สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - ตอนที่ 87 เปิดโปง
คล้ายว่าเป็นเสียงท่องตำราติดๆ ขัดๆ ของชายคนหนึ่ง ทุกครั้งเมื่อถึงประโยคหนึ่งจะชะงักลง จากนั้นก็เริ่มท่องตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
คนนิสัยย้ำคิดย้ำทำอย่างเสี่ยวจิ้งคงทนไม่ไหว จึงเดินจูงเหล่าลูกเจี๊ยบเดินเข้าไป ก่อนจะเห็นกู้ต้าซุ่นขมวดคิ้วเป็นปมอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่นอกตัวเรือนตระกูลกู้
เสี่ยวจิ้งคงรู้จักกู้ต้าซุ่น เพียงแต่ไม่เคยพูดคุยกับกู้ต้าซุ่น เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดกู้ต้าซุ่นไม่อ่านหนังสือในบ้าน แต่กลับออกมาอ่านใต้ต้นไม้เช่นนี้
คนในบ้านกำลังทะเลาะกันยกใหญ่เรื่องใบชาและแม่ไก่ บ้านรองโทษว่าบ้านใหญ่วางแผนไม่ได้เรื่อง บ้านใหญ่โทษว่ากู้เสี่ยวซุ่นจากบ้านรองเป็นคนทำให้เสียแผน…
กู้ต้าซุ่นตั้งสมาธิไม่ได้ถึงได้ออกมาสงบจิตสงบใจใต้ต้นไม้ คิดไม่ถึงเลยว่าอ่านไปอ่านมากลับพบบางตัวอักษรที่ตนเองอ่านไม่ออก
“ซ่อน! คำนี้อ่านว่าซ่อน!” เสี่ยวจิ้งคงยืนอยู่ข้างหลังเขา มองดูตัวอักษรบนตำราแล้วพูดขึ้น
เสียงเจื้อยแจ้วที่จู่ๆ ก็ดังโพล่งขึ้นมาพาให้กู้ต้าซุ่นตกใจ เขาเหลียวกลับไปก่อนมองเสี่ยวจิ้งคงด้วยสายตาแปลกประหลาด
เสี่ยวจิ้งคงมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ก็นานแล้ว เขาเคยได้ยินข่าวบ้าง ทั้งเคยเห็นอยู่ไกลๆ แต่ไม่เคยพูดคุยด้วยมาก่อน
เสี่ยวจิ้งคงเห็นเขาชะงักไป ทึกทักไปเองว่าเขาไม่เข้าใจ จึงอ่านออกเสียงอีกครั้ง “ซ่อน ออกเสียงเหมือนคำว่าหลบซ่อนอย่างไรเล่า!”
กู้ต้าซุ่นไม่มีทางเชื่อเด็กสามขวบแน่นอน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดเหลวไหล”
เสี่ยวจิ้งคงเท้าสะเอว “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล! ข้าเคยเรียนมา!”
กู้ต้าซุ่นเอ่ย “เจ้าจะเคยเรียนได้อย่างไร”
เสี่ยวจิ้งคงตอบ “บทสวดพระวัชรสัตว์ เขาท่องได้ตั้งนานแล้ว!”
