สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 8 สันโดษ
ถนนในหมู่บ้านสัญจรไม่สะดวกนัก โดยเฉพาะเส้นทางไปยังเรือนของเซียวลิ่วหลังและกู้เจียวนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมาย พาให้ล้อรถติดหล่มเอาได้ง่ายๆ
เกวียนจอดลงที่หน้าหมู่บ้าน
“ท่านพี่เซียว” สหายกระโดดลงมาจากรถก่อน พลางยื่นมือออกไปพยุงเซียวลิ่วหลังรถ
ทั้งยังหอบหิ้วห่อผ้าของเซียวลิ่วหลังด้วย
เมื่อเซียวลิ่งหลังยืนมั่นจึงหันหลังไปมองกู้เจียว
กู้เจียวกระโดดลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว พร้อมทั้งสะพายตะกร้าขึ้นหลัง
เซียวลิ่วหลังเบนสายตากลับ พลางเอ่ยกับสหาย “เจ้ากลับไปเถิด ไม่ต้องไปส่งแล้ว”
ฟ้ามืดแล้วอย่างที่ว่าจริง คนขับรถม้าเองก็ชักจะหงุดหงิดแล้ว
สหายเอ่ยตอบ “เช่นนั้นก็ได้ ข้าไปล่ะ อีกสามวันมีสอบ ท่านอย่าลืมล่ะ วันนั้นสำนักบัณฑิต
ไม่หยุด ข้าคงไม่ได้มารับท่าน ท่านอย่าลืมไปสอบล่ะ”
“อืม” เซียวลิ่วหลังพยักหน้าเบาๆ แล้วรับห่อผ้ามา
ถนนยามค่ำคืนเดินทางลำบาก แถมในมือของพวกเขาไม่มีตะเกียงอีกต่าง กู้เจียวจึงยืนนิ่งอยู่
อีกฝั่งรอเซียวลิ่วหลัง
สหายเหลือบมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะลากเซียวลิ่วงหลังหนีห่างไปอีกทางแล้วเอ่ยกระซิบ “ท่านพี่ อีกสามวันข้างหน้าท่านต้องตั้งใจสอบ สอบติดแล้วก็ได้เข้าสำนักบัณฑิต ไม่ต้องถูกนางหญิงชั่ว
ผู้นี้รังแกอีกต่อไป! เรื่องรักษาขาท่านอย่าได้ร้อนใจไป ข้าจะคอยฟังข่าวหมอจางอยู่ตลอด
อีกอย่าง ขนมดอกกุ้ยฮวานั่นท่านกินเองเสีย อย่าได้แบ่งหญิงชั่วนั่น!”
เหงื่อที่ไหลท่วมกายกู้เจียวจากการแบกตะกร้าเดินมาจากตลาด บัดนี้แห้งเหือดไปหมดแล้วเพราะสายลมพัดโกรกยามนั่งบนรถ แก้มที่เคยแดงก่ำบัดนี้หวานเหน็บจดซีดเผือด ทว่ากลับชวนมอง
ยิ่งนักยามอยู่ใต้แสงจันทร์เช่นนี้
เซียวลิ่วหลังกวาดสายตามองนาง สหายหมายจะย้ำเตือนอีกสักสองสามคำ
แต่กลับถูกเซียวลิ่วหลังเอ่ยขัดขึ้นมา “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
สหายอ้าปากพผะงาบ เซียวลิ่วหลังกลับไม่สนใจ มือข้างหนึ่งคว้าห่อผ้าไป มืออีกข้างกำไม้เท้า ก่อนจะหันหลังมุ่งหน้าเดินกลับบ้านของตัวเอง
กู้เจียวก้าวตามไป
