สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 52 พบกันอีก
อีกฝั่งหนึ่ง กู้ต้าซุ่นกำลังเดินออกมาจากเรือนตระกูลกู้
สีหน้าของเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก
ปีใหม่ปีนี้ของตระกูลกู้ผ่านไปอย่างพังพินาศ ปกติถ้าเป็นปีก่อนๆ มักจะมีคนเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่ที่เรือน ชนิดที่ว่าบานประตูแทบพัง แต่พอมาปีนี้ที่พวกเขาได้ยินเรื่องหย่าเหมือนเลยเกิดกลัวว่าจะพลอยติดร่างแหไปด้วย ก็เลยเงียบเหงากว่าปีไหนๆ
ที่จริงพวกคนในหมู่บ้านไม่ได้คิดอะไรกับกู้ต้าซุ่นนักหรอก
พวกคนที่อาศัยในหมู่บ้านนี้มานานต่างก็รู้สันดานของแม่นางหลิวกับแม่นางโจวเป็นอย่างดี ส่วนกู้ต้าซุ่นเป็นเด็กเรียนเก่ง ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน
อนาคตของเขายังอีกไกลนัก แต่ต้องมารับชะตากรรมจากแม่แท้ๆ และญาติของตน พวกคนในหมู่บ้าน
ต่างก็รู้สึกเสียดายในความสามารถของเขา
เพียงแต่ กู้ต้าซุ่นไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าทุกคนกำลังหัวเราะเขา ดูถูกเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ทุกสายตาที่จ้องมาที่เขามีแต่ความประสงค์ร้าย
พอเขาขึ้นรถเกวียน ก็เห็นว่ากู้เสี่ยวซุ่นกับเซียวลิ่วหลังกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน
แต่ไหนแต่ไร กู้เสี่ยวซุ่นก็ไม่เคยมาตัวติดกับกู้ต้าซุ่นอยู่แล้ว ซึ่งก็ดีแล้ว แต่พอตอนนี้ เขากลับรู้สึกอับอายที่ต้องโดดเดี่ยวแบบนี้
ตลอดทางไปสำนัก ทั้งเซียวลิ่วหลังและกู้เสี่ยวซุ่นไม่ได้ยุ่งกับกู้ต้าซุ่น พวกเขาตัวติดกันจนกระทั่งเดินเข้าห้องเรียนไป มีเพียงป้ายรายชื่อลำดับคะแนนที่แขวนอยู่บนกำแพงเท่านั้นที่คลายความตหงิดใจของเขาไปได้
หึ แล้วยังไง สุดท้ายก็ไม่มีทางได้ดีหรอก
สำนักบัณฑิตต้อนรับนักเรียนด้วยการจัดสอบก่อนเรียน กู้ต้าซุ่นตั้งใจอยากสอบให้ได้ที่หนึ่งมาตลอด
แต่เหมือนเขาจะพยายามมากเกินไปหน่อย จนร่างกายและจิตใจเกิดความเครียด ส่งผลให้เขาทำข้อสอบออกมาได้ไม่ค่อยดี หลุดสิบอันดับแรกของสำนักไป
กู้เสี่ยวซุ่นยังคงเป็นที่โหล่เหมือนเดิม ที่เขายอมมาเข้าเรียนก็เพื่อให้พี่สาวสบายใจ ไม่ใช่เพื่อคะแนน เขาจึงไม่สะทกสะท้านอะไรที่สอบได้คะแนนเท่านี้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะปิดกั้นตัวเองไม่เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เลย เขาชอบวิชาแกะสลัก เซียวลิ่วหลังเคยบอกเขาว่า จุดสูงสุดของวิชาแกะสลักนั้น ไม่ใช่การแกะสลักคน หรือแกะสลักสิ่งของ แต่เป็นการแกะสลักตัวอักษร ตัวหนังสือ หากเขาเรียนซื่อชูหวู่จิงแล้วนำมาแกะสลักได้ล่ะก็ถือว่าเก่งมากๆ เลยทีเดียว
กู้เสี่ยวซุ่นจำคำของเซียวลิ่วหลังได้อย่างดี พอวันเปิดเรียน เขาไม่หลับในคาบอย่างที่ผ่านๆ มาอีกต่อไป
เขานั่งตัวตรงตั้งใจเรียน เขาจะต้องจำตัวอักษรที่อาจารย์สอนให้ได้ทุกคำ เขาตั้งใจจะเป็นนักแกะสลักมือฉมังให้ได้!