กู้ต้าซุ่นมองเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่อักษรอีกตัวหนึ่ง “คำนี้เล่า”
“นุต! ‘ไม่ว่ายามก่อน ยามนี้ หรือยามหน้า หากบำเพ็ญตนตามวิธีปรัชญาปรมิตาแล้ว ย่อมตรัสรู้อนุตรธรรมเฉกเช่นพระองค์’! คัมภีร์ปรัชญาปรมิตา!” ริมฝีปากน้อยของเขาเจื้อยแจ้ว ท่องออกมายาวเหยียดโดยไม่มีติดขัด
แม้กู้ต้าซุ่นจะไม่สัดทันพระธรรมคัมภีร์นัก แต่ก็รู้ดีว่าประโยคซับซ้อนเช่นนี้ ไม่มีทางที่เด็กสามขวบครึ่งคนหนึ่งจะโพล่งออกมาได้
เช่นนั้นก็แสดงว่าเขารู้จริง
หลังจากนั้นกู้ต้าซุ่นก็ชี้อักษรให้เสี่ยวจิ้งคงอ่านอีก บ้างตนก็อ่านออก บ้างตนก็ไม่ออก คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวจิ้งคงจะอ่านออกทั้งหมด ทั้งยังสามารถท่องออกมาได้ถูกทุกคำอีกต่างหาก
เสี่ยวจิ้งคงมองกู้ต้าซุ่นอย่างดูแคลน “ท่านเรียนหนังสืออย่างไรของท่าน ได้ยินมาว่าท่านเป็นซิ่วไฉมิใช่หรือ ซิ่วไฉล้วนแต่ไม่เอาไหนเช่นนี้ทุกคนหรือ”
จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็นึกถึงพี่เขยใจร้ายที่เพิ่งสอบไปซิ่วไฉได้ เขาคงไม่ได้แย่ขนาดนี้หรอกกระมัง
หากเป็นเช่นนั้นจะเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไร
จะเลี้ยงดูเขาจนโตได้หรือ
เสี่ยวจิ้งคงที่มัวแต่กังวลชีวิตในวันหน้าของครอบครัวก็ไม่มีอารมณ์พาไก่ออกไปเดินเล่นอีกต่อไป จึงพาเสี่ยวอีไปจนถึงเสี่ยวชีทั้งเจ็ดตัวกลับบ้าน
หลังจากเขาต้อนเหล่าลูกไก่เข้าเล้าเรียบร้อย ก็เรียนไปที่ห้องฝั่งตะวันตก
ตอนนี้เขายังเขียนหนังสือไม่เป็น โดยหลักแล้วเป็นเพราะไม่มีกำลัง จับพู่กันยังไม่ไหว แต่เขานั้นท่องบทสวดมนต์ได้
เขาหยิบบทสวดมนต์สองสามเล่มออกมาจากกระเป๋าใบน้อยของตน ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวลิ่วหลัง จากนั้นจึงสุ่มเปิดหน้าหนึ่ง แล้วชี้ไปที่อักษรซับซ้อนตัวหนึ่งบนนั้น “ตัวนี้อ่านว่าอย่างไร”
เซียวลิ่วหลังเหลือบมองเขา ก่อนอ่านเสียงเรียบ
เสี่ยวจิ้งคงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะพยักหน้าเงียบๆ
อ่านได้ถูกต้อง
เสี่ยวจิ้งคงชี้ไปที่อักษรอีกตัวหนึ่ง ตัวเดียวกันกับที่กู้ต้าซุ่นอ่านไม่ออกเมื่อครู่
เซียวลิ่วหลังอ่านออกมาอย่างง่ายดาย
“อืม” เสี่ยวจิ้งคงค่อนข้างพอใจ
จากนั้นเขาก็ทดสองเซียวลิ่วหลังต่ออีกหลายตัวอักษร และเซียวลิ่วหลังก็ตอบถูกทุกตัว
นอกจากนั้นเขายังลองภูมิเซียวลิ่วหลังโดยการให้อธิบาย เซียวลิ่วหลังถอดความทำนองเดียวกับพระอาจารย์ แถมยังใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่ายกว่าพระอาจารย์ด้วยซ้ำ
เอาล่ะ ดูท่าแล้วพี่เขยนิสัยเสียคงตั้งใจเรียนอยู่บ้าง เสี่ยวจิ้งคงค่อยโล่งอกขึ้นมา
เซียวหลิวหลังไหนเลยจะรู้ว่าเขามาลองภูมิตน กลับคิดว่าเขาอยากเรียนหนังสือด้วยซ้ำไป
เด็กในหมู่บ้านเจ็ดแปดขวบเพิ่งจะเข้าอนุบาล แต่เจ้าเณรน้อยฉลาดกว่าเด็กทั่วไป ทั้งยังมีพื้นฐานมาจากวัดบ้างแล้ว ส่งเข้าเรียนอนุบาลเร็วสักหน่อยคงจะได้
