สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 41 ตามลำพัง
กู้เจียวคาดไม่ถึงเลยว่าชาติก่อนของตัวเองจะเคยผ่านทั้งการสอบเข้ามหาลัย สอบปริญญาโท กว่าจะผันตัวเองให้กลายเป็นคนหัวกะทิได้ พอได้โอกาสมาเกิดใหม่ก็ต้องมาเริ่มต้นเรียนใหม่ แถมเป็นด้านที่นางไม่ถนัดเอาเสียเลย นั่นก็คือ พู่กันจีน
กู้เจียวรู้สึกตัวหดขึ้นมาในทันใด ราวกับร่างกายเริ่มรับไม่ไหว
แม้เขาว่ากันว่า คนเรางามแค่ภายนอกอย่างเดียวไม่พอ ต้องเสริมภายในด้วย แต่นางไม่อยากฝึกพู่กันจีนนี่นา ไม่ ไม่ ไม่เด็ดขาด!
“เริ่มจากเขียนชื่อของเจ้าก่อนเลย” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
เสียงที่เริ่มแตกหนุ่มของเขาบ่งบอกว่าเขากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เสียงเดิมที่เหมือนกับเป็ดตัวผู้ของเขานั้นได้หายไปแล้ว และกลับกลายเป็นว่าได้เสียงที่นุ่มทุ้มน่าฟังเข้ามาแทนที่
กู้เจียวรู้สึกหมดแรงจะต่อต้าน พลางเบิกตาโตมองตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปบนกระดาษ
ลายมือของเขาไม่เหมือนกับตอนนั้นที่เขาเซ็นหนังสือยินยอม ดูประณีตขึ้นมาก
แต่อย่างไรก็ตาม กู้เจียวก็อ่านไม่ออกอยู่ดี
กู้เจียวที่อยู่ตรงข้ามกับเซียวลิ่วหลัง พอมองจากมุมของนาง ทำให้ตัวอักษรนั้นกลับหัว เซียวลิ่วหลังจึงหันกระดาษไปทางนางเพื่อให้นางเห็นชัด
จากนั้นเขาก็เขียนลายเส้นและลำดับการขีดบนกระดาษทีละนิด
กู้เจียวพอเห็นขีดเยอะๆ พลันรู้สึกตาลาย
นี่ไม่ใช่อักษรจีนตัวเต็มหรืออักษรทางการ อักษรตัวพิมพ์เล็กหรือตัวพิมพ์ใหญ่ แต่เป็นแบบอักษรที่นางไม่คุ้นเคยเลย
เซียวลิ่วหลังเห็นว่ากู้เจียวจับพู่กันอย่างทุลักทุเล ซ้ำยังมีท่าทีต่อต้าน จึงเอ่ยออกไป “เจ้าจับพู่กันไม่ถูกต้อง มือต้องขยับขึ้นไปด้านบนอีก ไม่ต้องเกร็งข้อมือให้มาก”
“แบบนี้รึ” กู้เจียวจัดท่าตามที่เขาแนะนำ
กู้เจียวใช้วิธีที่นางเคยจับปากกาเมื่อชาติก่อนมาปรับใช้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกใจคนสมัยโบราณอย่างเซียวลิ่วหลังเอาเสียเลย
“นิ้วชี้” เขาเอ่ย
“ยังไงนะ” กู้เจียวสงสัย
เซียวลิ่วหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นปลายนิ้วที่เรียวยาวราวกับหยกออกมา แล้วค่อยๆ ดันนิ้วชี้ขึ้น
ถ้าเป็นสถานการณ์อื่น กู้เจียวคงคิดว่าเขากำลังจับมือนางอยู่แน่ๆ แต่นี่เขากำลังสอนนางหัดเขียนพู่กันจีน พวกเขากำลังเข้าบทเรียนด้วยกัน กู้เจียวจึงได้แต่ตั้งใจฟังเขา
กู้เจียวถอดรองเท้าออก แล้วขยับเข้าไปนั่งตรงหน้าเขา ค่อยๆ ฝึกจับพู่กันอย่างตั้งอกตั้งใจจนเริ่มคล่องมือ
ขณะเดียวกัน เซวียหนิงเซียงรอกู้เจียวอยู่ตรงห้องโถง พลางนึกในใจ ทำไมนางถึงไปนานขนาดนี้ เนื้อความจดหมายนั่นก็ดูจะไม่ได้เขียนอะไรเยอะแยะมากมาย เหตุใดจึงใช้เวลานานกันนะ
เซวียหนิงเซียงหารู้ไม่ว่าสองคนนั้นน่ะลืมเรื่องจดหมายไปสนิทเลย คนหนึ่งอ่านหนังสือ ส่วนอีกคนกำลังหัดเขียนอักษร
เซียวลิ่วหลังเข้ามาจัดท่าจับพู่กันให้นางบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนนางจะเขียนออกมาสวยหรือไม่นั้น เขาไม่ได้คาดหวังตรงนั้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกของนาง แค่ไม่ให้เขียนออกนอกพื้นที่กระดาษก็นับว่าเก่งแล้ว
ถ้ากู้เจียวรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เกรงว่าจะโกรธเสียจนเดินสะบัดสะบิ้งออกไป นางเป็นถึงนักวิชาการหัวกะทิจากอนาคต มีหรือที่คนอย่างนางมาจับพู่กันเป็นครั้งแรกน่ะ!
