สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 42 ส่งท้ายปีเก่า
สภาพเรือนของเฝิงหลินอาจกล่าวได้ว่าดีกว่าอดีตของเซียวลิ่วหลังเพียงแค่เล็กน้อย พูดได้ไม่เต็มปากว่าดีขนาดนั้น ดูได้จากเสื้อผ้าการกินประจำวันของเขา
แต่พอเป็นเรื่องของเซียวลิ่วหลัง เฝิงหลินพร้อมจ่ายได้ทุกอย่างเพื่อเขา ยกตัวอย่างกระดาษสีแดงที่แผ่นนึงก็ปาเข้าไปสิบอีแปะแล้ว ถ้าซื้อไปสิบกว่าอันก็แทบจะใช้เงินไปครึ่งตำลึงเงินแล้วนะนั่น
โดยปกติเขาแล้วเขามักจะกินหมั่นโถวกับผักดองที่สำนักบัณฑิตมาตลอด
หิมะเริ่มตกตอนช่วงโพล้เพล้
เฝิงหลินอยู่ที่สำนักบัณฑิตคนเดียว
แสงไฟสลัวจากตะเกียงอันเดียวไม่เพียงพอต่อการอ่านหนังสือของเขา ครั้นจะไปจุดตะเกียงอีกดวงก็เสียดายน้ำมัน
ลมหนาวที่พัดลอดเข้ามาทางช่องประตูทำเอาเขาตัวสั่น
เฝิงหลินไม่ได้จุดเตาฟืนไว้ หนึ่งเพราะสำนักบัณฑิตไม่ให้จุดแล้ว และสอง เขารู้สึกว่ามันสิ้นเปลือง
หอพักที่นี่ห้องหนึ่งนอนกันสี่คน ปกติทุกคนจะอยู่กันพร้อมหน้า ตอนอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้รู้สึกหนาวอย่างใด แต่พอได้มาอยู่ตัวคนเดียว กลับกลายเป็นว่าความหนาวทั้งหมดถาโถมเข้ามายังท้องของเขา
นี่เป็นการฉลองปีใหม่ปีแรกที่เขาไม่ได้กลับบ้าน
เขาคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงน้องสาว แต่จะให้กลับไปก็ยังกลับไม่ได้
เนื่องจากบ้านเขาอยู่ไกล การไม่กลับบ้านครั้งนี้ทำให้เขาประหยัดค่าเดินทางไปได้เยอะ และที่สำคัญก็คือเขาต้องมุ่งมั่นกับการอ่านหนังสือ
ครอบครัวของเขาเป็นรุ่นที่สามของตระกูล และมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นบุตรชาย ทั้งพี่สาวและน้องสาวของเขาต่างคาดหวังให้เขาเรียนหนังสือสูงๆ ส่วนพวกเขาคนนึงไปแต่งงานกับพ่อหม้าย อีกคนแต่งงานกับชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้านน้ำชา
พวกนางยอมสละชีวิตครึ่งหนึ่งของตนเพื่อเขา ฉะนั้นแล้ว เขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ขยัน และเขาจะต้องได้ดีกลับบ้าน
หลังจากที่เรียกพลังให้ตัวเองด้วยการปล่อยหมัดและทำเสียงฮึกเหิมแล้ว เฝิงหลินก็รีบคลุมโปง จากนั้นก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
แปลกแฮะ ใครกันมาเคาะหาเขาในเวลาดึกๆ ดื่นๆ ขนาดนี้
สำนักบัณฑิตกำลังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน ทุกคนพากันกลับบ้านไปหมดแล้ว พวกอาจารย์ก็เช่นกัน
ทั้งสำนักบัณฑิตเหลือแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“หรือว่าจะเป็นผี…” เขาเริ่มกลัวจนหน้าซีด กอดผ้าห่มแน่น พลางตะโกนตอบ “ใคร…ใครน่ะ”
“ข้าเอง”
เสียงสตรีอันคุ้นเคยดังลอดเข้ามา
เฝิงหลินสะบัดผ้าห่มออก ใส่รองเท้า แล้วเดินไปเปิดประตู ก็พบกับกู้เจียวที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยหิมะ ดูแล้วน่ากลัวยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก!
ที่นี่มันหอพักชายล้วนนะ!
