สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 62 หนุ่มคลั่งรัก
ทั้งสองแนบชิดกันมาก ลมหายใจของนางกระทบกับใบหูของเขา เขาสัมผัสได้ว่าใบหูของตัวเองกำลังร้อนผ่าว
“เปล่าเสียหน่อย” เขาปฏิเสธ ไม่หันไปมองนางแม้แต่นิด
กู้เจียวกลับเอาแต่จับจ้องไปที่เขา ใบหูและดวงหน้าของเขาแดงก่ำ ลำคอระหงที่อยู่ถัดลงมาจากไรผมดำยาวนั้นขึ้นสีระเรื่อ เผยให้เห็นความงดงามของวัยหนุ่ม
“ข้าไม่สนหรอก ข้าได้ยินก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ กู้เจียวก็เดินออกไปอย่างพออกพอใจ
คราวนี้เซียวลิ่วหลังหันไปมองนาง ก็พบว่านางตัวสูงขึ้นไม่น้อย ร่างบางนั้นยังคงผอมแห้งดังเดิม แต่ส่วนที่ควรมีเนื้อมีหนังก็อวบอิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว
มองอะไรของเขากัน
เซียวลิ่วหลังละสายตากลับมาด้วยความละอายใจ
ในคืนนั้น เซียวลิ่วหลังหลับสบายไม่น้อย
ยามเขาตื่นนอนมา พอลืมตาขึ้นก็พบฝ่าเท้าน้อยพาดอยู่บนอกของตัวเอง
เสี่ยวจิ้งคงนอนกางแขนกางขาแผ่หลา หลับสนิทเสียเหลือเกิน
เซียวลิ่วหลังผลักฝ่าเท้าน้อยนั้นออก ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหยิบถุงบุหงาที่กู้เจียวมอบให้เขา ก่อนจะวางไว้ข้างหมอนในจุดที่สะดุดตามากที่สุด จากนั้นจึงจุดตะเกียงแล้วคัดหนังสือต่อ
เสี่ยวจิ้งคงตื่นขึ้นมาพร้อมกับเห็นถุงบุหงาบนหมอนเป็นสิ่งแรก ก่อนจะขยี้ตามองแล้วเอ่ยด้วยความสงสัย “เอ๊ะ นี่คือสิ่งใดกัน”
เซียวลิ่วหลังคัดหนังสือไปพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ถุงบุหงา”
เสี่ยวจิ้งคงไม่เคยเห็นถุงบุหงามาก่อน พลิกไปพลิกมาพลางมองดู “ฝีมือผู้ใดกัน ช่างงามนัก!”
“พี่สาวเจ้าเป็นคนทำ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
“นางให้ข้าหรือ” เสี่ยวจิ้งคว้าถุงบุหงาขึ้นมา ก่อนจะตะเกียกตะกายลุกขึ้น กระโดดโลดเต้น
อย่างดีอกดีใจอยู่บนเตียง
เซียวลิ่วหลังเหลือบตามองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า นางให้ข้าต่างหาก
“…” เสี่ยวจิ้งหยุดกระโดดในทันใด
เสี่ยวจิ้งคงไม่เชื่อ จึงถือถุงบุหงาออกไปถามกู้เจียวที่ทำข้าวเช้าอยู่ในครัวเพื่อยืนยัน
กู้เจียวจะตอบเช่นไรได้ นอกเสียจากยอมรับ
เสี่ยวจิ้งคงเหงาหงอยด้วยความผิดหวัง
เขาไม่ใช่เด็กที่อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น เพียงแต่ด้วยธรรมชาติของเด็กแล้ว เขาจึงไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดถึงมีส่วนของพี่เขยนิสัยเสียนั่น แต่กลับไม่มีส่วนของเขา!
ท่าทางเง้างอนนั้นชวนให้กู้เจียวเอ็นดูเสียเหลือเกิน
กู้เจียวไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน จึงไม่ทันนึกว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาน้อยอกน้อยใจ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าทำไมเซียวลิ่วหลังถึงได้เอาถึงบุหงาออกมาอวดเสี่ยงจิ้งคง ทำนิสัยเป็นเด็กน้อยไปได้…
กู้เจียวอธิบายที่มาที่ไปของถุงบุหงาให้เสี่ยวจิ้งคงฟัง เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กหัวไว พอรู้ความหมายของถุงบุหงาแล้วก็ไม่ได้งอแงอีกต่อไป
เขาเดินมาดมั่นกลับเข้ามาในห้อง พลางยื่นถุงบุหงาคืนให้กับเซียวลิ่วหลังอย่างไม่นึกเสียดาย
เซียวลิ่วหลังหรี่ตามองเขา “ไม่โกรธแล้วหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงลูบคาง พลางมองเขาอย่างสงสาร “นี่ท่านเรียนหนังสือไม่เก่งขนาดนั้นเชียวหรือ!
สอบได้ที่หนึ่งครั้งแรกก็รบเร้าจะเอารางวัลเสียแล้ว! ตอนข้าอยู่วัดก็สอบได้ที่หนึ่งตลอดจนชินแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอรางวัลหรอก!”
