สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 51 ประหลาดใจ
ในวันถัดมา กู้เจียวแทบไม่ได้ออกไปไหน เลยเรียนเขียนหนังสือกับเซียวลิ่วหลังและคอยดูอาการฟื้นฟูร่างกายของเขา
เซี่ยวลิ่วหลังไม่สนใจว่าเขาจะสามารถกลับมาเดินได้อย่างปกติอีกหรือไม่ ซึ่งในจุดนี้ กู้เจียวสังเกตเห็นตั้งแต่แรกตอนที่ผ่าตัดให้เขา แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ถึงได้ชินชาและไม่ได้มีท่าทีอยากออกไปใช้ชีวิตให้สนุกแบบใครเขาเลย
เฝิงหลินเป็นห่วงว่าเขาจะได้รับผลกระทบหลังผ่าตัด แต่เขากลับตอบตกลงที่จะเข้ารับผ่าตัดอย่างไม่
เกรงกลัวสิ่งใด นี่ไม่ใช่ความกล้า แต่เป็นความปลงกับชีวิตแล้วต่างหาก
ยังไงเสีย กู้เจียวไม่ปล่อยให้เขาตาย และไม่ยอมให้เขาพิการไปตลอดชีวิตด้วย
“ถึงเวลาทำกายภาพแล้ว” หลังเก็บห้องเสร็จ กู้เจียวเดินเข้ามาเรียกเซี่ยวลิ่วหลังที่ห้อง
จนถึงตอนนี้ นางไม่ได้มองว่าตนเป็นคนนอกอีกต่อไป เลยไม่คิดจะเคาะประตู
เซียวลิ่วหลังทำหน้าไม่พอใจ
ไม่ใช่เพราะนางไม่เคาะประตูก่อน แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากทำกายภาพนะสิ!
กู้เจียวรู้ว่าเขาจะต้องเป็นแบบนี้ จึงพยายามอุดช่องโหว่ไม่ให้เขาปฏิเสธทำกายภาพ ด้วยการเดินไปลากตัวเขาออกมา! ทั้งเข้าๆ ออกๆ โดยไม่ขออนุญาตก่อน ไหนจะดึงๆ ลากๆ เขาตามอำเภอใจเช่นนี้ ไม่ล้ำเส้นเกินไปหน่อยหรือ!
เซียวลิ่วหลังได้แต่บ่นในใจ สุดท้ายเขาก็แพ้อยู่ดี และถูกนางลากตัวออกไป
“ไม้เท้าล่ะ” เซี่ยวลิ่วหลังเอ่ย
กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น พลางเอ่ย “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ต้องใช้ไม้เท้าแล้ว”
เซียวลิ่วหลังถลึงตาใส่นาง พลางเอ่ยเสียงเบา “ข้าเดินไม่ไหวหรอก ถ้าไม่มีไม้เท้า”
กู้เจียวยืนกอดอก ทำท่าขึงขัน “เดินไม่ไหว เดี๋ยวข้าพยุงเจ้าเอง ข้าเป็นไม้เท้าให้เจ้ายังไงล่ะ!”
คิดหรือว่านางจะดูไม่ออก ทุกครั้งที่เขาพาไม้เท้ามาทำกายภาพ มันไม่ได้ช่วยให้อาการของเขาดีขึ้นเลย น้ำหนักของร่างเขาถูกถ่ายลงไปที่ไม้เท้าเสียหมด กล้ามเนื้อเท้าข้างขวาแทบไม่ได้ถูกใช้งาน
เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้วเป็นปม
กู้เจียวหัวเราะเย้ย “อยากได้ไม้เท้า ก็เดินไปหยิบเองสิ”
ก็เท้าไม่มีแรงจะให้ทำไง คลานไปหยิบรึไง
เซียวลิ่วหลังพอนึกภาพตัวเองคลานกะเผลกไปหยิบไม้เท้า ก็ล้มเลิกความคิดทันใด!
กู้เจียวดับฝันของเซียวลิ่วหลังที่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยฝึกกายภาพเข้าเสียแล้ว
เขาทำใจที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนไม้เท้าได้ แต่เขาไม่อาจยืนค้ำร่างบางอย่างกู้เจียวได้เลย นั่นก็เพราะ…
“คุณท่าน อย่าเอาแต่เกาะข้า ต้องออกแรงเองบ้างสิ”
“ใช่แล้ว แบบนี้แหละ!”
“ออกแรงอีกหน่อยสิ! ร่างข้าแทบจะจมดินแล้วเนี่ย!”
“เรื่องแบบนี้ เจ้าอย่าเอาแต่หวังพึ่งผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างข้าคนเดียวสิ!”
เซียวลิ่วหลังกัดฟัน “…ยืม ขอยืมแรงเท่านั้นเองน่า!”
นี่เขาปล่อยให้ตัวเองโดนพูดจนเสียๆ หายๆ ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว นางจะไม่หุบปากหน่อยรึ!
