สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 53 บุตรสาว
“แม่สาวน้อย เจ้ามาหาท่านเจ้าอาวาสสินะ” ฮูหยินจำได้ว่าครั้งก่อนกู้เจียวมาที่นี่ด้วยเหตุผลนี้ ถ้านาง
จำไม่ผิดนะ
กู้เจียวทำท่าครุ่นคิด จากนั้นพยักหน้า “อืม”
กู้เจียวกะมาขอพรกับพระโพธิสัตว์ให้เซียวลิ่วหลังด้วย แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว นางรู้สึกว่าพระโพธิสัตว์
เรื่องมากจัง ต้องคุกเข่าก้มหัวขนาดนั้นเลยหรือ
ฮูหยินรีบพูดต่อ “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารีบไปเถิด ท่านเจ้าอาวาสอยู่ในวัด ไม่รีบไปประเดี๋ยวท่านจะลงภูเขาเสียก่อน”
ช่วงนี้เจ้าอาวาสลงเขาบ่อย ได้ยินมาว่ามีคนต้องการอุปถัมภ์เด็กที่วัด
กู้เจียวมองฮูหยิน สีหน้าของนางเหมือนกำลังจะถามกู้เจียวว่าเดินไปคนเดียวไหวไหม ระวังล้มล่ะ ไม่มีใครคอยช่วยแล้วนะ
ฮูหยินอ่านสายตาของกู้เจียวออก จึงหัวเราะ “เมื่อครู่ ข้าคงเหนื่อยเกินไปน่ะ เริ่มมึนหัวแล้วด้วย แต่ตอนนี้
ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เดินอีกนิดเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยถาม “ท่านมึนหัวบ่อยไหม ช่วงไหนเป็นบ่อยกว่า ช่วงเช้าหรือค่ำ ช่วงท้องว่างหรือหลังจากทานอิ่มแล้ว”
ฮูหยินโดนกู้เจียวยิงคำถามรัวๆ จนตั้งตัวไม่ถูก แต่ก็ตอบไปอย่างเกรงใจ “ตอนเช้าน่ะ โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งตื่น ถ้าไม่ได้กินข้าวก็จะมึนหัว”
กู้เจียวร้องอ๋อ จากนั้นคว้าขนมตุ๊บตั๊บในกระเป๋าแล้วยื่นให้ฮูหยิน “ต้องกินน้ำตาลให้มากขึ้น”
พอยื่นให้เสร็จ กู้เจียวก็มุ่งหน้าไปยังในวัดเพื่อตามหาเจ้าอาวาส
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางเข้ามายังในวัด ลูกศิษย์ในวัดหลายคนจำนางได้ และรู้ว่านางมาที่นี่เพื่อขอซื้อภูเขา
ก็เลยพานางไปที่ห้องทำวัตรเพื่อพบกับเจ้าอาวาส
แล้วก็บังเอิญจริงๆ เจ้าอาวาสเพิ่งจะส่งแขกไปเมื่อครู่ แขกคนนั้นเดินออกมาจากห้องทำวัตร สวนกับกู้เจียวพอดี
แขกคนนั้นอายุราวๆ สามสิบ สวมใส่เครื่องแต่งกายหรูหราแลดูภูมิฐาน
นี่เป็นแขกวัดคนที่สองที่กู้เจียวมองว่าเป็นคนมีสตางค์
“นั่นแม่นางกู้ที่เป็นอุบาสิกาใช่ไหม” เสียงเอ่ยถามดังลอดออกมาจากด้านในห้อง
กู้เจียวขานรับ จากนั้นก้าวเข้าไปข้างใน
กู้เจียวประหลาดใจที่ภายในห้องนั้น นอกจากเจ้าอาวาสแล้ว ยังมีเณรน้อยจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น อายุราวๆ สี่ห้าหกขวบเพียงเท่านั้น แต่ละคนหน้าตาดูจิ้มลิ้มและเปี่ยมไปด้วยแววตาอันซุกซนอยากรู้อยากเห็น
ทั้งหัวที่กลมเงา ทั้งจีวรที่สวมใส่ กู้เจียวรู้สึกว่าทุกคนหน้าตาเหมือนกันหมดเลย
เณรน้อยดวงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นกู้เจียวเดินเข้ามา
แม้นี่จะเป็นเพียงครั้งที่สองที่กู้เจียวมาเยือนที่วัดนี้ แต่ครั้งก่อนเหล่าเณรน้อยกลับถูกสาวใช้ของฮูหยิน
ไล่ตะเพิดไปเสียก่อนที่จะได้ยลโฉมกู้เจียว
ว่าอีกอย่างก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าเณรน้อยได้เจอกับกู้เจียว
พวกเขาทำตาโตลุกวาวกันใหญ่
พลางทำมือป้องปากกระซิบกระซาบกัน พวกเขาคิดว่าตัวเองพูดเสียงเบาแล้วสินะ
“ว้าว! ดูสิ บนใบหน้าของนางมีตอกไม้ (ดอกไม้) ด้วยล่ะ!”