เซียวลิ่วหลัง “…”
วันนี้เป็นอีกวันที่เขาอยากจะโยนเจ้าเณรน้อยตัวแสบนี่ออกจากบ้าน
ผ่านไปครู่ใหญ่ กู้เสี่ยวซุ่นก็มากินมื้อเช้าที่บ้าน และทำความรู้จักกับสมาชิกใหม่ของครอบครัว
เสี่ยวจิ้งคงเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้แล้วครอบครัวนี้ไม่ได้มีบุรุษเพียงแค่สองคนอีกต่อไป กู้เสี่ยวซุ่นก็เป็นผู้ชายในครอบครัวอีกคน เพียงแต่ไม่ได้อาศัยอยู่บ้านหลังนี้ก็เท่านั้น
หากเทียบกับเซียวลิ่วหลังที่ยั่วน้ำโหเสี่ยวจิ้งคงเป็นประจำแล้ว กู้เสี่ยวซุ่นผู้ช่ำชองเรื่อง
การชกต่อยนั้นกลับไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้เสี่ยวจิ้งคงเลยสักนิด เพียงไม่นานเสี่ยวจิ้งคงกับ
กู้เสี่ยวซุ่นก็กลายเป็นเพื่อนรักกันไปแล้ว!
หลังจากทั้งสองคนไปสำนักบัณฑิต กู้เจียวก็เตรียมตัวเข้าไปในตัวอำเภอ
เสื้อผ้าฤดูหนาวที่หญิงชราสวมใส่ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เป็นฝีมือตัดเย็บของเซวียหนิงเซียง ตอนนั้น
เซวียหนิงเซียงงานไม่ยุ่งสักเท่าไหร่ แต่พอเข้าฤดูใบไม้ผลิ เซวียหนิงเซียงก็ต้องเริ่มง่วนกับการทำไร่ทำนาอีกครั้ง ไม่มีเวลาเย็บปักถักร้อย กู้เจียวจึงตัดสินใจว่าจะเข้าอำเภอไปซื้อเสื้อผ้าสักสองสามชุดให้กับหญิงชรา
เสี่ยวจิ้งคงก็ต้องการเสื้อผ้าเพิ่มเติมเช่นกัน เขาถูกทิ้งไว้ที่วัดตั้งแต่อายุได้หกเดือน หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ลงจากเขาอีก ในห่อผ้าจึงมีแต่วีจรของเณรน้อย
พอได้ยินว่ากู้เจียวจะเข้าไปในอำเภอ เสี่ยวจิ้งคงก็ตาเป็นประกายขึ้นมาในทันใด “ข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าไปด้วยได้หรือไม่”
หากเพียงแค่ซื้อเสื้อผ้า กู้เจียวย่อมพาเขาไปอยู่แล้ว ทว่ากู้เจียวยังมีธุระอื่น
กู้เจียวลูบหัวโล้นของเขา “ไว้คราวหน้าข้าจะพาเจ้าไป”
กู้เจียวดูออกว่าเสี่ยวจิ้งคงอยากไปด้วยมาก แต่เขาก็ไม่ได้งอแงและยอมอยู่ที่บ้านอย่างว่าง่าย
เด็กคนนี้ว่าง่ายดีนี่ ไม่ทำให้คนต้องลำบากใจ
กู้เจียวสะพายตะกร้าเข้าอำเภอไป
นางไม่ได้ไปออกตรวจรักษาโรค นางแค่ติดนิสัยพกกล่องยาติดตัวก็เท่านั้น เพราะกล่องยา
ใบน้อยกล่องนี้คือความลับอันยิ่งใหญ่ พกติดตัวไว้ถึงสบายใจกว่า อีกอย่างไม่แน่ว่าประเดี๋ยวตัวเองอาจจำเป็นต้องใช้หยูกยาในนั้นก็เป็นได้
ถนนที่กู้เจียวเดินไปนั้นเต็มไปด้วยบ่อนพนัน หอนางโลม และสนามประลอง
หนึ่งชั่วยามผ่านไป กู้เจียวคลึงข้อมือขวาพลางเดินออกมาด้วยสี่หน้าแสนสดชื่น
เสียเหงื่อไปไม่น้อย เสื้อตัวนอกถูกถอดออก เหลือเพียงเสื้อตัวในผืนบาง
“ไม่ได้มาหลายวัน ฝีมือตกไปเยอะอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
นางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ ก่อนหันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังร้านขายเสื้อผ้าในตัวอำเภอเพื่อซื้อผ้าผ่อนให้กับหญิงชราและเสี่ยวจิ้งคง ทว่าก้าวออกไปเพียงสองก้าว นางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่าง
ไม่ชอบมาพากล
มีคนสะกดรอยตามนาง!
กู้เจียวยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่มีคนหมายหัว
ก็ดี ยังออกหมัดไม่สาแก่ใจอยู่เหมือนกัน มาซ้อมมือกันอีกสักรอบ
จังหวะที่กำลังจะพ้นจากตรอก กู้เจียวชะลอผีเท้าลง
เหล่าคนที่สะกดรอยตามนางแทบหยุดเดินในทันใด พลางมองนางอย่างเฝ้าระวัง
กู้เจียวหันหลังกลับไปอย่างเชื่องช้า มองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้าทั้งแปดคน เข้ามาพร้อมกันเลย!”
