สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - ตอนที่ 92.2 ตัวตนที่แท้จริง (2)
ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เซวียหนิงเซียงให้กู้เจียวกลับไปนอนในห้อง ส่วนนางจะเก็บกวาดเอง
กู้เจียวยังคงอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงอยู่จริงๆ จึงไม่ได้ดึงดันไร้เหตุผลกับอีกฝ่าย นางขอบคุณแล้วกลับเข้าห้องไป
เซวียหนิงเซียงไปล้างจาน เสี่ยวจิ้งคงไปเดินเล่นกับพวกลูกเจี๊ยบ ส่วนเซียวลิ่วหลังเอายาที่นำกลับมาจากหุยชุนถังมาต้มแล้วยกไปให้กู้เจียว
ประตูเปิดไว้อยู่
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เคาะขึ้นเบาๆ
กู้เจียวปิดกล่องยาใบเล็กลง แล้วเงยหน้าขึ้น “มีอะไรหรือ”
สายตาเซียวลิ่วหลังกวาดผ่านกล่องยาใบเล็กของนางไปโดยไม่ทิ้งให้สังเกตเห็น เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ยาเสร็จแล้ว เป็นยาลดไข้”
“อ๋อ” กู้เจียวดันกล่องยาใบเล็กไปอีกด้าน ก่อนยื่นมือไปรับยาที่เขาส่งมาให้
นางไม่ชอบกินยาขม แต่เห็นแก่ที่เขาลงมือต้มให้เอง นางจึงฝืนกัดฟันดื่มจนเกลี้ยงไม่เหลือสักหยด
นางส่งถ้วยยาคืนให้เขา “ขอบคุณมาก”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบว่า “แค่เล็กน้อย”
กู้เจียวมองแผ่นหลังเขาพลางยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าหมายถึงเรื่องเมื่อคืนที่เจ้าทายาให้ข้า”
แผ่นหลังเซียวลิ่วหลังแข็งทื่อทันที
กู้เจียวฟื้นขึ้นมาก็พบว่ามีคนจัดการบาดแผลของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ทั่วร่างล้วนมีกลิ่นยาห้ามเลือดโชยออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผ้าพันแผลที่ปิดบาดแผลตรงหลังนางผืนนั้นเลย
คนที่สามารถทำได้ประณีตเรียบร้อยเพียงนี้ไม่มีทางเป็นหญิงชราแน่นอน
เซียวลิ่วหลังไม่ได้หันกลับมา แต่สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาของนางที่ตกลงบนแผ่นหลังเขาได้ เขานึกถึงแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางและส่วนโค้งเว้าเบื้องล่างของนางขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
อายุที่เลือดลมพลุ่งพล่านเห็นสิ่งของเหล่านี้เข้าทำเอาแทบตายจริงๆ
เซียวลิ่วหลังลำคอแห้งผากอยู่ครู่หนึ่ง เขาตั้งสติวางมาดตอบไปอย่างจริงจังว่า “ไม่เป็นไร”
พูดจบก็ถือถ้วยยาเปล่าเดินออกไปด้วยท่าทางแข็งทื่อแขนขาขยับไปพร้อมกัน!