กู้เจียวรักษาระยะห่างกับเขาพอประมาณ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าใกล้มากเกินไป แต่หากเขาสะดุดล้มไปก็ยังพอช่วยประคองเขาได้ทัน
ทว่าเซียวลิ่วหลังนั้นคุ้นเคยกับเส้นทางนี้นัก ตลอดทางจนถึงบ้านจึงไม่เกิดเหตุอันใดขึ้น
ยามนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท ประตูหน้าต่างทุกบ้านล้วนแต่ปิดสนิท
มีเพียงเซวียหนิงเซียงที่ออกมาตักน้ำเพื่ออาบน้ำ นางนิ่งชะงักอยู่ที่หน้าประตูเรือนอยู่ครู่หนึ่ง
“อาเซียงเหตุในเจ้ายังไม่เข้ามาอีก เจ้าดูอะไรอยู่หรือ”
แม่สามีของเซวียหนิงเซียงนอนป่วยอยู่ในเรือน เอ่ยถามนางด้วยเสียงแหบพร่า
เซวียหนิงเซียงกะพริบตาอย่างเลื่อนลอยก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่…ไม่มีจ้ะ”
นางต้องตาฝาดไปแล้วเป็นแน่ เหตุใดเซียวลิ่วหลังถึงได้เดินมากับนางหญิงบ้านั่นได้ แม้พวกเขาจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ศัตรูอย่างไรก็คือศัตรู
ณ เรือนหลังเก่าของตระกูลกู้
วันนี้ญาติผู้ใหญ่ลงมือเข้าครัว แม่นางโจวและลูกสาวกู้เยว์เอ๋อยกอาหารร้อนกรุ่นเข้ามาใน
ห้องโถง พร้อมกับจัดวางถ้วยชามและตะเกียบ
ในเรือนตระกูลกู้ ผู้หญิงไม่สามารถร่วมโต๊ะอาหารได้ บนโต๊ะจึงมีเพียงนายใหญ่กู้
ลูกชายคนโตกู้ฉังไห่ ลูกชายคนเล็กกู้ฉังลู่ และหลานชายอีกสามคน
ส่วนเหล่าฮูหยินอู๋ก็พาสะใภ้ทั้งสองและหลานสาวนั่งกินข้าวอยู่ในครัว
นายใหญ่กู้เป็นนายอากรของที่นี่ อาหารการกินจึงอุดมสมบูรณ์กว่าชาวบ้านทั่วไป
ครอบครัวอื่นปีหนึ่งจะได้กินเนื้อเพียงแค่ไม่กี่มื้อ แต่เดือนหนึ่งตระกูลกู้กลับได้กินเนื้อถึงสองหน
และวันนี้คือวันที่มีเนื้อขึ้นโต๊ะ
เนื้อหมูสามชั้นตุ๋นผักกาดขาว เพียงแค่น้ำแกงก็ส่งกลิ่นหอมของเนื้ออบอวลไปทั่ว
เพียงแต่เนื้อหมูสามชั้นไม่ได้มีมากนัก คนหนึ่งคีบกินได้ไม่ถึงสองชิ้นด้วยซ้ำ
หลังจากกู้ฉังไห่และกู้ฉังลู่คีบเนื้อไปกันคนละชิ้น แต่พอสายตาของเคร่งขรึมของนายใหญ่ประจำตระกูลมองมา ก็ไม่มีใครกล้าคิดครอบครองชามเนื้อนั้นอีก ก่อนจะหันไปคีบผักดองผัดผักแทน
นายใหญ่กู้ไม่ได้กินมากขนาดนั้น เขาคีบเนื้อชิ้นเล็กไว้ แล้วคีบเนื้อชิ้นไม่เล็กไม่ใหญ่ให้กับ
กู้เสี่ยวซุ่นและกู้เอ้อซุ่น ส่วนที่เหลือนั้นก็ยกให้กู้ต้าซุ่นทั้งหมด
กู้เสี่ยวซุ่นพินิจมองพลางนับชิ้นเนื้อ ทั้งหมดมีห้าชิ้น แถมยังเป็นชิ้นใหญ่ทั้งนั้น!