ความทรงจำของกู้เจียวยังคงอยู่ดี นางสามารถเขียนคำที่ซับซ้อนเหล่านั้นได้เพียงครั้งเดียว เพียงแต่ลายมือของนางนั้นหวัดเสียจนทนดูไม่ได้
ในสายตาของเซียวลิ่วหลัง นางก็คือเด็กน้อยฝึกหัด
ตอนเขาอายุสองขวบเขาสามารถเขียนหนังสือออกมาได้ดีกว่านางเสียด้วยซ้ำ
ทั้งสองคนอยู่ในห้องเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว และในที่สุด หญิงชราก็มาหากู้เจียวด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ แต่กลับพบว่าทั้งสองคนกำลังเขียนหนังสืออยู่ในห้อง
หญิงชราไม่ได้เข้าไปดูแต่อย่างใด แต่แอบสอดแนมอยู่ด้านนอก พลางเหลือบไปเห็นกระดาษสีแดงเข้าให้พอดี
นางจึงมั่นใจว่าพวกเขากำลังทำชุนเหลียน “เขียนชุนเหลียนรึ อ๋อ ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันการ เขียนเสร็จแล้วเรียกข้าด้วย”
นี่นางจะติดชุนเหลียนหรือนี่
นี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ถูกจังหวะอย่างเหมาะเหม็ง ในเมื่อหญิงชราก็เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้น ก็มาเขียนคำอวยพรสำหรับวันตรุษจีนกันดีกว่า!
“เดี๋ยวข้าตัดกระดาษเอง!” กู้เจียวรีบวางพู่กันลง แล้วรีบไปหากรรไกร
ต้องขอบใจหญิงชราที่เข้ามาช่วยได้ทันเวลา! ให้กู้เจียวฝึกต่อไป มีหวังนิ้วได้เปื่อยก่อนแน่นอน!
เซียวลิ่วหลังมองไปทีกกระดาษสีแดงที่วางอยู่เบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย
แต่เมื่อเห็นกู้เจียวลงมือตัดกระดาษอย่างเรียบร้อย เขาจึงหยิบปากกาขึ้นมาและร่างคำอวยพรขึ้นมา
“เขียนให้เสี่ยวเซวียด้วยสิ” หญิงชราเอ่ย
หลังจากที่หญิงชราพูดเรื่องนี้ จู่ๆ ทั้งสองก็นึกเรื่องจดหมายของเซวียหนิงเซียงได้ซะงั้น นี่มัน…น่าอายใช่ย่อยเลยนะ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม กู้เจียวก็นำจดหมายและคำอวยพรที่เขียนโดยเซียวลิ่วหลัง รวมทั้งขนมหม่าถังและขนมเกาลัดยกไปที่เรือนของเซวียหนิงเซียง
“เหตุใดถึงเยอะขนาดนี้ล่ะ” เซวียหนิงเซียงตกตะลึง
แน่นอนว่ากู้เจียวไม่ได้บอกว่าตนมาที่นี่เพื่อแสดงคำขอโทษ พลางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ใกล้จะถึงวันส่งท้ายปีเก่า หญิงชราขอให้ข้านำนี่มาเจ้า มีทั้งคำอวยพรตรุษจีน รวมถึงขนมหม่าถังและขนมเกาลัด เอาไว้ให้ลูกชายและยายเฒ่าที่เรือนเจ้านะ”
เซวียหนิงเซียงรีบเอ่ยขอบคุณ
“เมื่อครู่นี้…” กู้เจียวลังเลอยู่สักพัก แต่ก็ตัดสินใจว่าจะอธิบายให้นางฟัง
ใครจะไปคาดคิดละว่าเซวียหนิงเซียงไม่เพียงแต่ยิ้มมีเลศนัย แถมยังส่งสายตาเจ้าเล่ห์ราวกับตัวเองเข้าใจอย่างถ่องแท้ให้กู้เจียวอีกด้วย
กู้เจียวนึกในใจ เจ้าจะไปรู้อะไร!
