สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 56 ขอโทษ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นยังคงลากยาวมาจนถึงบัดนี้ จนพวกคนอื่นๆ ในหุยชุนถังเริ่มกรูกันเข้ามา
มีเพียงแค่เถ้าแก่รอง ผู้ดูแลหวัง และหมอเฒ่า สามคนในหุยชุนถังที่รู้เรื่องฝีมือทางการแพทย์ของกู้เจียว
เป็นอย่างดี
ในสายตาของคนอื่น กู้เจียวเป็นเพียงแค่ญาติผู้ป่วยคนหนึ่งก็เท่านั้น
ที่เห็นว่าเถ้าแก่รองกับผู้ดูแลหวังดูแลนางดีเป็นพิเศษ พวกเขามองแค่ว่าเป็นเพราะนางเป็นภรรยาของ
ลูกศิษย์สำนักบัณฑิต
พวกเขาไม่ดูถูกคนเรียนหนังสือ เพราะในอนาคตข้างหน้าสักวัน ตำแหน่งนายอำเภอ ข้าราชการ ขุนนางต่างๆ อาจเป็นของพวกเขาก็เป็นได้
แต่ก็แค่คิดไม่ถึงว่านางจะกล้าทำเรื่องแบบนี้
“ดูไม่ออกเลยจริงๆ ปกติก็เห็นดีๆ อยู่ ไม่นึกเลยว่ามีสันดานหัวขโมย”
“นั่นสิ ขโมยทั้งป้ายหยกทั้งแหวนหยกของเขามาอีก”
“ข้าบอกแล้ว วันนี้สามีของนางไม่อยู่ ไม่ได้ต้องมารับยา ทำไมถึงต้องมาที่หุยชุนถังด้วยล่ะ คงเล็งจะขโมยของของบุตรสาวจวนโหวละสิท่า”
“แล้วนางไม่กลัวว่าจะพลอยทำให้สามีเสียชื่อเสียงไปด้วยหรือไร”
“ก็นั่นนะสิ เรียนหนังสืออยู่ดีๆ เมียดันมาก่อเรื่องเสียอย่างงั้น ดวงซวยจริงๆ !”
ดูเหมือนทุกคนในเหตุการณ์ยกเว้นเถ้าแก่รอง จะปักธงไว้แล้วว่ากู้เจียวเป็นหัวขโมย
ก็เห็นๆ กันอยู่นี่นา คนฐานะแร้นแค้นอย่างนางจะมีของแบบนั้นติดตัวได้อย่างไร
“นายหญิงเก็บป้ายหยกนี้ไว้ดีๆ เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย พลางเอี้ยวตัวไปแขวนป้ายหยกที่เอวของนายหญิง
จู่ๆ กู้เจียวก็ยื่นมือคว้าป้ายหยกออกไป
“บังอาจนัก!” สาวใช้ส่งสายตาอฆาต ง้างมือขึ้นเตรียมจะตบที่หน้าของกู้เจียว
ฝ่ามือสาวใช้ยังไม่ทันจะประทับบนหน้ากู้เจียว ก็ถูกกู้เจียวสวนกลับด้วยหลังมือจนล้มลงไปบนพื้น
ทุกคนไม่รู้ว่ากู้เจียวลงมือตอนไหนอย่างไร รู้ตัวอีกทีก็เห็นสาวใช้นอนล้มอยู่บนพื้นพร้อมกับแก้มอันบวมเป่ง
บุตรสาวจวนโหวเองก็ตะลึงเช่นกัน
กู้เจียวยื่นมือเล็กๆ ของนางที่มีรอยฟกช้ำจากการทำงานหนักมาหลายปี ยกผ้าคลุมของบุตรสาวจวนโหวขึ้น และดึงป้ายหยกที่ห้อยลงมาจากเอวของนางออกมา
กู้เจียวทำโดยกลั้นหายใจไว้ตลอด เพราะไม่อยากได้กลิ่นผงหอม
หญิงสาวขึงตาใส่กู้เจียวพลางตะโกน “เจ้า…โอหังนัก!”
เป็นแค่เด็กสาวบ้านนอก กล้าดียังไงมาแตะต้องตัวนาง!
พอหยิบป้ายหยกมาได้ ก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋า นางหยิบผ้าสะอาดขึ้นมาแล้วเช็ดถูกรอบๆ ป้ายหยก
หญิงสาวเมื่อเห็นดังนั้นก็ยืนนิ่งอึ้งจนลืมหายใจ
เด็กคนนี้…กลัวว่าป้ายหยกจะสกปรกงั้นรึ
หากกู้เจียวต้องการตอบสนองต่อผู้อื่น จะต้องเป็นไปอย่างรอบด้านโดยไม่มีจุดบอด
จู่ๆ หญิงสาวเกิดรู้สึกแน่นหน้าอก และหายใจไม่ออก
จากนั้นกัดฟันแน่น แล้วโพล่งออกมา “ไปแจ้งความเดี๋ยวนี้!”