กู้เจียวมองแผ่นหลังที่เผ่นหนีของเขาพลางส่งเสียงอ้อออกมาคำหนึ่ง พึมพำว่า “ดูท่าแล้วจะเห็นไปไม่น้อยเลยนะนั่น”
วันนี้เซวียหนิงเซียงเป็นคนมาทายาให้นาง
อันที่จริงประตูปิดอยู่ หากแต่เซียวลิ่วหลังมองบานประตูห้องที่ปิดแน่นสนิทบานนั้นแล้วยังคงรู้สึกทำตัวไม่ถูก จึงคว้าเอาถังไปตักน้ำที่หน้าหมู่บ้านมันเสียเลย
กู้เจียวทายาได้ครึ่งทางก็มีคนมาเคาะประตูใหญ่เรียก
“ข้าไปดูเอง” เซวียหนิงเซียงวางยาห้ามเลือดลงแล้วเดินออกจากห้องกู้เจียวมา นางปิดประตูห้องให้กู้เจียว ก่อนจะดึงประตูใหญ่ของห้องโถงให้เปิดออด มองไปยังชายวัยกลางคนที่มีกลิ่นอายสุภาพมีวิชาความรู้ตรงหน้า “เจ้าเป็นใคร”
เจ้าสำนักหลีแย้มยิ้ม “ข้าเป็นเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนเซียง ข้าแซ่หลี ไม่ทราบว่านี่ใช่บ้านของเซียวลิ่วหลังหรือไม่”
เซวียหนิงเซียงพอได้ยินว่าเป็นสำนักที่เซียวลิ่วหลังเล่าเรียนอยู่ก็รีบเอ่ยด้วยความเกรงอกเกรงใจทันที “เจ้าสำนักนี่เอง มาหาลิ่วหลังหรือ เขาไปตักน้ำแหน่ะเจ้าค่ะ! เอ๋ เมื่อครู่ท่านมาจากหน้าหมู่บ้านไม่ได้เจอเขาเข้าหรือ”
รถม้าของเจ้าสำนักหลีจอดอยู่หน้าหมู่บ้าน แต่ตัวคนกลับเดินเข้ามาแทน ฟากฟ้าเริ่มมืดลงแล้วเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็น
เซวียหนิงเซียงเอ่ยว่า “ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปตามเขาให้!”
เจ้าสำนักหลีพลันห้ามนางไว้ “คือว่า…ไม่ทราบว่ากู้เจียวอยู่หรือไม่”
เซวียหนิงเซียงเอียงคอ “หือ”
กู้เจียวเชิญเจ้าสำนักหลีเข้ามาในห้องโถง แล้วเทชาจับเลี้ยงที่ต้มเสร็จแล้วให้เขาถ้วยหนึ่ง
หลายวันมานี้เสี่ยวจิ่งคงร้อนในอยู่นิดหน่อย กู้เจียวจึงซื้อผักคาวทองที่เก็บจากเขาซึ่งมีฤทธิ์ดับร้อนในมาจำนวนหนึ่ง นำมาต้นน้ำให้เขาดื่ม
เจ้าสำนักหลีไม่เคยดื่มชาที่ดื่มยากเช่นนี้มาก่อน ทว่าก็ยังคงฝืนทนดื่มจนเกลี้ยงถ้วยใหญ่
กู้เจียวเห็นว่าเขาชอบเพียงนี้จึงเทให้เขาอีกถ้วยใหญ่ๆ
เจ้าสำนักหลีผู้ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ “…”
หลังจากดื่มหมดไปสามชามใหญ่แล้ว กู้เจียวก็แกว่งกาน้ำชาพลางเอ่ยว่า “เอ๋ หมดแล้ว”
เจ้าสำนักหลีที่ดื่มจนแทบจะอ้วกออกมารอมร่อ ขอบคุณดินฟ้า ในที่สุดก็หมดเสียที!
กู้เจียวถามอย่างเกรงใจว่า “ที่เจ้าสำนักตั้งใจมาหาวันนี้มีธุระอะไรหรือ”
“เจ้าไปเยี่ยมเยือนมารดาข้าตั้งหลายหน ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าให้ดีๆ เลย” เจ้าสำนักหลีเอ่ยพลางส่งห่อผ้าในมือไปให้กู้เจียว “ต้นท้อท้ายเรือนออกผลแล้ว มารดาข้าให้ข้าเอามาให้เจ้าให้ได้”
กู้เจียวรับห่อผ้ามา “ขอบคุณเหล่าฮูหยินมาก”
เจ้าสำนักหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “มารดาข้าอายุอานามมากแล้ว บางครั้งกระทั่งตัวเองมีลูกชายกี่คนก็ลืมเลือนไป แต่จดจำเจ้าได้มาตลอด”
“กี่คนอย่างนั้นรึ” กู้เจียวมองเขาด้วยความฉงน
“อ่า” เจ้าสำนักหลีพลั้งปากบอกเรื่องในครอบครัวไป เขายิ้มแหย “ข้ายังมีพี่ชายอีกสี่คน ข้าเป็นลูกหลงของบ้าน”
มิน่าเล่าเจ้าสำนักยังอายุไม่ถึงสี่สิบแต่กลับดูอายุเยอะแล้ว
“พวกพี่ชายต่างอยู่กันที่เมืองหลวง ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีแล้ว” มากกว่านั้นเจ้าสำนักหลีไม่ได้เล่าต่อ
กู้เจียวก็ไม่ได้ถามต่ออีก