เซียวลิ่วหลังถูกบังคับให้เดินด้วยลำแข้งตัวเอง แต่ก่อนให้เดินไปกลับสิบกว่าก้าวยังพอไหวไม่เหนื่อยหอบ แต่ตอนนี้ให้ลองทำแบบนั้นอีกก็ชักจะเริ่มไม่ไหว มิหนำซ้ำกู้เจียวยังตั้งกฎให้เขาว่าวันนึงต้องเดินไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยก้าว
พอครบร้อยก้าว ร่างของเซียวลิ่วหลังเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม
กู้เจียวหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดให้ “คุณท่าน รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยใช่ไหมล่ะ ราวกับโดนรถม้าทับ เหนื่อยจนไม่มีแรง มือยกไม่ขึ้นโงหัวไม่ไหว ขาสองข้างสั่นระริก…”
“…”
ในที่สุดเซียวลิ่วหลังก็ผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ ดีล่ะ ถึงตาเขาเอาคืนบ้าง
“วันนี้เจ้าฝึกเขียนแล้วหรือยัง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเคร่งขรึม
กู้เจียวจากที่เมื่อครู่ยังระริกระรี้อยู่ พอลิ่วหลังทักเข้าก็เปลี่ยนเป็นตัวแข็งทื่อเสียอย่างนั้น
เซียวลิ่วหลังรู้สึกได้ถึงความสุขแห่งการเอาคืน พลางหรี่ตามองร่างเล็ก “เจ้าให้ข้าเดินไปมาทั้งวัน แต่ตัวเองกลับไม่ฝึกเขียนตัวอักษรเนี่ยนะ มีคลังคำอีกหนึ่งร้อยคำที่เจ้ายังไม่ได้ฝึกเขียนนะ รวมของเมื่อวานด้วย”
กู้เจียวยกมือขึ้นกุมขมับ ทำหน้าปวดใจ!
นางไม่ชอบเขียนพู่กันจีน! โดยเฉพาะคำที่มีส่วนประกอบเยอะๆ แบบนั้น!
เซียวลิ่วหลังกระแอมเสียงดัง พลางเอ่ย “หากวันนี้เจ้ายังไม่เริ่มลงมือ พรุ่งนี้จะเพิ่มเป็นสองเท่า เท่ากับว่าเจ้าต้องเขียนอีกสองร้อยคำ”
กู้เจียวตบเข่าแล้วกระแทกด้ามพู่กันลง “เช่นนั้นพรุ่งนี้ เจ้าเดินอีกสองร้อยก้าวสิ!”
“ข้าไม่เดิน”
“งั้นข้าก็ไม่เขียน!”
“ตามใจเจ้า”
“…”
นางเขียนหนังสือได้หรือไม่นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาใหญ่คือเขาต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ไม่เช่นนั้น มีหวังได้กลายเป็นไอ้ขาเป๋ไปตลอดชีวิตแน่ๆ
แต่เซียวลิ่วหลังกลับไม่สนใจว่าตัวเองจะเดินได้หรือไม่ได้ เขาชำเลืองไปที่กู้เจียว พลางทำหน้าราวกับผู้ชนะแล้วเดินเข้าห้องไป
ที่จริงเซียวลิ่วหลังรู้ว่านางไม่ชอบเขียนพู่กันจีน ที่ตอนนั้นนางตื่นเต้นเรื่องตัวหนังสือบนตำรับยา อาจเป็นเพียงแค่ความสนใจชั่ววูบเท่านั้น พอได้ลองเรียนเข้าจริงกลับขยาดซะงั้น
เขาค่อนข้างมั่นใจว่ากู้เจียวไม่ยอมแน่ๆ
ใครจะรู้ล่ะว่า พอวันรุ่งขึ้น นางจะขึ้นมาบนเตียงเขาแล้วนั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงราวกับแมวที่พองขน แถมยังจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาอาฆาตพร้อมทั้งรอยคล้ำใต้ตาราวกับคนอดนอน
“เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ” เซียวลิ่วหลังมองเหวอ ไม่รู้ว่านางมานั่งตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว อย่าบอกนะว่า มานั่งจ้องเขาทั้งคืนจนไม่นอนเลยน่ะ
กู้เจียวถอนหายใจ มือพลางคว้าสมุดคัดเล่มหนาของนาง แล้วโยนลงไปต่อหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“เอ้านี่! ข้าเขียนเสร็จแล้ว!”
เซียวลิ่วหลังชำเลืองตัวอักษรเหล่านั้น สลับกับมองใต้ตาคล้ำของนาง จากนั้นขมวดคิ้วเอ่ยถาม “อย่าบอกนะว่าเจ้าเอาแต่เขียนจนไม่ได้นอนเลย”
ก็ดูจำนวนคำพวกนี้สิ ดูให้เต็มตา!