บัณฑิตที่ลาเรียนก่อนช่วงปีใหม่ ครั้งนี้เขาร่วมสอบด้วย ผลออกมาได้อันดับที่สามจากสุดท้าย
ส่วนเซียวลิ่วหลังได้อันดับรองโหล่สมใจอยาก
นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น พอวันที่สองหลังจากที่เขาทำข้อสอบเสร็จ เซียวลิ่วหลังก็ถูกเรียกตัวไปยังห้องของ
เจ้าสำนัก
พอเห็นสีหน้ายิ้มกริ่มอันเจ้าเล่ห์เพทุบายของเจ้าสำนักแล้ว เซียวลิ่วหลังก็เริ่มส่งสายตาระแวง
เจ้าสำนักทักทายเขาอย่างร่าเริง “เจ้าไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาเพื่อคุยเรื่องสอบครั้งนี้แต่อย่างใด เจ้าได้รับจดหมายการสอบระดับอำเภอแล้วใช่ไหม อีกสิบวันก็ถึงวันสอบแล้ว ข้าสัญญากับแม่นางกู้เจียวไว้แล้วว่าจะช่วยเจ้าเตรียมสอบ เพื่อเจ้าจะได้เข้าสอบซิ่วไฉได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ช่วงพักกลางวันของทุกวัน เจ้าจะต้องมาเรียนพิเศษที่นี่”
นี่เขายังไม่คิดบัญชีเรื่องที่แอบส่งชื่อเขาเข้าสอบระดับอำเภอเลยนะ ไหงสร้างเรื่องรบกวนการนอนกลางวันของเขาเพิ่มด้วยละเนี่ย
เซียวลิ่วหลังแสดงท่าทีปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้ง!
เจ้าสำนักจงใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนอารมณ์ “แม่นางเจียวเหนียงเล่าให้ข้าฟังแล้วว่า เจ้าเป็นเด็กที่ทุ่มเทมาก ทุกวันเจ้าจะอ่านหนังสือจนดึก เจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กหัวขี้เลื่อย แต่ไม่รู้ทำไมถึงสอบได้รองโหล่ทุกครั้ง อาจเป็นเพราะวิธีศึกษาของเจ้า หรืออาจเป็นเพราะเจ้าหมดไฟในการเรียน…ข้าเลยต้องมาขบคิดหาวิธีการ”
นอกจากไม่ให้พักที่หอแล้ว ยังไปแอบร่วมมือกับเจ้าสำนักอีก คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะคุยกันลึกขนาดนี้!
ใบหน้าเซียวลิ่วหลังเริ่มหมองคล้ำ
“ว่าไงล่ะ เริ่มกันเลยดีไหม” เจ้าสำนักยิ้มให้เขา
เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก จากนั้นโพล่งออกมาอย่างไม่ใยดี “ยอมแพ้เสียเถิดท่าน กระผมจะไม่เข้าร่วมการสอบระดับอำเภอเด็ดขาด!”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไปพร้อมกับไม้เท้าอย่างไม่เหลียวหลัง
…
กู้เจียวยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักบัณฑิต นางยังคิดอยู่เลยว่า วันนี้เจ้าสำนักคงกำลังติวเข้มให้กับเขาอยู่ เซียวลิ่วหลังเป็นคนหน่วยก้านดีก็จริง แต่เขาไม่สนใจเรื่องการเรียน ถ้ามีคนเก่งๆ สักคนคอยช่วยเหลือย่อมบังเกิดผลแน่นอน!