จะได้ไม่ต้องตามติดกู้เจียวแจได้ทั้งวัน
เซียวลิ่วหลังทดเรื่องส่งเสี่ยวจิ้งคงเข้าเรียนอนุบาลไว้ในใจ
…
อีกฟากหนึ่ง บาดแผลส่วนใหญ่ตามร่างกายของท่านโหวกู้สมานกันดี
เขาไม่ได้บอกว่าที่ตกในสภาพเช่นนี้เพราะฝีมือของลูกสาวตัวเอง บอกเพียงแค่ว่าบังเอิญหกล้ม เหล่าบ่าวไพร่จำใจต้องเชื่อเช่นนั้น
หวงจงได้นับจดหมายจากจวนที่เมืองหลวง
ท่านโหวกู้ได้อ่านจดหมายจากเมืองหลวง เรียวคิ้วก็ขมวดกันเป็นปม
หวงจงถาม “มีอะไรหรือขอรับท่านโหว ที่จวนโหวเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
ท่านโหวกู้ถอนหายใจ “ที่จวนไม่มีอะไร จดหมายจากซูเฟย[1]น่ะ”
หวงจงถามอย่างกังวล “ซูเฟยหรือขอรับ นางมีเรื่องเรียกท่านไปเข้าเฝ้าหรือ”
ท่านโหวกู้พับจดหมายเก็บใส่ซองอย่างจนใจ “วันเกิดนางใกล้จะมาถึงแล้ว จิ่นอวี้เกิดเดือนเดียวกับนาง นางถามข้าว่าเมื่อใดจะพาจิ่นอวี้กลับมา ปีนี้จิ่นอวี้ต้องเข้าพิธีปักปิ่น[2] เตือนข้าว่าห้ามลืมเด็ดขาด”
หวงจงตัดพ้อ “นั่นสินะขอรับ พริบตาเดียว นายหญิงน้อยก็อายุสิบห้าปีแล้ว”
ท่านโหวกู้เอ่ย “อีกตั้งครึ่งปีเถอะ”
แฝดหงส์เคียงมังกรเกิดเดือนสิบ
หวงจงหัวเราะ “ซูเฟยคงคิดถึงนางหญิงน้อยเป็นแน่”
ซูเฟยเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านโหวกู้ สนิมสนมกับโหวฮูหยินคนก่อนยิ่งนัก แต่ไม่ค่อยต้อนรับขับสู้แม่นางเหยาที่แต่งเข้ามาที่หลังสักเท่าไหร่ ทั้งยังเฉยชากับกู้เหยี่ยน มีเพียงกู้จิ่นอวี้ที่เอาชนะใจจนนางรักใคร่เอ็นดูเพราะความเฉลียวฉลากของตนเอง
ท่านโหวกู้ปวดหัวไปหมด
ตอนนี้เขายังกลับเมืองหลวงไม่ได้ ถึงจะกลับไป เขาก็ต้องพาแม่นางเหยากับกู้เหยี่ยนไปด้วย
เพราะกู้จิ่นอวี้ต้องเข้าพิธีปักปิ่น จะไม่ให้แม่บังเกิดเกล้าอยู่ข้างกายนางเชียวหรือ
อีกทั้งเขาเห็นว่าอาการป่วยของกู้เหยี่ยนดีขึ้นมากแล้ว สามารถพากลับเมืองหลวงไปด้วยได้
“เช่นนั้น…นายหญิงน้อยเล่าขอรับ” หวงจงหมายถึงกู้เจียว
“ก็ต้องพากลับไปด้วยอยู่แล้ว” ท่านโหวกู้เอ่ย
เหตุใดถึงมั่นใจนัก ไม่กลัวจะโดนทุบเอาหรือ
หวงจงนิ่งอึ้งไป “ไม่เก็บเลือดไปตรวจแล้วหรือขอรับ”
ท่านโหวกู้เดือดพล่านในทันใด “แล้วมันเก็บได้หรืออย่างไร! เจ้าก็ไปเก็บสิ”
หวงจงย่นคอ “ข้าน้อยไม่บังอาจขอรับ”
ท่านโหวกู้ขมวดคิ้วเอ่ย “เหยี่ยนเอ๋อร์สนิทสนมกับนางถึงเพียงนั้น ไม่มีทางผิดแน่ แต่ว่าด้วยเรื่องตัวนำยา ยาของหุยชุนถังยังพอใช้ไปได้ชั่วคราว เรื่องตัวนำยาจะทอดเวลาไปอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไรหรือขอรับ” หวงจงถาม
ท่านโหวกู้เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เด็กคนนั้นโตมาในหมู่บ้านป่าเขา เป็นม้าดีดกะโหลก ไม่มีกิริยาวาจาเยี่ยงกุลสตรีเลยสักนิด หากไปอยู่เมืองหลวงคงถูกคนนินทาเป็นแน่ ก่อนกลับไปต้องหาคนมาสอนนางสักหน่อย”
