สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 66 เมาเนื้อ
ท่านโหวกู้นิ่งไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติกลับมา “เรื่องนี้อย่าได้บอกใครเป็นอันขาด โดยเฉพาะ
ฮูหยิน ข้าไม่อยากให้จิตใจของนางได้รับการกระทบกระเทือนใดทั้งสิ้น”
หมอจูเก๋อเอ่ย “หากท่านโหวไว้ชีวิตลูกศิษย์ไร้ความสามารถของข้า ข้าจะเก็บความลับนี้ให้
ท่านโหวไปชั่วชีวิต เพียงแต่ท่านโหวแน่ใจได้อย่างไรว่ายามนั้นฮูหยินคลอดแฝดชายหญิง”
“ข้ามั่นใจ ยามฮูหยินคลอดนางได้สติ”
“เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว”
อุ้มผิดตัว
ท่านโหวกู้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยรับสั่ง “เจ้าพักอยู่ที่จวนนี้ก่อน หามีเรื่องอันใดข้าจะเรียกใช้เจ้า”
หมอจูเก๋อโค้งคำนับ “น้อมรับบัญชาท่านโหวทุกเมื่อขอรับ”
“เจ้าออกไปเถิด”
“ขอรับ”
หลังจากหมอจูเก๋อออกไป ท่านโหวกู้ก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เรี่ยวแรงของเขาเหมือนถูกสูบหายไปจดหมด หัวสมองอื้ออึง
หมู่บ้านกลางเขายามราตรีนั้นเงียบสงัดจนน่าสะพรึงกลัว แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลงบนพื้น สะท้อนเงาไม้ใบหญ้าในเรือนที่กำลังขยับไหว
อุ้มเด็กผิดคนเป็นแน่อย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนเรื่องอุ้มผิดตัวได้อย่างไรต้องถามบ่าวไหร่ที่อยู่ข้างกายยามแม่นางเหยาคลอดลูกในตอนนั้น
แต่น่าเสียดาย เพราะเรื่องราวผ่านมานานหลายปี คนเหล่านั้นล้วนแต่ไม่ได้อยู่ที่จวนอีกต่อไป หากจะตามหาคงยากลำบากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่แน่ใจว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
หากจะพูดว่าเขาไม่สนใจเลยสักนิดก็คงโกหก แต่หากจะบอกว่าเขาสนใจจนไม่เป็นอันทำการทำงานก็โกหกเหมือนกัน
เพื่อดูแลลูกชายที่ป่วยหนัก แม่นางเหยาเสียสละตัวเองมานานมาพอแล้ว เขาต้องเก็บมาครุ่นคิดว่าแม่นางเหยาจะรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้หรือไม่
หากบอกแล้วเป็นการทำร้ายนาง เช่นนั้นเขาก็ยอมเก็บงำความจริงนี้เอาไว้ชั่วชีวิต
แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องคิดถึงวันหน้าของจิ่งอวี้ด้วย
จิ่งอวี้เป็นลูกที่เขาทุ่มเทกายใจเลี้ยงดูฟูมฟัก เขารักนางเสียยิ่งกว่าลูกชายทั้งสี่คน เขาไม่อยากให้จิ่งอวี้ต้องเจ็บปวดแม้เพียงนิด
และสุดท้ายก็คือเด็กคนนั้น
ตอนนี้เขายังคิดไม่ตกว่าจะรับเด็กคนนั้นกลับมาดีหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาต้องตามหานางให้เจอ
เพราะนางคือตัวนำยาเพียงคนเดียวของกู้เหยียน นางคือคนที่จะช่วยชีวิตกู้เหยียน
“ใครก็ได้เข้ามาที!”