ชายหัวโจกร่างกำยำหรี่ตามองอย่างเย้ยหยัน “ปากดีนักนะนางนี่! เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกข้าเป็นใคร”
กู้เจียวมองอย่าไม่แยแส “ข้าไม่สนหรอกว่าพวกเจ้าเป็นใคร จะเข้ามาก็เข้ามาได้เลย ไม่เช่นนั้นก็ไสหัวไปเสีย”
หัวโจกร่างยักษ์ส่งเสียงถุย “นางนี่ ตรอกเฮยสุ่ยไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะมา ข้าจะให้โอกาสเจ้ามีชีวิตรอดสักครั้ง แต่เจ้าต้องหักแขนขวาของตัวเอง และรับปากว่าจากนี้ไปจะไม่มายุ่มย่ามกับกิจการของพวกข้าอีก แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ความอดทนของกู้เจียวไม่ได้มีไว้เพื่อคนเหล่านี้ สิ่งที่ควรพูดนางก็พูดออกไปหมดแล้ว แต่เขายังรังควาญไม่เลิก แบบนี้มันน่ารำคาญชะมัด!
กู้เจียวถลาเข้าหาอีกฝ่ายอย่างว่องไว เท้าข้างหนึ่งยันกับกำแพง เท้าอีกข้างหนึ่งก็พลิกขึ้นถีบใบหน้าของหัวโจกร่างยักษ์อย่างจัง อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกถีบกระเด็นลอยออกไป!
“พี่ใหญ่!”
พวกเขาฝาดไปหรือ
กู้เจียวไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ตั้งตัว รัวหมัดดั่งมีด พริบตาเดียวก็สลบเหมือดไปแล้วสามคน
คราวนี้ก็หมดไปครึ่งหนึ่งแล้วสินะ
ที่เหลืออีกสี่คนพุ่งตัวเข้าหากู้เจียว กู้เจียวคว้าหมับสองคนด้านหน้า ก่อนจะเหวี่ยงกระแทกเข้ากับร่างของอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง
ทั้งสี่คนถูกซ้อมจนเลือดกลบปาก พวกเขากุมหน้าอกของตัวเอง ราวกับไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง!
กู้เจียวปัดมือ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทว่าจู่ๆ ก็มีเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งแผ่ขึ้นมาเหนือศีรษะของนาง
ยังมีอีกหรือ
แถมยังมีวิชาตัวเบาอีกหรือนี่
แบบนี้สิถึงจะสมน้ำสนเนื้อกันหน่อย!
กู้เจียวคว้าไม้ท่อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น กระโดดยันกำแพงแล้วฟาดชายในชุดดำคนนั้น
ชายชุดดำล้มลงด้วยความสับสน
แม่นาง ข้ากับเจ้ามีความแค้นอันใดกันหรือ
กู้เจียว “หึ แกล้งตายไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
ชายชุดดำ “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าไม่รู้จักเจ้าจริงๆ”
กู้เจียวฟาดเขาจนหมดสติไป!
ชายชุดดำ “…”
กู้เจียวลงมือเสร็จก็พบว่าบริเวณนั้นยังมีใครอีกหนึ่งคน คนว่าคนผู้นั้นระวังตัวเป็นอย่างมาก วินาทีที่กู้เจียวรู้ตัวก็มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามาอย่างรีบร้อน
“เร็วเข้า! มือสังหารอยู่ตรงนั้น!”
เหล่าทหารองครักษ์พากันกรูเข้ามาหลังจากเสียงตะโกนโหวกจากนอกตรอกดังขึ้น
พวกเขามองมือสังหารที่นอนแน่นิ่งไร้สติ ก่อนจะหันไปมองนักเลงประจำถิ่นที่ล้มกองอยู่บนพื้น สีหน้าดูไม่มั่นใจว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มือสังหารมีเรื่องกับอันธพาลขาใหญ่ แต่ก็แพ้ไม่เป็นท่ากันทั้งสองฝ่ายอย่างนั้นหรือ
แต่มือสังหารผู้นี้เป็นคนมีฝีมือนี่ เหตุใดถึงสู้นักเลงกระจอกไม่กี่คนแค่นี้ไม่ได้
“แม่นาง ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” องครักษ์คนหนึ่งถามกู้เจียว
“ไม่มีเจ้าค่ะ” กู้เจียวส่ายหน้า นางรู้สึกว่าเสื้อผ้าของเหล่าองครักษ์ดูคุ้นตาเหลือเกิน ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ขณะที่กำลังนึกอยู่นั้น รถม้าคันหนึ่งก็เคลื่อนมาจอดอยู่หน้าปากทาง
ฝ่ามือเรียวขาวซีดค่อยๆ เลิกม่านรถม้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวของชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง
กู้เจียวตาเบิกโพลง พ่อหนุ่มขี้โรคคลั่งรักนี่นา