“ใครจะแจ้งความรึ”
เป็นเสียงสุขุมนุ่มลึกของบุรุษดังลอดเข้ามา ปรากฏเจ้าสำนักเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ
เอาอีกแล้ว ตัวละครคนใหญ่คนโตมาอีกแล้ว เหล่าคนของหุยชุนถังต่างพากันหลีกทางให้เขาเดินเข้าไป
เจ้าสำนักเข้าไปในห้องพักกู้เจียว มองไปทางหญิงสาวที่กำลังทำท่าโกรธเป็นฟืนเป็นไป จากนั้นชำเลืองไปที่สาวใช้ที่คลานลุกไม่ขึ้นอยู่บนพื้น จากนั้นเขามาหยุดยืนอยู่บริเวณข้างๆ กู้เจียว
ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าสำนักเลือกที่จะอยู่ข้างใคร
เจ้าสำนักหันไปทางหญิงสาว พลางเอ่ยถาม “แม่นาง ต้องการจะแจ้งความหรือ เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ ถึงได้มีท่าทีเดือดดาลเช่นนี้”
ถ้อยคำของเขาแม้จะฟังดูเกรงใจ แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่ใช่
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามกลับ “ท่านเป็นใคร”
เจ้าสำนักเอ่ยตอบ “ข้าคือเจ้าสำนักแห่งสำนักบัณฑิต”
หญิงสาวเอ่ยถามต่อ “ท่านคือ ท่านเจ้าสำนักหลีรึ”
เจ้าสำนักเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว ข้าเอง”
ชื่อของเจ้าสำนักหลีดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง แน่นอนว่าไม่มีทางที่บุตรสาวจวนโหวอย่างนางจะไม่เคยได้ยิน แม้เขาจะกลับมาสอนหนังสือในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็ตาม แต่ชื่อเสียงของเขาในเมืองหลวงยังไม่เลือนหายไปไหน
หญิงสาวมีท่าทีเกรงใจต่อเขา จากนั้นชำเลืองไปทางกู้เจียว พลางเอ่ยฟ้อง “นางขโมยสมบัติของข้าไป ยังมีหน้าไม่ยอมคืนให้ข้าอีก”
“ข้าไม่ได้ขโมย ป้ายหยกนี้เป็นของข้าอยู่แล้ว” กู้เจียวไม่สนใจหรอกว่าบุตรสาวจวนโหวจะมองนางอย่างไร แต่นางกลับสนใจความเห็นของเจ้าสำนักเสียมากกว่า นางเป็นภรรยาของเซียวลิ่วหลัง นางไม่อยากสร้างความประทับใจแย่ๆ ให้แก่เจ้าสำนัก
“แล้วแหวนหยกล่ะ เจ้าว่ายังไง”
“แหวนหยกนั่นตกเข้ามาในกระเป๋าข้าโดยที่ข้าไม่รู้ตัว มารู้อีกทีก็ตอนกลับถึงเรือนแล้ว” กู้เจียวเล่าไปตามความจริง
จู่ๆ สาวใช้ตะโกนขึ้น “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้สักหน่อย เจ้ายอมรับแล้วว่าเจ้าเป็นคนขโมย!”
ดูสิ เห็นไหม นี่แหละเหตุผลที่กู้เจียวไม่อยากอธิบายอะไรให้สองคนนี้ฟัง ก็เพราะพวกนางไม่ยอมฟังยังไงล่ะ
“ขอข้าดูป้ายหยกหน่อย” เจ้าสำนักเอ่ยกับกู้เจียว
กู้เจียวจึงยื่นป้ายหยกให้เขา
เจ้าสำนักจำได้ว่าอาจารย์ของเขาก็มีป้ายหยกหน้าตาแบบนี้อยู่เหมือนกัน จำได้ว่าอาจารย์ของเขาเคยมอบของมีค่าให้กู้เสี่ยวซุ่นเป็นของขวัญ พอนึกขึ้นได้ เจ้าสำนักก็เริ่มเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องราวแล้ว
ป้ายหยกนี้คือของขวัญที่ท่านอาจารย์มอบให้กู้เสี่ยวซุ่น จากนั้นกู้เสี่ยวซุ่นก็มอบให้กู้เจียว แน่นอนว่ารายละเอียดตรงนี้ยังไม่สำคัญ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ กู้เจียวไม่ได้เป็นขโมยอย่างแน่นอน
ตัวตนของท่านอาจารย์นั้นเป็นความลับสุดยอด เขามิอาจแพร่งพรายความเคลื่อนไหวของท่านอาจารย์ออกไปได้
เจ้าสำนักแค่นเสียหัวเราะ จากนั้นเอ่ยกับหญิงสาว “แม่นางน่าจะเข้าใจผิดแล้ว ป้ายหยกอันนี้ ไม่ใช่ของท่านหรอก อาจารย์ของข้าเคยมอบของสิ่งนี้ให้ข้าไว้ จากนั้นข้านำไปมอบให้สามีของนาง”
“สะ สามี…ของนาง งั้นรึ” หญิงสาวกวาดตามองกู้เจียวตั้งแต่หัวจรดเท้า
“สามีของนางเป็นลูกศิษย์ที่สำนักของข้า” เจ้าสำนักหลีแจงความสัมพันธ์ครูลูกศิษย์ออกไปให้หญิงสาวได้รับรู้
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ก็ชักจะมีเค้าโครงขึ้นมาทันที
ท่านครูผู้มีพระคุณของเจ้าสำนักหลีเป็นผู้นำของกั๋วจื่อเจียน นับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางใจ หากเขาจะมีของกำนัลจากในวังไว้ในครอบครอง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
แต่หญิงสาวยังคงคิดไม่ตกและคาดไม่ถึงอยู่ดีว่ามีผู้คนตั้งกี่คนในเมืองที่หลวงต้องการขอเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักหลี แต่กลับถูกปฏิเสธทั้งหมด แล้วไฉนยัยเด็กบ้านนอกยากจนคนนี้ถึงได้มาอยู่ในสายตาของเจ้าสำนักกันได้ล่ะ
ขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น จู่ๆ คนงานของหุยชุนถังก็วิ่งเข้ามาพลางตะโกน “หาเจอแล้ว หาเจอแล้ว!”