กู้เจียวนึกดีใจจากนั้นเก็บกวาดทำความสะอาดเรือน เอาผ้าไปซัก ผ่าฟืน จากนั้นเอ่ยกับหญิงชรา “ยายเฒ่า อีกประเดี๋ยวข้าจะเดินทางไปที่วัดนะ”
หญิงชราที่กำลังแทะเมล็ดทานตะวันอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถาม “ไปทำอะไรที่วัดรึ ไปขอพร
ให้พระโพธิสัตว์ดลบันดาลให้ลิ่วหลังสอบติดซิ่วไฉหรือไง”
เอ๋
กู้เจียวนิ่งไปสักพัก พลางครุ่นคิด
แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ
แม้กู้เจียวจะเป็นสายวิทย์เต็มตัว แต่ก็เคยได้ยินประโยคที่ว่าวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์เป็นของคู่กัน ไม่ใช่หรือ
ไปขอพรยังไงก็ไม่เสียหาย ขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครองคุณท่าน ให้คุณท่านสอบได้คะแนนดีๆ !
…เอาละ ที่จริงแล้ว นางตั้งใจจะไปซื้อภูเขาลูกนั้นต่างหาก
ตรุษจีนก็ผ่านไปแล้ว ลูกศิษย์คนนั้นของเจ้าอาวาสน่าจะกลับมาแล้วกระมัง
“ถ้างั้นข้าวเที่ยง ข้า…”
หญิงชราทำท่าโบกมือปัด พลางเอ่ยไล่ “เดี๋ยวเสี่ยวเซวียก็มาแล้ว เจ้ารีบไปเถอะ!”
แม้ฝีมือครัวของเซวียหนิงเซียงจะด้อยกว่ากู้เจียวก็จริง แต่หญิงชราคนนี้จัดว่าเป็นคนที่มีนิสัยกินยากมาก นางไม่ชอบทานกับข้าวที่อุ่นซ้ำ นางต้องทานอาหารที่ทำขึ้นสดๆ ใหม่ๆ เท่านั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน
กู้เจียวคิดมาตลอดว่าหญิงชราก็เป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่บางครั้งพฤติกรรมของนางก็ทำให้กู้เจียวอดคิดไม่ได้ว่าหญิงชราเป็นคนเรื่องมากหลือเกิน
เอาละ ไม่คิดเยอะแล้ว ออกเดินทางดีกว่า กู้เจียวสะพายตะกร้าขึ้นหลังแล้วเดินออกไปทางอีกฝั่งของภูเขา
พอมาถึงตีนเขา กู้เจียวเห็นรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ จึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้น นี่เป็นวันเล็กๆ ธรรมดาทั่วไปนะ ไฉนมีคนใหญ่คนโตถ่อมาถึงที่วัดแห่งนี้
กู้เจียวพยายามไม่สนใจ มุ่งหน้าไปทางยอดเขา พอนางเดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ทันใดนั้น มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งตกลงมาจากด้านบน
ที่นี่คือภูเขา ทางชันอันตราย ลื่นตกลงไปมากกว่านี้มีหวังได้ตายสถานเดียวแน่นอน
กู้เจียวคว้าร่างหญิงสาวไว้ได้ทันด้วยความไวระดับแสง
หญิงสาวพยายามม้วนตัวให้เข้าที่ก่อนจะค่อยๆ ทรงตัวได้ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองกู้เจียว กู้เจียวเองก็มองกลับ
ดวงตาสองคู่ประสานเข้ากัน จากนั้นเกิดเป็นเสียงอุทาน “เจ้าเองรึ”
ฮูหยินทำหน้าตื่นเต้นดีใจ “แม่นาง เจ้าช่วยข้าไว้อีกแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยถามกลับ “ทำไมต้องเกิดเรื่องทุกทีที่ข้าเจอท่าน”
ฮูหยินยิ้มให้ด้วยความเขินอาย
กู้เจียวสังเกตเห็นว่าหน้าผากของฮูหยินบวมแดง รวมถึงที่หัวเข่าของนางมีรอยเลือดซิบ จึงเอ่ยถาม “นี่ท่านคุกเข่าก้มหัวมาตลอดทางเลยรึ”
“ใช่” ฮูหยินพยักหน้า “ข้าขอพรให้พระโพธิสัตว์ปกป้องลูกชายข้า แล้วข้าก็ได้ตามที่ขอ เลยมาแก้บนน่ะ”
กู้เจียวเองก็คิดจะมาขอพรพระโพธิสัตว์ให้เซียวลิ่วหลังสอบซิ่วไฉได้ แต่ถ้าให้ตนมาคุกเข่าก้มหัวตลอดทางบนเขาแบบนี้คงทำไม่ลงแน่ๆ