หวงจงกรอกตาไปมา “ท่าน…ข้ามขั้นตอนสำคัญไปหรือเปล่าขอรับ อย่างเช่นว่า…นายหญิงน้อยอาจจะไม่ยินยอมก็เป็นได้”
ท่านโหวกู้ลูบชายแขนเสื้อไปมา “เหอะ! เรื่องเช่นนี้นางมีสิทธิไม่ยินยอมด้วยหรือ ข้าเป็นพ่อของนาง! ไม่ว่านางจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็จะพานางไป นางจะขัดขืนหรืออย่างไร”
หวงจงเม้มปากแน่น เช่นนั้นแล้วใครกันที่ถูกนายหญิงน้อยจับแขวนบนต้นไม้
ท่านโหวกู้ไม่ได้ประเมินตนสูงเกินไป คนที่เขาเป็นห่วงที่สุดครั้งนี้มิใช่กู้เจียว แต่เป็นแม่นางเหยา
เขาไม่รู้จะเอ่ยปากบอกแม่นางเหยาอย่างไรถึงจะกระทบกระเทือนจิตใจนางให้น้อยที่สุด
“ฮูหยินเล่า” ท่านโหวกู้ถาม
หวงจงนึกอยู่นานก่อนจะเอ่ย “เหมือนว่าจะอยู่สวนดอกโบตั๋นนอกหมู่บ้านเวินเฉวียน เมื่อครู่ข้าน้อยผ่านทางมาแล้วเจอฮูหยินที่นั่นขอรับ”
แม่นางเหยาอยู่ที่สวนดอกโบตั๋นจริงอย่างที่ว่า
หลังจากที่ต้นดอกโบตั๋นของกู้จิ่นอวี้ถูกทำลาย ท่านโหวกู้ก็สั่งให้ม้าเร็วขนต้นใหม่มาหลายต้น ทั้งยังให้คนถางที่ในลานบ้านเพิ่ม เพื่อให้ปลูกสวนดอกโบตั๋นให้แต่กู้จิ่นอวี้
ถือว่าชดเชยให้กับกู้จิ่นอวี้ที่ต้องเสียสาวใช้ข้างกายไป
กู้จิ่นอวี้และแม่นางเหยานั่งเล่นหมากรุกอยู่ที่กลางสวนดอกโบตั๋น “ท่านแม่ ตาท่านแล้วเจ้าค่ะ”
แม่นางเหยาเหม่อลอย
กู้จิ่นอวี้โบกมือไปมาตรงหน้าแม่นางเหยา “ท่านแม่ ท่านแม่!”
แม่นางเหยาได้สติกลับมา ก่อนจะหัวเราะขอโทษขอโพย “ตาแม่แล้วหรือ ไหนข้าดูสิเดินอย่างไรดี”
กู้จิ่นอวี้หยิบหมากที่นางเดินมาครู่ขึ้น ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เล่นมานานแล้ว ท่านคงเหนื่อยแล้ว พักผ่อนสักเดี๋ยวดีหรือไม่ กินอะไรสักเล็กน้อย”
“จ้ะ” แม่นางเหยาพยักหน้า ก่อนจะบอกให้สาวใช้ยกกระดานหมากรุกออกไปแล้ว ยกจานผลไม้ที่เพิ่งหั่นสดใหม่และขนมดอกกุ้ยฮวาที่นางทำเองกับมือกล่องหนึ่งมาแทน
แม่นางเหยาดูออกว่านางไม่อยากกินสักเท่าไหร่ สาเหตุมากจากซูเฟย น้าสาวของกู้จิ่นอวี้ที่มักจะบอกว่ากินขนมมากจะอ้วนเอาได้
หลังจากนั้นเป็นต้นมาจิ่นอวี้ก็ไม่แตะขนมหวานเลี่ยนใดอีกเลย
“ท่านแม่ ช่วงนี้สีหน้าท่านดูดีขึ้นไม่น้อย” กู้จิ่นอวี้ยิ้มให้แม่นางเหยาพลางเอ่ย
แม่นางเหยาลูบใบหน้าของตัวเอง
นั่นสินะ หลังจากกินยาของกู้เจียว นางก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก กินได้ นอนหลับ ทั้งยังไม่รู้สึกเศร้าหมองอยู่บ่อยๆ เหมือนแต่ก่อน
มีเพียงเรื่องเดียวที่นางกังวลก็คือช่วงนี้นางเอาแต่คิดถึงกู้เจียว เมื่อครู่ที่เหม่อลอยไปก็เพราะว่านึกถึงนางขึ้นมา
เล่นหมากรุกกับลูกสาวอยู่แท้ๆ ไม่ควรใจลอยเช่นนั้นเลยจริงๆ
“ท่านแม่ เดี๋ยวก่อนเจ้าคะ!” กู้เจียววางขนมในมือลง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุดแล้วหยิบผ้าห่มออกมาคลุมบนร่างของแม่นางเหยา “ลมแรงนัก กลัวว่าท่านจะหนาว”
ลูกสาวเป็นห่วง แต่ก็เป็นห่วงในฐานะลูกสาว แม่นางเหยาละอายใจนัก