“ข้าเขียนไปทั้งหมดหนึ่งพันคำ! วันนี้ เจ้าต้องเดินให้ได้หนึ่งพันก้าว!” กู้เจียวแยกเขี้ยวทำหน้าเจ้าเล่ห์ราวกับสัตว์ดุร้าย
“…”
…
ในที่สุดวันของกู้เจียวก็มาถึง ส่วนหญิงชรานั้น กิจวัตรปกติของนาง นอกจากนั่งแทะเมล็ดทานตะวัน กินขนม เล่นกับลูกของเซวียหนิงเซียงแล้ว ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ การได้ดูสองผัวเมียลับฝีปากกันนั่นเอง
“เจียวเจียว ลิ่วหลังเดินได้หนึ่งก้าวแล้ว!” หญิงชรารู้สึกสนุก
กู้เจียวถือมีดเดินออกมาจากห้องครัว
เซียวลิ่วหลังหน้าถอดสีเมื่อเห็นมีดเล่มนั้นที่ดูเหมือนจะเชือดวัวให้ตายได้ของกู้เจียว!
สาวน้อยร่างบางคนนั้นที่เคยยืนรอเขาท่ามกลางพายุหิมะหนาวเหน็บคนนั้นไปไหนแล้วนะ…
เพียงพริบตา ช่วงเทศกาลก็ได้ผ่านพ้นไป สำนักบัณฑิตเปิดภาคเรียนอีกครั้ง
เซียวลิ่วหลังตื่นแต่เช้าตรู่ เตรียมเก็บกระเป๋า
นี่ก็ผ่านมาพักใหญ่แล้ว หอพักที่สำนักบัณฑิตน่าจะซ่อมแซมเสร็จแล้ว คอยดูเถอะ เขาจะไปอยู่หอ จะได้ไม่ต้องมาทนฝึกเดินอะไรนี่อีก
ระหว่างที่เขากำลังเก็บข้าวของอยู่ กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
นางพาเขาไปส่งที่รถม้าของลุงหลัวเอ้อร์ตามเดิม พลางยื่นไม้เท้าให้เขา ก่อนจะแยกกัน เหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงทำหน้ายิ้มกริ่มแล้วเอ่ย “อ๋อ จริงสิ ช่วงนี้ยุ่งมาก ข้าเกือบลืมเรื่องนี้เสียสนิท เจ้าไปอยู่ที่สำนักบัณฑิตคงไม่ได้ฝึกเดินเท่าไหร่ ตอนที่ข้าไปเยี่ยมท่านเจ้าสำนัก ข้ารายงานอาการของเจ้าให้เขาฟังแล้ว เพราะฉะนั้น ช่วงนี้เจ้าจะยังไม่ได้ไปนอนที่หอพักหรอกนะ จนกว่าเจ้าจะ…หายดีเป็นปลิดทิ้งน่ะ”
สิ้นประโยคเมื่อครู่ของกู้เจียว ราวกับมีฟ้าผ่าลงมากลางกบาลเซียวลิ่วหลัง!
กู้เจียวเดินออกไปสักพัก ก็เจอะกับกู้เสี่ยวซุ่นพอดี
กู้เสี่ยวซุ่นขึ้นรถม้า นั่งลงข้างๆ เซียวลิ่วหลัง “พี่เขย จะแบกสัมภาระไปทำไมเยอะแยะ” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยถาม ตัวเขาเองเอาไปแค่หนังสือที่จะใช้เรียนเท่านั้น
เซียวลิ่วหลังไม่สะดวกใจที่จะบอกว่าโดนพี่สาวเขารังแก เลยถามย้อนไป “เจ้าไม่อยู่หอรึ”
กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย “ข้าจะไปอยู่ทำไมในเมื่อพี่เขยไม่อยู่! ยังไงข้าต้องอยู่กับพี่เขยอยู่แล้วนี่นา! อย่างน้อยหากเกิดเรื่องอะไรระหว่างทางจะได้ช่วยกันได้ยังไงล่ะ”
อย่างไรเสียพี่เขยก็คือคนเก่งแห่งหมู่บ้านนี่นา หน้าที่ของเขาคือต้องปกป้องพี่เขยคนนี้ให้ได้!
เซียวลิ่วหลังพยายามข่มความโกรธไว้ พลางเอ่ยถามต่อ “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อนเล่า”
“ก็ท่านพี่สาวไม่ยอมให้ข้าพูดนี่นา นางบอกว่าอยากให้ท่านประหลาดใจ!” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยพลางแบมือสองข้างออก แล้วหัวเราะ “เป็นอย่างไรล่ะพี่เขย ประหลาดใจไหมล่ะ อึ้งไปเลยใช่ไหมล่ะ”
เซียวลิ่วหลังกัดฟันกรอดๆ ตะโกนด่านางในใจ: กู้! เจียว!