เหตุใดสตรีอย่างนางจู่ๆ ถึงเข้ามาในนี้ได้!!!
“เจ้ามาได้อย่างไร หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับท่านพี่เซียว” แน่นอนว่าเขาคิดอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเรื่องนี้แล้ว เฝิงหลินไม่รอคำตอบกู้เจียว เขารีบคว้าเสื้อคลุมมาใส่ พลางเอ่ย “ท่านพี่เซียวอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่เรือน” กู้เจียวเอ่ย
เฝิงหลินไม่รอช้า รีบเดินออกจากห้อง
พอเห็นท่าทีรีบร้อนของเขา กู้เจียวจึงเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ไม่มีรถม้านะ”
ช่วงเทศกาลปีใหม่ บวกกับเจอพายุหิมะ ทั้งรถเกวียนและรถม้าไม่สามารถวิ่งได้
เฝิงหลินเอ่ยตอบอย่างไม่ทันคิด “ไม่มีรถม้าแล้วยังไง เดินไปไม่เป็นรึ เร็วเข้าสิ!”
“อืม”
คนที่เดินไม่ไหวแน่นอนว่ามิใช่นาง
สมรรถภาพร่างกายของเฝิงหลินเทียบกู้เจียวแทบไม่ติด ตลอดทางที่เดินมา กู้เจียวไม่ได้มีท่าทีหอบหน้าแดงแต่อย่างใด ส่วนเฝิงหลินนั้นหมดแรงจนเกือบจะได้คลานลงไป
กว่าจะเดินทางมาถึงที่เรือน เฝิงหลินแทบอยากจะตัดขาตัวเองทิ้ง
เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีดันประตูให้เปิดออก พอมองเข้าไป เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เซียวลิ่วหลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ในห้องนั่งเล่น พลางมองหญิงชรากำลังสอนกู้เสี่ยวซุ่นตัดกระดาษ ดูๆ แล้ว ใบหน้าของท่านพี่เซียวก็ดูอิ่มเอมดีมีเลือดฝาด ไม่เห็นจะเหมือนคนไม่สบาย
“กลับมาแล้วรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทักทายพวกเขา
“เสี่ยวเฝิงมาแล้วหรือ รีบเข้ามานั่งเร็ว!” หญิงชรารีบโบกมือทักทาย
กู้เสี่ยวซุ่นไม่ชอบขี้หน้าเฝิงหลินตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่วันนี้เขากลับไม่กลอกตาใส่เขา
เฝิงหลินทำหน้าไม่เข้าใจ พลางมองไปที่กู้เจียว “ไม่สิ ท่านพี่เซียวเขาไม่ได้…”
กู้เจียวทำท่าแบมือ พลางเอ่ย “ก็เจ้าพูดเองเออเองอยู่คนเดียว ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย”
“…”
“…”
ไฉนเมื่อก่อนเขาไม่เคยสังเกตเลยว่านางเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดนี้
เป็นปีแรกที่เฝิงหลินอยู่ไกลบ้านและได้อยู่ฉลองตรุษจีนที่เรือนของกู้เจียวและเซียวลิ่วหลัง ต่อให้มีคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าอย่างกู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นอยู่ด้วย แต่ไม่รู้สึกว่าเสียบรรยากาศอย่างใด กลับเข้าขากันได้ดีเสียด้วยซ้ำ
กู้เจียวห่อเกี๊ยวตามธรรมเนียมหมู่บ้าน ทั้งยังทำขนมกุ้ยฮวาตามธรรมเนียมที่บ้านเกิดของเฝิงหลินและเซียวลิ่วหลัง พอเขาได้ลิ้มลองรสชาติของบ้านเกิด น้ำตาก็เริ่มเอ่อล้น
ไม่ใช่เพราะซึ้งใจอะไรหรอก แต่เป็นเพราะ มันอร่อยมากจริงๆ !
อ๋า!
นางสะใภ้ปีศาจนี่ไม่ใช่คนพื้นที่นี่นา ไฉนถึงทำขนมกุ้ยฮวาออกมาได้หอมอร่อยขนาดนี้!