ไม่มีใครรู้ ว่ามีความลับบางอยู่ในใจของนางมาโดยตลอด
ตั้งแต่คลอดลูกออกมานางก็รักกู้เหยี่ยนมากกว่าจิ่นอวี้ ยามนางมองดูเด็กน้อยในห่อผ้าอ้อมคนนั้น ก็มีความรู้สึกบางว่าไม่อาจใกล้ชิดด้วยได้
จนกระทั่งพวกเขาอายุได้สามปี กู้เหยี่ยนสาดยาใส่จิ่นอวี้จนเปียกไปทั้งตัว ดูเหมือนว่าจิ่นอวี้จะโมโหมาก จึงโถมตัวเข้าหากู้เหยี่ยนจนล้มลงไปกับพื้น ทั้งยังขึ้นคร่อมกู้เหยี่ยนไม่ยอมลุก
กู้เหยี่ยนถูกทับจนหายใจไม่ออก
หลักจากที่นางเห็นข้า ก็เดินอาดเข้าไปกระชากจิ่นอวี้ออก ทั้งยังตบหน้านางอย่างจัง!
กู้เหยี่ยนเป็นคนเริ่มก่อน จิ่นอวี้จะเอาคืนก็เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งพวกเขาเป็นแค่เด็กสามขวบ
คนเป็นแม่อย่างนาง แค่แยกเด็กสองคนออกจากกันก็พอ ไม่จำเป็นต้องตุบตีนาง
จวบจนวันนี้นางยังคงจำสายตาตื่นตะหนกและเจ็บปวดของจิ่นอวี้ได้ดี
จิ่นอวี้ร้องไห้ไปปากก็เรียกแม่ไป แต่นางกลับไม่ใจอ่อนเลยแม้แต่นิด แต่กลับหุนหันพลันแล่นลงไม้ลงมือกับนาง!
เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้ว ยามนั้นเด็กทั้งสองคนยังไม่ทันมีความทรงจำเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วนางก็กู้คืนความรู้สึกที่มีต่อลูกกลับมาได้ระหว่างที่ใช้ชีวิตร่วมกัน
เพียงแต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ นางมักจะรู้สึกว่าตนเองไม่สมควรเป็นแม่คน
ทุกคนต่างคิดว่าอาการป่วยทางใจของนางมาจากความสัมพันธ์ของนางกับท่านโหว มาจากคำนินทาของผู้คน
แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นางคิดเพียงแค่ว่าตนเองเป็นแม่แท้ๆ แต่เหตุใดถึงไม่รักลูกของตัวเอง ถึงขั้นว่าคิดอยากจะทอดทิ้งลูกของตัวเอง เพราะอย่างนั้นนางจึงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
จิ่นอวี้เป็นลูกสาวต้นแบบคนหนึ่ง
แม้ตนจะเคยทำร้ายนาง แต่นางก็ยังคงเคารพตนเองเสมอ ทั้งยังยอมให้น้องชายที่เอาแต่กลั่นแกล้งนางอย่างไม่มีข้อแม้
“ท่านแม่ ท่านร้องไห้ทำไมเจ้าคะ” กู้จิ่นอวี้สังเกตเห็นน้ำตาของแม่นางเหยา
แม่นางเหยาเช็ดน้ำตาพลางยิ้มเจื่อน “เจ้ารู้สึกบ้างหรือไม่ว่าหลายปีมานี้…แม่ดีกับเจ้าไม่พอ”
กู้จิ่นอวี้กุมมือแม่นางเหยา ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านแม่ดีกับข้านัก ท่านพ่อและท่านย่าก็เช่นกัน พวกท่านและน้องชายเป็นคนที่ใกล้ชิดกับข้าที่สุดในโลก ลูกจะรักและเคารพพวกท่านไปตลอดชีวิต”
ระหว่างทางกลับ สาวใช้เรียกกู้จิ่นอวี้ไปเสียก่อน เพราะต้นดอกโบตั๋นกระถางใหม่มาถึงแล้ว นางจึงต้องไปตรวจรับของ
แม่นางเหยากลับไปที่เรือนคนเดียว ไม่มีสาวใช้คอยติดตาม
ยามเดินผ่านน้ำตกจำลอง แม่นางเหยาได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
“เจ้าอยากตายหรือย่างไร เรื่องแบบนี้พูดเล่นได้หรือ หากมีคนได้ยินเข้าแล้วเอาไปบอกท่านโหวกับโหวฮูหยิน เจ้าคงตายสถานเดียว!”