เจ้าสำนักหลีเอ่ยว่า “วันนี้ที่มาหานั้นยังมีอีกเรื่องที่เกี่ยวกับลิ่วหลัง”
กู้เจียว “เขาทำไมหรือ”
เจ้าสำนักหลี “เรื่องที่เขาสอบหลิ่นเซิงได้เจ้าคงรู้แล้วกระมัง แต่ยังมีอีกเรื่องที่ไม่ทราบว่าเจ้ารู้บ้างหรือไม่ เดิมทีเขามีโอกาสกลายเป็นหนึ่งในสามหงวน[1] มีคนซื้อตัวผู้คุมสอบให้เปลี่ยนข้อสอบของเขา ทำให้เขาส่งกระดาษเปล่าในรอบที่สาม”
แววตากู้เจียวเป็นประกายเย็นเยียบขึ้น
นี่เป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในสมัยโบราณ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนโกง
เจ้าสำนักหลีเล่าต่อว่า “การสอบใหม่นั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก สาเหตุที่เขาไม่สอบใหม่นั้นข้าไม่ทราบ บางทีเขาอาจไม่อยากสอบเอง หรือบางทีอาจจะมีขุนนางที่ออกหน้ามาไกล่เกลี่ย”
เขามีลูกศิษย์ที่ทำงานในก้งย่วนอยู่ที่เมืองผิงเฉิง จึงได้ข่าวคราวมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ความมาทั้งหมด
เจ้าสำนักหลีถามว่า “เขาเคยพูดถึงเรื่องนี้กับเจ้าบ้างหรือไม่”
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่เลย”
“นิสัยอย่างนั้นของเขาก็ไม่แปลกหรอก ไม่ว่าเรื่องใดก็เก็บไว้ในใจหมด” เจ้าสำนักหลีเอ่ย “หลังจากเกิดเรื่องข้าเคยถามเขา เขาไม่ยอมปริปากเลย อันที่จริงสอบไม่ได้สามหงวนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอแค่สอบได้ซิ่วไฉก็มีโอกาสเข้าร่วมสอบระดับท้องถิ่น นั่นจึงจะเรียกได้ว่าเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง”
กู้เจียว “แต่ว่า?”
บรรยากาศคุกรุ่นมาถึงขนาดนี้แล้ว หากไม่มีคำว่า ‘แต่ว่า’ ก็คงจะไม่สมเหตุสมผลแล้วล่ะ
เจ้าสำนักหลีถอนหายใจยาวเหยียด “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากไปสอบระดับท้องถิ่น”
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยแก้ว่า “ไม่สิ ตอนที่ข้าพูดถึงเรื่องสอบท้องถิ่นขึ้นเขายังไม่มีปฏิกิริยามากเท่าใดนัก แต่พอบอกว่าหลังจากการสอบท้องถิ่นต้องรีบเข้าเมืองไปสอบ สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าพูดเช่นนี้มันถูกต้องหรือไม่ แต่เมื่อก่อนที่เขาไม่ตั้งใจเล่าเรียน เหมือนว่าก็เพื่อเลี่ยงการเข้าเมืองไปสอบในขั้นต่อไปนี่ล่ะ”
ไม่อยากเข้าเมืองอย่างนั้นหรือ
กู้เจียวลูบคางจมสู่ภวังค์ความคิด
เจ้าสำนักหลีมาหากู้เจียวเพื่อจะได้เข้าใจสถานการณ์ สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรมากนัก เขาจึงกลับไปอย่างจนปัญญา
ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเก็บงำความสามารถอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เลยจริงๆ
เจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่ในใจพลันชนเข้ากับโก่วหวาที่กลิ้งออกมาจากลานบ้าน
โก่วหวากลิ้งออกมาจากพงหญ้า โชคดีที่ชนคนเข้าจึงได้หยุดลง มิฉะนั้นคงได้กลิ้งลงบ่อน้ำไปแน่
เจ้าสำนักรีบดึงเด็กน้อยขึ้นมาจากพื้นทันที ปัดเศษดินเศษฝุ่นบนตัวให้เขา “ไม่เป็นไรกระมัง เจ็บหรือไม่”
ดวงตากลมโตสีดำขลับของโก่วหวามองจ้องเขา
หมู่นี้โก่วหวากำลังฟันขึ้น จึงมีน้ำลายมากเป็นพิเศษ เขาน้ำลายไหลพลางมองเจ้าสำนักหลีด้วยความฉงน จู่ๆ ก็อ้าปากเล็กๆ ส่งเสียงเรียกขึ้นดื้อๆ ว่า “พ่อ!”