เฝิงหลินกินไปก็น้ำตาไหลไป
แรกเริ่มเขารู้สึกซาบซึ้งในรสชาติอันโอชะของขนม สักพักความรู้สึกคิดถึงบ้านก็เริ่มผุดเข้ามาในหัว
เขาคิดถึงพี่สาวน้องสาวรวมถึงพ่อแม่ที่อายุเริ่มชรา
เนื่องจากปีนี้เขาไม่ได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้าง
กู้เสี่ยวซุ่นพอเห็นว่าเฝิงหลินร้องไห้อย่างหนักหน่วง ก็เกิดใจดีแบ่งขนมส่วนของตนเองแล้วยกให้เขาแทน
เป็นการฉลองวันสิ้นปีที่คึกคักยิ่ง ทั้งเฝิงหลินและกู้เจียว ต่างก็มองเช่นนั้น
ช่วงวันก่อนขึ้นปีใหม่ของกู้เจียวเมื่อชาติที่แล้วมักจะเป็นช่วงเวลาที่อยู่ฉลองคนเดียวในองค์กร พอโตขึ้นนางก็เปลี่ยนจากสถานะหนูทดลองและย้ายไปอยู่อีกห้องหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังคงต้องอยู่คนเดียวอยู่ดี
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นเองทุกครั้งจะฉลองปีใหม่กับพวกตระกูลกู้ที่เต็มไปด้วยคน แต่กลับไม่มีใครสนใจกู้เสี่ยวซุ่น คืนนี้เขาจึงแอบหนีออกมา และเขามั่นใจมากว่าไม่มีใครสังเกตเห็นได้อย่างแน่นอน
ส่วนหญิงชรานั้นจำไม่ได้แล้วว่าแต่ก่อนเคยฉลองปีใหม่อย่างไร คิดเพียงว่าปีนี้ได้ฉลองอย่างมีความสุขก็พอแล้ว ทั้งยังออกโรงแปะป้ายอวยพรด้วยตนเอง ไหนจะสอนเด็กน้อยอย่างกู้เสี่ยวซุ่นตัดกระดาษ ซึ่งแน่นอนว่าฝีมือของเขาช่างไม่เอาไหนเสียเลย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ทำให้หัวใจของนางพองโตยิ่ง! นอกจากนี้ เจียวเจียว
ยังอนุญาตให้นางกินบ๊วยหวานได้ตั้งห้าลูก ทั้งที่ปกติกินได้แค่สองลูกเท่านั้น
ส่วนเซียวลิ่วหลังนั้นแลดูสงบนิ่ง เดิมเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบแสดงสีหน้าท่าทางหลากหลายแต่อย่างใด
แต่กู้เจียวกลับสังเกตเห็นท่าทีเซื่องซึมของเขาที่ดูจะมากกว่าปกติ
ทุกคนอยู่ฉลองด้วยกันจนดึก
ทั้งเรือนมีอยู่แค่สามห้อง จะให้หญิงชรานอนเบียดกับคนอื่นก็คงไม่ไหว กู้เจียวจึงจัดแจงห้องของเซียวลิ่วหลังยกให้เฝิงหลินพักชั่วคราว
แม้เฝิงหลินกับเซียวลิ่วหลังจะสนิทกันแค่ไหน แต่เฝิงหลินไม่มีทางล่วงรู้ได้ว่าสองคนนั้นจนถึงตอนนี้
ยังไม่เคยนอนห้องเดียวกัน เขาจึงอยู่ค้างอย่างไม่รู้สึกเกรงใจ
หากนับคืนนั้นที่จุดพักแรม ครั้งนี้คงเป็นครั้งที่สองที่พวกเขานอนห้องเดียวกัน เตียงของกู้เจียวมีพื้นที่กว้างกว่าเตียงที่จุดพักแรมหลายเท่า ผ้านวมเองก็หนานุ่มกว่าด้วย
คืนก่อนปีใหม่ไม่มีใครดับไฟกัน ไฟที่หัวเตียงจึงส่องสลัว
ทั้งสองนอนขดอยู่ใต้ผ้านวมของแต่ละคน เซียวลิ่วหลังหลับตาลง แต่กู้เจียวรู้ว่าเขายังไม่หลับ
“ปีนี้ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” กู้เจียวเอ่ยถาม
กู้เจียวไม่รอคำตอบคนข้างๆ พลางยื่นมือเข้าไปกุมมือที่แข็งทื่อและเย็นเฉียบของเขา
“ปีหน้าจะต้องยิ่งกว่านี้แน่นอน”