“เหตุใดถึงต้องให้เขาทั้งหมดด้วย” กู้เสี่ยวซุ่นวางตะเกียงลง พลางบ่นอุบอิบ
กู้เอ้อซุ่นกระซิบ “เพราะพี่ใหญ่เป็นคนเรียนหนังสือ ความหวังของตระกูลเราก็ฝากไว้ที่เขาแล้วล่ะ”
ยามเขาพูดออกไป ความจริงแล้วสายตาก็แอบชำเลืองมองชิ้นเนื้อในชามของกู้ต้าซุ่นอย่าง
อดไม่ได้อยู่เหมือนกัน
เขาอิจฉา
อิจฉามากจริงๆ
ทว่าเขานั้นชินเสียแล้วกับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมเช่นนี้
ผู้ชายในบ้านมีตั้งมากมาย มีเพียงพี่ใหญ่ที่เก่งพอจะเรียนหนังสือ ปีนี้พี่ใหญ่ยังสอบติดอันดับมณฑลอีกต่างหาก ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าท่านปู่สมัยก่อนอีก
“เชอะ” กู้เสี่ยวซุ่นกลอกตามองบน “พี่เขยข้าก็เรียนหนังสือเหมือนกัน ไม่เห็นพวกท่านเรียกเขามากินเนื้อด้วยเลย”
“จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า พี่ใหญ่สอบผ่านสำนักเซี่ยนเสวีย แล้ว เขาจะมาเทียบพี่ใหญ่ได้อย่างไร”
“พี่เขยข้าแค่ยังสอบไม่ผ่านเท่านั้นเอง”
สองพี่น้องเถียงกันไปมา นายใหญ่กู้ตบตะเกียบลงบนโต๊ะดังปัง ทั้งสองเงียบปากในทันใด
หากท่านปู่โมโหขึ้นมาแล้ว อย่าว่าแต่หลายชายทั้งสามคนจะห้ามไม่อยู่ แม้แต่กู้ฉังไห่และกู้ฉังลู่ก็รั้งไม่ไหวเช่นกัน
ภายในห้องเงียบสงัดจนน่าขนลุก
“น้องรอง เจ้าได้อ่านหนังสือที่ข้าให้หรือยัง ในนั้นข้าทำเครื่องหมายอธิบายเอาไว้
เจ้าตั้งใจอ่านดู หากไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามข้า”
คนที่พูดขึ้นคือกู้ต้าซุ่น
คนที่กล้าปริปากพูดขึ้นมายามท่านปู่โมโหแบบนี้ก็คงมีแค่เขา
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน จังหวะจะโคนนุ่มนวล ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป มีมาดสมกับเป็นบัณฑิต
ผู้คงแก่เรียน
นายใหญ่กู้มองหลานชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยความเอ็นดู ไม่นานความขุ่นเคืองก็มลายหายไป
กู้เอ้อซุ่นตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “ข้าขอบคุณพี่ใหญ่ยิ่งนัก!”
แรกเริ่มเดิมทีนายใหญ่กู้สอนตำราให้กับหลายชายทั้งสาม แต่มีเพียงกู้ต้าซุ่นที่สอบผ่าน
ความรู้เท่าที่มีอยู่ของนายใหญ่กู้ไม่สามารถสอนเขาได้อีกต่อไป จึงต้องส่งกู้ต้าซุ่นไปร่ำเรียนในสำนักบัณฑิตส่วนตัวในตัวอำเภอ
ค่าเล่าเรียนของสำนักบัณฑิตนั้นแพงนัก ตระกูลกู้จึงส่งคนที่มีความสามารถที่สุดไปร่ำเรียนได้เพียงคนเดียว
กู้เอ้อซุ่นฝันอยากจะเป็นเหมือนกู้ต้าซุ่น
นายใหญ่กู้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแม้จะไม่ได้โกรธเคืองแล้วก็ตาม “ช่วงนี้อย่าได้รบกวนพี่ใหญ่เจ้า เขาใกล้จะสอบแล้ว”
กู้เอ้อซุ่นพยักหน้าอย่างนอบน้อม “เข้าใจแล้วขอรับท่านปู่”
กู้เสี่ยวซุ่นไม่อยากอยู่ที่นานมากไปกว่านี้ เขากินเพียงอีกสองสามคำก็ลุกออกไป
เขาอยากจะออกไป แต่จะเดินออกประตูหน้าก็ไม่ได้ ครั้นจะออกทางประตูหลังครัวก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะท่านย่าอู๋ก็รับมือยากไม่น้อยไปกว่าท่านปู่เลย
กู้เสี่ยวซุ่นตัดสินใจปีนกำแพง
แม่นางหลิวฟาดเข้าที่หัวเขาอย่างแรง ก่อนจะตวาดเสียงต่ำ “ท่านปู่ท่านย่าเจ้ายังอยู่
เจ้าอยากตายหรืออย่างไร”
“อย่าตีหัวข้า!” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ดึกป่านนี้แล้ว เจ้าจะออกไปทำอะไร”
“ท่านพี่ข้าไม่มากินข้าวแล้วทั้งวัน ข้าจะไปดูนางเสียหน่อย”
แม่นางหลิวส่งเสียงฮึดฮัด “นางไม่มาก็ดีแล้วนี่ เจ้าจะไปดูทำไมกัน คนแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็วิ่งโร่กลับบ้านแม่ตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน ใช้ได้เสียที่ไหน!”
