปีใหม่เร็วขึ้น ครึ่งเดือนต่อไปจึงไม่มีวันหยุด
กู้เจียวไม่ได้หวังให้เซียวลิ่วหลังลาเรียนจากสำนักบัณฑิตเพื่อมาทำธุระเรื่องนี้ เพราะอย่างนั้นนางจึงตัดสินไปเดินทางไปที่วัดเอง
นึกถึงอุบัติเหตุเกวียนคว่ำเมื่อคราวก่อน คราวนี้กู้เจียวไม่ได้วางอาหารให้หญิงชราไว้ในหม้อ แต่กลับไปที่
บ้านเซวียหนิงเซียง เพื่อรบกวนขอให้นางช่วยดูแลหญิงชราให้แทน
“ท่านย่าเจ้า…”
“โรคของนางดีขึ้นมาแล้ว ไม่แพร่เชื้อแล้ว”
“เอ่อ ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น”
เรื่องที่เซวียหนิงเซียงช่วยนางโกหก เหตุใดกู้เจียวจะไม่รู้ นางย่อมเดาออกว่าเซวียหนิงเซียงสงสัยเรื่องอะไร
แต่เซวียหนิงเซียงก็ไม่ได้แจ้งเรื่องต่อทางการ และก็ไม่ได้รังเกียจนาง
เซวียหนิงเซียงไม่ได้ถามว่ากู้เจียวรักษาโรคเรื้อนให้นางได้อย่างไร นางแค่เชื่อกู้เจียวก็เพียงพอแล้ว “วางใจเถิด ข้าจะดูแลท่านย่าเจ้าเอง”