“ท่านป้า ข้ามิได้พูดเหลวไหล! ข้าได้ยินเองกับหู!”
แม่นางเหยาจำเสียงของทั้งสองคนได้ คนหนึ่งแม่นมฟางประจำเรือนนาง อีกคนหนึ่งคือหลานสาวของแม่นมฟาง ชุ่ยชุ่ย
ชุ่ยชุ่ยมีหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูนอกห้องหนังสือของท่านโหวกู้
เสียงพูดคุยยังคงดำเนินต่อไป แม่นางเหยาหยุดฝีเท้าลง
“เจ้าไม่กลัวว่าหูฟาดหรอกหรือ!” แม่นมฟางตะคอก
ชุ่ยชุ่ยตะโกนกลับ “ข้าไม่ได้หูฟาด! ท่านโหวพูดเช่นนั้น! นายหญิงน้อยของเราเป็นเด็กที่อุ้มผิดตัวมา! นางไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านโหวกับฮูหยิน!”
แม่นางเหยามึนงงไปหมด ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างตื่นตระหนก “เจ้าว่าอย่างไรนะ ใครอุ้มผิดตัว”
“ฮูหยิน” ชุ่ยชุ่ยและแม่นมฟางเหลียวไปมอง ก่อนจะตกตะลึกไปตามกัน
แม่นางเหยาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าชุ่ยชุ่ยอย่างเชื่องช้า “พูดคำที่เจ้าพูดเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง อะไรคืออุ้มผิดตัว อะไรคือไม่ใช่ลูกแท้ๆ”
แม่นมฟางตอบในทันใด “ฮูหยินอย่าไปฟังนางพูดจาเหลวไหลเลยเจ้าค่ะ…”
แม่นางเหยาตะคอกกลับ “เจ้าหุบปาก!”
แม่นางเหยาเป็นคนอ่อนหวาน แต่หากโมโหขึ้นมาแล้ว นางก็แว้งกัดเช่นกัน
ชุ่ยชุ่ยก้มหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “แม่…แม่นางน้อยเป็นเด็กที่อุ้มผิดตัวมา นางไม่ใช่ลูกสาวของท่านกับท่านโหว แม่นางน้อยตัวจริงปะปนอยู่กับชาวบ้าน เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทั้งหน้าตาอัปลักษณ์ทั้งปัญญาอ่อน ถูกคนรังแกอยู่บ่อยๆ ตอนที่ท่านโหวหานางเจอ นาง…”
แม่นางเหยาไม่ได้ยินคำพูดหลังจากนั้นอีกต่อไป นางรู้สึกเพียงว่าสองตามืดสนิท ผืนฟ้าแผ่นดินหมุนวนไม่หยุด
หลังจากนั้นดวงตาทั้งสองก็ปิดลง ก่อนจะล้มกระแทกพื้นอย่างแรง
——————–
[1] ซูเฟย (淑妃) ตำแหน่งสนม
[2] พิธีปักปิ่น (及笄礼) เป็นพิธีหนึ่งในสมัยโบราณ จัดขึ้นเมื่อเด็กผู้หญิงอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ บ่งบอกว่าหญิงสาวผู้นั้นพร้อมจะออกเรือนแล้ว