“ทำไมถึงมีลายตอกตอก (ดอกดอก) อยู่ที่ใบหน้าของนางล่ะ”
“แล้วทำไมพวกเราถึงไม่มีล่ะ”
“พวกเราก็อยากได้ตอกตอก (ดอกดอก) บนใบหน้าบ้าง!”
คำก็ตอก สองคำก็ตอก แต่กู้เจียวฟังรู้เรื่องว่าพวกเขาหมายถึงดอกไม้
พวกเขาคิดว่าปานแดงบนหน้าคือดอกไม้อย่างนั้นรึ
“ท่านฟาด (วาด) ตอกไม้ (ดอกไม้) เองรึ” เณรน้อยเอ่ยถาม
ก็ใช่นะสิ วาดตั้งแต่เกิดแล้ว แถมล้างไม่ออกเสียด้วย อิจฉาไหมล่ะ
กู้เจียววางมาดเข้มพลางส่งสายตาไปให้เหล้าเณรน้อย
เจ้าอาวาสกระแอมในลำคอ ก่อนจะพูดกับเณรน้อย “พวกเจ้าไปตามหาศิษย์พี่จิ้งเฉินที”
เหล่าเณรน้อยทำหน้าอิดออดไม่อยากออกไป แต่ดูเหมือนศิษย์พี่คนที่ว่านี้จะต้องมีอะไรบางอย่างพิเศษแน่นอน เพราะหลักจากที่เณรน้อยลังเลอยู่สักพักก็รีบวิ่งออกไป
กลุ่มเณรน้อยทยอยวิ่งข้ามธรณีประตูออกไป จะเหลือก็แต่เณรน้อยที่รั้งท้ายที่เกิดสะดุดธรณีประตูจนล้มคะมำ
กู้เจียวจู่ๆ เกิดนึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนที่มีเณรน้อยวิ่งเข้ามาชนขานาง ที่แท้ก็เณรน้อยคนนี้นี่เอง
กู้เจียวอยากจะเข้าไปช่วยพยุง แต่จู่ๆ เณรน้อยก็กลิ้งเกลือกและยันตัวลุกขึ้นมาได้ ไม่เหลือช่องว่างให้กู้เจียวเข้าไปช่วยเหลือ
กู้เจียวเลยทำหน้าเสียดาย
เจ้าอาวาสผายมือให้กู้เจียวนั่งลง
กู้เจียวนั่งลงแล้วจิบชา สักพัก จู่ๆ นางเกิดนึกถึงแขกที่เดินสวนกับนางไปเมื่อช่วงก่อนหน้า เลยถามเจ้าอาวาส “คนเมื่อครู่คือแขกของท่านเจ้าอาวาสหรือ หรือว่าจะมาขอซื้อภูเขาแบบข้า”
เจ้าอาวาสหัวเราะอย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยตอบ “ไม่ใช่หรอกโยม เขาจะมาขออุปถัมภ์เด็กที่วัดน่ะ”
กู้เจียวแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
เจ้าอาวาสอธิบายต่อ “พวกเณรน้อยในวัดที่เจ้าเห็น พวกเขาล้วนเป็นเด็กกำพร้า บางครั้งก็เลยมีคนใจดีอาสามาขอรับพวกเขาไปเลี้ยงน่ะ”
“อ๋อ” จู่ๆ กู้เจียวพลันนึกถึงเณรน้อยที่หกล้มเมื่อครู่ พลางคิดในใจ เด็กน้อยซุ่มซ่ามอย่างเขาคงยังไม่ถูกเลือกไปหรอกมั้ง ถ้าเทียบแล้วยังไงก็มีตัวเลือกที่ดีกว่าอยู่ตั้งแล้วเยอะแยะ
เจ้าอาวาสเอ่ยต่อ “ส่วนเรื่องซื้อภูเขา อาตมาเคยคุยกับลูกศิษย์ไว้แล้ว เขาบอกว่า ถ้าโยมตั้งใจจะซื้อจริงๆ ตรงส่วนที่วัดแห่งนี้สามารถขายให้ได้ แต่ราคาอาจจะสูงขึ้นมาหน่อย”
“เมื่อก่อนราคาเท่าไหร่หรือท่าน”
“สองร้อยสี่สิบเก้าตำลึง”
“แล้วตอนนี้ล่ะท่าน” กู้เจียวเอ่ยถามต่อ
“สองร้อยห้าสิบตำลึง” เจ้าอาวาสตอบ
กู้เจียวเบะปากพลางคิดในใจ สงสัยลูกศิษย์ของเจ้าอาวาสคงเคลือบแคลงในตัวข้าแหงๆ !