กู้เสี่ยวซุ่นเบ้ปากเอ่ย “ก่อนตายท่านน้าสามและท่านน้าสะใภ้สามพูดไว้แล้ว ท่านปู่ท่านย่าเองก็รับปากแล้ว ท่านพี่เป็นคนแต่งเขยเข้าบ้าน เจ้าแซ่เซียวนั่นเป็นเขยที่แต่งเข้าตระกูลเรา ท่านพี่ยังเป็นคนของบ้านเรา”
แม่นางหลิวเถียงเขาไม่ออก ทำได้เพียงหยิกเขาแทน!
กู้เอ้อซุ่นแม้จะเชื่อฟังแต่ก็ไม่เอาการเอางาน กู้เสี่ยวซุ่นนอกจากจะดื้อด้านแล้วยังใช้งานไม่ได้อีก นางคลอดลูกออกสองคนไม่ได้ความเลยสักคน!
…
กู้เจียวซื้อแป้งข้าวสาลีกลับมาจากตลาด นึกไม่ถึงเลยว่าเซียวลิ่วหลังก็ซื้อกลับมาด้วยเช่นกัน
ทั้งยังซื้อหมั่นโถวเปล่ามาด้วยอีกต่างหาก
กู้เจียวนำหมั่นโถวเข้าไปอุ่นในครัว
ส่วนเซียวลิ่วหลังเป็นคนก่อไฟ
กู้เจียวเองก็ไม่ได้ตั้งแง่เง้างอน
ตอนที่เธอออกจากบ้านไป บาดแผลบนข้อมือไม่เจ็บหนักขนาดนั้น แต่พอนางทำนู่นทำนี่ที่ตลาด ปากแผลถึงได้ปริเปิด โชคดีที่เธอสังหรณ์ใจว่าที่บ้านไม่ปลอดภัย ถึงได้พบกล่องยาติดตัวไปด้วย
จึงพันแผลใหม่ที่ตลาดได้
ทั้งสองไม่มีใครเอ่ยถึงหมั่นโถวข้าวโพดสามลูกนั่น เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่อธิบาย กู้เจียวเองก็ไม่ได้ซักไซ้
“กินกันที่นี่เถิด อบอุ่นดี” กู้เจียวเอ่ย เธอหนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว ก็ยังเจื้อยแจ้วไม่หยุด
เซียวลิ่วหลังชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขานตอบตกลงแล้วหย่อนตัวนั่งบนตั่งข้างกายกู้เจียว
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองใกล้ชิดกันขนาดนี้ ใกล้ถึงขนาดที่ว่าเขานั่งอยู่ชิดซ้ายมือของกู้เจียวแล้วเห็นปานบนใบหน้าซีกซ้ายของนาง
แต่ก่อนกู้เจียวมักจะผัดแป้งหนาปิดบังมันไว้ แต่วันนี้นางกลับใบหน้าเปลือยเปล่า
ไม่มีสิ่งใดแต่งแต้มปกปิด
ริมฝีปากงามของเซียวลิ่วหลังค่อยๆ ขยับ ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใดออกมา
แต่ก่อนนางไม่เคยถามไถ่เรื่องของเขา เขาเองก็ไม่เคยถามเรื่องของนาง
เดิมทีทั้งสองไม่เคยข้องเกี่ยวกัน จึงไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนอันใดให้ลึกซึ้ง
หมั่นโถวเปล่าไร้รสชาติ แต่กู้เจียวนั้นหิวโหยมาทั้งวันจึงไม่ได้บ่นจุกจิกเรื่องนี้
กู้เจียวกินจนแทบจุก จึงกลับเข้าไปในเรือนเพื่อดื่มน้ำ ครั้นกลับเข้ามาในครัวเซียวลิ่วหลัง
ก็ไม่อยู่แล้ว บนตั่งเตี้ยมีห่อของบางอย่างวางอยู่
กู้เจียวเปิดออกดู
นั่นคือขนมดอกกุ้ยฮวา