เซวียหนิงเซียงก็เป็นแค่แขกผู้มาเยือน ในเมื่อสามีภรรยาอยู่ในห้องสองต่อสองอย่างนั้น จะให้นางทำเช่นไรได้ล่ะ
อย่างนางจะโกรธเรื่องแบบนี้ได้ยังไง เหตุผลที่เซวียหนิงเซียงเดินจากไปอย่างเงียบๆ คือหลีกเลี่ยงการเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นและได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินต่างหากล่ะ
“นั่นสินะ…” นางกระซิบกับกู้เจียว “คราวหน้าอย่าลืมปิดประตูล่ะ”
นางต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่นอน…
ลุงเขยของเซวียหนิงเซียงกล่าวในจดหมายว่าเขาทำการกุศลเล็กๆ น้อยๆ ที่ชายแดน และกลายเป็นหัวหน้ากองทหาร และได้รับรางวัลเป็นเงินสิบตำลึง รางวัลทั้งหมดถูกส่งกลับไปยังเซวียหนิงเซียง เขาขอให้นางช่วยดูแลแม่สามีและบุตรชายโดยที่ไม่ต้องทรมานตนเองมากเกินไป
ต่อไปเดี๋ยวเขาก็ทำงานได้เงินมาอีก จึงสั่งให้นางไม่ต้องมัธยัสถ์มากนัก
ลุงเขยคนนี้ไม่เลวแฮะ
กู้เจียวถามหนิงเซียงว่านางต้องการจะตอบจดหมายไหม แต่นางกลับส่ายหัว ช่วงปีใหม่ไม่มีใครเขาทำงานกันแล้ว ก็เลยไม่สามารถส่งจดหมายไปได้
หลังจากที่กู้เจียวมอบของให้เซวียหนิงเซียงเสร็จก็กลับเรือน เซวียหนิงเซียงรับของไว้แค่กระดาษคำอวยพรตรุษจีนมาแค่แผ่นเดียวเท่านั้น เนื่องจากมันมีราคาสูงมาก
กู้เจียวจึงอธิบายไปว่าไม่ได้ซื้อจากข้างนอก แต่เซียวลิ่วหลังเขียนเองกับมือ พลางเสริมว่า “ที่แพงน่ะ คือกระดาษ” ซึ่งเฝิงหลินเป็นคนซื้อกระดาษมาให้ตั้งมากมาย กู้เจียวไม่ได้สนใจเรื่องราคา พอถามเซียวลิ่วหลังนางถึงได้รู้ว่ากระดาษที่นำมาเขียนคำอวยพรแบบนี้นั้นมีราคาสูงกว่ากระดาษทั่วไปหลายเท่า
“ปกติแล้วมันไม่ได้แพงขนาดนั้น แต่ราคาจะเพิ่มขึ้นในช่วงปีใหม่” เซียวหลิ่วหลังอธิบาย
“ถ้าอย่างนั้น…ครอบครัวของเฝิงหลินเป็นพวกคนมีฐานะรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
เซียวลิ่วหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหัว “ข้าไม่เคยถามเขา แต่น่าจะ…ไม่ขนาดนั้นกระมัง”