“ท่านโหว”
“เรียกแม่นมฝางมา”
“ขอรับ”
แม่นมฝางคือแม่นมผู้ดูแลจวนแห่งนี้ ทั้งยังเป็นคนที่ติดตามมาจากตระกูลเหยา
แม่นมฝางเดินเข้าห้องมาแล้วคำนับให้กับท่านโหวกู้ “นายท่าน เรียกหาข้าหรือเจ้าคะ”
ท่านโหวกู้ยกมือขึ้น ภายในห้องมิได้จุดตะเกียง สายตาของเขาทอดมองไปยังท้องฟ้ายามราตรี แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาสะท้อนให้เห็นเขารำไร
ท่านโหวกู้ถาม “ฮูหยินคลอดลูกที่วัดใด”
แม่นมฝางชะงักไป “เหตุใดท่านโหวถึงได้ถามเรื่องนี้เจ้าคะ”
ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ฮูหยินไปกราบพระโพธิสัตว์ที่วัดนั้นอยู่บ่อยๆ อาการป่วยของเหยี่ยนเอ๋อร์ก็ดีขึ้นเพราะเหตุนั้น ข้าอยากจะไปจุดธูปไหว้พระที่วัดสักวัน”
แม่นมฝางประหลาดใจ ท่านโหวไม่เชื่อเรื่องพระเรื่องเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร เหตุใดจู่ๆ ถึงได้บอกว่าอยากไปจุดธูปไหว้พระที่วัด
…
อีกฟากหนึ่ง กู้เจียวนำเงินที่ได้กลับไปซื้อขาหมูน้ำแดงและหมูก้อนน้ำแดงที่ร้านอีกครั้ง ทั้งยังให้ใส่ลงไหเหมือนเดิม หลังจากนั้นนางก็ไปยังตลาดเพื่อซื้อรองเท้าและเสื้อผ้า
เพราะซื้อของมากเกินไป ตะกร้าน้อยของนางจึงใส่ของไม่หมด จึงต้องรวบห่อผ้าสองห่อเป็นห่อใหญ่
เซียวลิ่วหลังรู้ว่าวันนี้นางเข้ามาในตัวอำเภอ และเมื่อใดที่นางเข้าอำเภอมาก็ต้องมารับเขาหลังเลิกเรียน เขาจึงบอกให้ลุงหลัวเอ้อร์รอก่อน
รอแล้วกว่าครึ่งชั่วยาม แม้แต่กู้เสี่ยวซุ่นยังคิดว่าพี่สาวของตัวเองกลับบ้านไปแล้ว และแล้วกู้เจียวก็ปรากฏตัวขึ้น
ร่างของนางบอบบาง ทว่าห่อผ้านั่นกลับใหญ่จนน่าตกใจ ใหญ่เสียจนบังนางแทบมิดทั้งตัว นางชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังห่อผ้าอย่างยากลำบาก ดวงหน้าน้อยแดงระเรื่อ หอบหายใจหนัก
นางไม่ได้เหนื่อย แต่กำลังหายใจไม่ออก
ทั้งสามรีบรับเข้าไปรับห่อผ้าจากนางแล้วพยุงนางขึ้นนั่งบนเกวียนเทียมวัว
หลังจากนั่งลงเรียบร้อย กู้เสี่ยวซุ่นก็เอ่ยเร่งเร้า “ลุงหลัวเอ้อร์ รีบกลับหมู่บ้านกันเถิด ข้าหิวจนไส้จะขาดแล้ว!”
ลุงหลัวเอ้อร์ยิ้ม “ได้เลย!”
กู้เจียวปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เหตุใดพวกเจ้ายังไม่กลับไปกันอีก”
กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย “ก็รอท่านพี่นะสิ พี่เขยบอกว่าท่านจะมาแน่นอน”
กู้เจียวหันไปมองเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะเอ่ยเสียงจริงจัง “รอนานขนาดนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะกลับไปก่อนแล้วหรือ”
รอนางอยู่ได้ บ้าจริงเชียว!
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “แล้วเจ้ามาช้าขนาดนี้ ไม่กลัวข้ากลับไปก่อนแล้วหรือ”
จากตลาดมายังที่นี่ไม่ใช่ทางผ่าน แต่ยังลงทุนเดินอ้อมมาเพื่อจะดูว่าเขารอนางอยู่หรือไม่!
บ้าจริงเชียว!
กู้เสี่ยวซุ่นลูบท้องที่ส่งเสียงร้องประท้วง จู่ๆ ก็รู้สึกอิ่มเสียอย่างนั้น เพราะเหตุใดกันนะ
เมื่อถึงบ้าน เสี่ยวจิ้งคงออกมารอที่หน้าประตูนานมากแล้ว หญิงชราบอกให้เขานับหนึ่งถึงร้อย ประเดี๋ยวกู้เจียวก็กลับมา
หลังจากที่นับหนึ่งถึงร้อยไปแล้วไม่รู้กี่จบ เกวียนเทียมวัวก็เคลื่อนเข้ามาในหมู่บ้าน
เขายกเท้าน้อยๆ วิ่งออกไป “เจียวเจียว! เจียวเจียว!”
เขาอยากจะเรียกว่าเจียวเจียว กู้เจียวก็ตามใจเขา พอเห็นหัวโล้นน้อยๆ วิ่งเตาะแตะมาหาตน
กู้เจียวกำลังจะเอ่ยเตือนเขาว่าระวังล้ม แต่สุดท้ายเขาก็หกล้มลงจริงๆ
ดูท่าทางเขาคงหกล้มจนชินแล้ว ทั้งยังไม่ลืมที่จะกุมหัวโล้นเหมือนฟักขาวของตัวเอง ก่อนจะล้มลุกคลุกคลานมาถึงริมเท้าของกู้เจียว
กู้เสี่ยวซุ่นเป็นคนแบกห่อผ้า สองมือของกู้เจียวว่างเปล่า นางดึงเสี่ยวจิ้งคงให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะช่วยเขาปัดฝุ่น “ล้มเจ็บหรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้า “ไม่มี! ไม่เจ็บ! ข้าหกล้มเก่งจะตายไป!”