เจ้าสำนักหลีตัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง!
เซวียหนิงเซียงที่ออกมาจากเรือนกู้เจียวก็ตัวสั่นเช่นกัน!
โก่วหวากำลังหัดพูด เห็นผู้หญิงก็จะเรียกแม่ แต่ยังไม่เคยเรียกพ่อเสียที อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีพ่ออยู่แล้ว
เซวียหนิงเซียงกระอักกระอ่วนขึ้นในใจ แทบอยากจะหาหลุมมาฝังโก่วหวากับตัวเองลงไปอยู่รอมร่อ!
นางรีบเดินเข้าไปอุ้มโก่วหวาขึ้นมา เอ่ยด้วยสีหน้าเหยเกว่า “ขออภัยด้วย หวาไม่รู้ความ ท่านอย่าได้ถือสาเลย”
เจ้าสำนักหลีแย้มยิ้ม “อ่า ไม่เป็นไร”
เซวียหนิงเซียงรีบอุ้มโก่วหวาออกมา ไหนเลยจะรู้ว่าโก่วหวายังหันหน้ากลับมาเรียกเจ้าสำนักว่าพ่อต่ออีก
เซวียหนิงเซียงทั้งเขินทั้งโกรธจนอยากจะร้องไห้
หวา อย่าว่าแต่พ่อเจ้าตายไปแล้วเลย ต่อให้ยังไม่ตายก็ไม่มีทางเป็นเจ้าสำนักหรอกนะ!
คนเขาเป็นใครแล้วเจ้าเป็นใคร
ไปเอาความสามารถจดจำบิดามั่วซั่วเช่นนี้มาจากไหนกัน
เรียกเจ้าว่าโก่วหวา เจ้าก็ดันมีความใจกล้าเหมือนหมาจริงๆ เข้าแล้วหรือ!
เซวียหนิงเซียงอุ้มลูกชายกลับไปที่บ้านด้วยความรวดเร็วเหมือนกระโดดพรวดๆ นางปิดประตูลงกลอนภายในรวดเดียว !
เจ้าสำนักหลีส่ายหน้าด้วยความขบขัน
พ่ออย่างนั้นรึ
ชั่วชีวิตนี้ของเขา…เกรงว่าคงไม่มีทางเป็นพ่อคนได้หรอก
เซวียหนิงเซียงอุ้มลูกชายกลับบ้านแล้ว วางเขาไว้บนเตียง เอ่ยสั่งสอนอย่างจริงจังว่า “โก่วหวา เจ้าไม่มีพ่อ”
โก่วหวา “พ่อ”
เซวียหนิงเซียง “ไม่ใช่พ่อ!”
“พ่อ”
เซวียหนิงเซียง “บอกว่าไม่มีพ่ออย่างไรเล่า! ห้ามเรียกพ่ออีก! ไม่มี!”
โก่วหวาปีนไปทางด้านนอก “พ่อ”
เซวียหนิงเซียงใกล้จะโดนลูกชายทำเอาเป็นบ้าเสียแล้ว!
เจ้าไปเรียกพ่อมั่วซั่วเช่นนี้ ข้าแทบจะกดโลงศพพ่อเจ้าไว้ไม่อยู่แล้ว!!!
เซวียหนิงเซียงโมโหพลางเขย่าหมอน เขย่าไปเขย่ามา ของแข็งบางอย่างก็ร่วงลงมากระแทกบนเก้าอี้เตี้ยเสียงดัง ‘ตุ้บ’
เซวียหนิงเซียงยกของสิ่งนั้นขึ้น แรกเริ่มยังนึกไม่ค่อยออก นึกอยู่นานจึงขมวดคิ้วมุ่น “เอ๋ นี่มัน…”
———————–
[1] สามหงวน ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในระดับชนบท ระดับประเทศ และสอบหน้าพระที่นั่ง ได้แก่ เจี่ยหงวน ฮุ่ยหงวน จอหงวน