“ฮัดเช้ย!” กู้เจียวได้กลิ่นผงหอมที่ติดอยู่บนป้ายหยก เลนเกิดจามอีกครั้ง
ป้ายหยกนั้นถูกเก็บได้จากลานหญ้า นอกจากนั้นแล้ว ป้ายหยกนี้มีกลิ่นผงหอมของบุตรสาวจวนโหวติดอยู่ด้วย จึงค่อนข้างแน่ชัดว่า ป้ายหยกอันที่เก็บได้นั้นเป็นของนาง
“คราวนี้ความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้วสินะ” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ต่อให้เจ้าไม่ได้ขโมยป้ายหยกไป แต่เจ้าก็ขโมยแหวนหยกไปอยู่ดี” สาวใช้รีบเอ่ยแขวะ
“หยุดพูดได้แล้ว อวี้หรู” หญิงสาวพยายามห้ามคนใช้ของตนเอง จากนั้นก้าวเท้าไปด้านหน้า ทำหน้าสับสนงุนงงพลางโน้มตัวลงเล็กน้อย “ขออภัยที่เข้าใจเจ้าผิดไป”
“นายหญิง!” สาวใช้ทำหน้าถอดสี
นายหญิงของตนเป็นถึงบุตรสาวจวนโหวผู้สูงศักดิ์ ไฉนจะต้องมาก้มหัวยอมให้เด็กบ้านนอกตัวเล็กๆ คนนึงด้วยล่ะ
ต่อให้เข้าใจผิดแล้วยังไงล่ะ ในเมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ยังจะขอโทษอีกทำไม
หญิงสาวกำชับสาวใช้ “เจ้าเองก็รีบขอโทษแม่นางกู้เจียวเขาเสีย”
“แต่ว่านายหญิง…”
“ขอโทษเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงของนายหญิงฟังดูดุดันและเข้มงวด สาวใช้จึงไม่กล้าขัดนาง และเอ่ยขอโทษกู้เจียวด้วยใบหน้า
อันหมองคล้ำ
จากนั้นหญิงสาวหันไปทางเถ้าแก่รอง พลางเอ่ยขออภัย “หวังว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลต่อการรักษาน้องชายข้า”
เถ้าแก่รองหันไปหากู้เจียวแวบหนึ่ง พอเห็นว่านางไม่โต้ตอบอะไร เลยยิ้มตอบพลางพยักหน้า “แม่นางกู้
ก็พูดเกินไปขอรับ พวกเราชาวหุยชุนถังพร้อมยื่นมือช่วยเหลือทุกคนโดยไม่มีข้อแม้ จะไม่เก็บเอาเรื่องส่วนตัวมากระทบการรักษาเด็ดขาดขอรับ”
“ขอบคุณท่านมากจริงๆ” หญิงสาวพยักหน้าและเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ตอนนี้ใบหน้าบวมฉึ่ง
เจ้าสำนักมองตามหลังนางไป จากนั้นครุ่นคิดสักพัก แล้วตัดสินใจเอ่ยถาม “คนจากตระกูลกู้งั้นรึ
ใช่ตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงหรือไม่”
เถ้าแก่รองถอนหายใจ “นอกจากตระกูลกู้ของเมืองหลวงแล้ว ยังมีใครบ้างที่สามารถเลี้ยงดูลูกสาวที่งามทั้งภายนอกและภายในแบบนี้ออกมาได้อีก”
เกิดมาเป็นคน ใครบ้างไม่เคยทำผิด แต่การทำผิดแล้วรู้สึกยอมรับ แก้ไข ปรับปรุง และพูดขอโทษก่อน ซึ่งนั่นถือเป็นการแสดงถึงบุคลิกอันสูงส่งของนาง
เจ้าสำนักหลีนึกขึ้นได้ว่า แม่สาวงามจวนโหวคนนั้นดันมีชื่อว่ากู้จิ่นอวี๋ที่แปลว่างามทั้งภายนอกและภายในจริงๆ ด้วย