กู้เจียว ‘ผลักคนอื่นล้มต่างหากที่เรียกว่าเก่ง ล้มเองแบบนี้จะเรียกว่าเก่งได้ยังไง’
“ทักทายคนอื่นด้วย” กู้เจียวชี้ไปยังเซียวลิ่วหลังและกู้เสี่ยวซุ่นที่อยู่ด้านหลัง
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กมีมารยาท จึงเอ่ยทักทายพี่เขยและกู้เสี่ยวซุ่นอย่างว่าง่าย
แม้ความจริงแล้วไม่อยากจะทักทายสักเท่าไหร่ก็ตาม
กู้เจียวจูงมือเสี่ยวจิ้งคงกลับมาถึงบ้าน
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดโลนเต้นดีใจสุดขีด!
หลังจากกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวจิ้งคงก็เข้าไปในครัวแล้วหอบมันเผาหัวใหญ่ออกมา
“เจียวเจียว กินมันหวานกันเถอะ! ข้าเผาเองเลยนะ!”
ความจริงแล้ว เซวียหนิงเซียงเป็นคนเอามันหวานมาให้ตอนแวะมาทำกับข้าว ส่วนไฟนั้น
เซวียหนิงเซียงก็เป็นคนก่อ มันหวานเซวียหนิงเซียงก็เป็นคนล้าง ส่วนเสี่ยวจิ้งคนนั้นแค่คีบมันหวานที่ล้างสะอาดแล้ววางบนตะแกรง หลังจากย่างเสร็จแล้วก็เป็นเซวียหนิงเซียงเช่นเดิมที่เป็นคนยกออกจากเตา
แต่ในความคิดของเสี่ยวจิ้งคง ตนเองนั้นเป็นคนลงมือทำในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการย่าง เพราะอย่างนั้นเขาจึงถือว่าเป็นคนเผามันหวานนี้!
พี่เซวียก็แค่เป็นคนเอามันหวานมาให้ ล้างมันหวานแล้วก็ยกมันหวานออกจากเตาเท่านั้นเอง!
กู้เจียวชิมหนึ่งคำเพื่อเอาใจ
“อร่อยไหม อร่อยไหม อร่อยไหม” เสี่ยงจิ้งคงเอียงคอถามไม่หยุดปาก
“อืม อร่อย” แต่เย็นชืดไปหน่อย นางจึงกินไม่รู้รสสักเท่าไหร่ เสี่ยวซุ่นเองก็ไม่ได้เรื่องมาก เพียงแต่เซียวลิ่วหลังนั้นท้องไส้ไม่ค่อยดี คงจะมวลท้องเป็นแน่
กู้เจียวนำมันเผาเข้าไปอุ่นในครัวอีกครั้ง จากนั้นก็ยกถ้วยออกมาอีกสองใบ ในนั้นมีขาหมูน้ำแดงและหมูก้อนน้ำแดงที่จะเอาไปให้เซวียหนิงเซียง
เซวียหนิงเซียงให้ไข่ต้มและหมั่นโถวเปล่าเป็นการตอบแทน
ยามกู้เจียวกลับมา เสี่ยวจิ้งคงก็เรียงชามและตะเกียบเรียบร้อยแล้ว
ทั้งห้าคนนั่งกินข้าวด้วยกัน
เสี่ยวจิ้งคงนั่งรอให้ป้อนอย่างว่าง่าย
กู้เจียวคีบขาหมูส่วนที่ติดมันแต่ไม่เลี่ยนจนเกินไปใส่ลงไปในถ้วยของเขา
เสี่ยวจิ้งคงส่งเสียงร้องตื่นเต้นดีใจ หยิบตะเกียบคีบชิ้นเนื้อขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันได้กินเข้าปาก เพียงพริบตาเดียวที่ได้กลิ่น สองตาก็เหลือกขึ้นในทันใด ก่อนจะล้มลงดังโครม!
เขานอนแพร่หลาอยู่บนพื้น ลำคอเอียงพับ ลิ้นห้อยออกมาจากปาก ก่อนจะหมดสติไป!
กู้เจียว “…”
บนโลกนี้มีคนเมาเนื้อจนเป็นลมจริงหรือนี่!