เจ้าอาวาสอ่านสีหน้าของกู้เจียวออก เขาเองก็รู้สึกว่าราคาสูงเกินเหตุ แต่อย่างไรเสีย เรื่องานทรัพย์สินของวัดก็มีแต่ลูกศิษย์คนนี้ที่คอยดูแลมาตลอด ในเมื่อเขาว่ามาอย่างไร ก็ต้องตามนั้น แม้แต่ตัวเขาเองที่เป็นถึงขั้นเจ้าอาวาสยังไม่มีอำนาจเข้าไปเอี่ยวด้วยเลย
เจ้าอาวาสเอ่ยต่อ “หากโยมรู้สึกว่าราคามันสูงเกินไป ลองพิจารณาเขาลูกอื่นดูได้นะ”
กู้เจียวถามต่อ “พวกท่านยังมีเขาลูกอื่นอีกหรือ”
เจ้าอาวาสตอบด้วยความสัตย์จริง “ที่จริงก็ไม่มีแล้วล่ะ”
กู้เจียวเบะปากอีกครั้ง
เงินเก็บของนางทั้งหมดที่มีอยู่คงซื้อไม่ไหว แต่จะว่าไปแล้ว ครั้งก่อนที่นางไปรักษาคุณชายที่เขาน้ำพุร้อนนั่นยังไม่ได้ค่าตอบแทนเลยนี่นา
ครั้งนั้นนางทำการรักษาไปหลายรายการอยู่ ลำพังอดรีนาลีนก็ใช้ไปแล้วสาม ไหนจะหยูกยาที่ใช้รักษาหัวใจอีก ก็ถวายให้คุณชายนั่นไปหมดแล้ว
กู้เจียวจึงตัดสินใจว่าจะไปทวงค่าจ้างกับเถ้าแก่รอง!
พอกู้เจียวเดินลงเขาไป ก็สังเกตว่าฮูหยินคนนั้นไม่อยู่แล้ว รวมถึงรถม้าคันนั้นด้วย
กู้เจียวไม่ได้ตามต่อว่าพวกเขาไปที่ไหน มุ่งหน้าตรงไปยังในเมือง
พอนางมาถึงหุยชุนถัง ก็สังเกตเห็นรถม้าที่ดูโอ่อ่าจอดอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า เมื่อก่อนรถม้าแบบนี้ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นัก
นี่วันอะไรเนี่ย กู้เจียวพบเจอแต่รถประเภทนี้ หรือทุกอย่างจะเป็นลางสังหรณ์…บอกว่านางควรซื้อรถม้าหรูๆ ไว้สักคัน
ผู้ดูแลหวังต้อนรับกู้เจียวอย่างดี พลางเอ่ยทักทาย “แม่นางกู้ ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่ เดี๋ยวข้าต้มชาให้นะ”
กู้เจียวเอ่ยนิ่งๆ “ข้าไม่เอาน้ำชาหรอก ข้าจะมาทวงค่าจ้างน่ะ”
“เอ๋” ผู้ดูแลหวังทำหน้าตื่น “ค่าจ้างอะไรรึ”
กู้เจียวอธิบาย “ก็ค่าจ้างที่ให้ข้าไปรักษาคุณชายที่เวินเฉวียนซานยังไงล่ะ ในเมื่อข้ารักษาเขาได้แล้ว
ย่อมต้องได้ค่าจ้างตอบแทนสิ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ผู้ดูแลหวังทำหน้ายิ้มฝืนๆ แล้วเอ่ยตอบ “แม่นางกู้มาได้จังหวะพอดี เห็นรถม้าคันนั้นไหม นั่นเป็นรถม้าของจวนโหว! คราวก่อนเถ้าแก่รองตื่นเต้นไปหน่อย เลยลืมเบิกค่าตอบแทนจากพวกเขา ข้าเดาว่า
ที่พวกเขามาวันนี้ก็เพื่อเอาค่าตอบแทนมาให้ยังไงล่ะ!”
ที่แท้ก็เป็นรถม้าของจวนโหว ก็ว่าอยู่ทำไมถึงดูยิ่งใหญ่หรูหราขนาดนั้น
“เถ้าแก่รองอยู่ที่ห้องบัญชี เข้าไปหาไหม” ผู้ดูแลหวังเอ่ยถามพลางยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอก รอให้คนของจวนโหวกลับไปก่อนแล้วค่อยเข้าไปก็ได้” กู้เจียวเอ่ยจบก็มุ่งหน้าไปทางห้องด้านหลัง
ขณะที่กู้เจียวเพิ่งจะก้าวเท้าออกเดิน ม่านของรถม้าก็ถูกเปิดออก
ปรากฏสาวใช้สวมชุดวิบวับลงมาก่อน ตามมาด้วยหญิงสาวสวมชุดเรียบง่ายพร้อมกับผ้าคลุมหน้าค่อยๆ เดินลงมาจากรถอย่างสง่าโดยมีสาวใช้คอยพยุงตัวช่วยไว้