สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - ตอนที่ 95 นักบวช
สาวใช้กับแม่นมใช้ผ้าเช็ดหน้าโกยขี้เถ้าที่เผาจนหมดกลับมาให้กู้จิ่นอวี๋
เถ้ากระดาษที่เพิ่งจะเผาหมดสามารถเห็นร่องรอยตัวหนังสือได้เล็กน้อย ทว่าก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพียงพอให้กู้จิ่นอวี๋ได้มองออกว่านั่นเป็นโจทย์ของนางพอดี ทว่าไม่สามารถระบุขั้นตอนแก้โจทย์ทั้งหมดได้
แน่นอนว่ากู้จิ่นอวี๋ไม่มีทางเดาได้ว่าเป็นเสี่ยวจิ้งคงที่เผามันจนเกลี้ยงอยู่แล้ว นางนึกว่าตัวเองไม่ทันระวังจึงทำโจทย์ตกใส่กระดาษเงิน ทำให้มันโดนเผาไปพร้อมกันกับกระดาษเงิน
คิดได้ดังนั้นนางก็เจ็บปวดใจขึ้นมาแทบจะกระอักเลือด จู่ๆ ก็หมดสติลงไปทันใด!
……
กินอาหารเสร็จฟากฟ้ายังไม่มืดลง กู้เจียวกะว่าจะไปเดินเล่นที่เขาซึ่งตนได้ซื้อไว้เสียหน่อย
หมู่นี้เวลานางว่างก็จะขึ้นเขาไปเดินเล่น นอกจากเก็บสมุนไพรและเห็ดต่างๆ แล้ว ยังบันทึกภูมิประเทศของภูเขาทั้งหมดเอาไว้ด้วย ยามนี้เหลือเพียงอีกนิดหน่อยนางก็สามารถทำแผนที่ภูมิประเทศทั้งหมดของเขาลูกนี้ได้แล้ว
เสี่ยวจิ้งคงได้ยินว่านางจะขึ้นเขาก็เอียงคอถามว่า “ข้าไปกับเจียวเจียวด้วยได้หรือไม่”
กู้เจียวครุ่นคิด “เจ้าต้องกลับไปดูอาจารย์และพวกศิษย์พี่ของเจ้าหรือไม่”
อยากจะอยู่กับเจ้ามากกว่า แต่ก็ไม่เป็นไร
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงมาจากม้านั่ง เอ่ยกับกู้เจียวว่า “เช่นนั้นข้าไปดูพวกเขาหน่อย”
คราวนี้สถานที่ที่ไปอยู่ใกล้กับวัดมาก อันที่จริงก็ถือว่าผ่านทาง
กู้เจียวเองแบกตะกร้าน้อยเอาไว้บนหลัง เสี่ยวจิ้งคงสีหน้าอิจฉา กู้เจียวจึงทำตะกร้าใบน้อยให้เขาด้วยเช่นกัน
ในตะกร้าใบน้อยบรรจุของขวัญที่เขาจะเอาไปให้บรรดาเพื่อนๆ
มีลูกชิ้นเนื้อเจที่กู้เจียวเป็นคนทอด
มีขนมกุ้ยฮวาที่กู้เจียวเป็นคนซื้อ
มีผลไม้ป่าที่กู้เจียวเป็นคนเด็ด
เสี่ยวจิ้งคงแบกตะกร้าแบบเดียวกันกับของกู้เจียวเอาไว้ด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวายิ่ง เขาไปอวดหญิงชราถึงในห้องโดยเฉพาะ แล้วจึงวิ่งไปอวดเซวียนหนิงเซียงและโก่วหวาที่อยู่ข้างบ้านอีกหน
จากนั้นสองพี่น้องก็ออกเดินทาง
อย่ามองว่าเสี่ยวจิ้งคงอายุน้อย ส่วนสูงไม่เท่าไหร่ แต่เขาอดทนต่อความลำบากได้มากกว่าเด็กส่วนใหญ่มากนัก เดินอ้อมไปเส้นทางที่ไกลกว่าซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของภูเขา เขามุ่งมั่นที่จะเดินต่อไป
ตอนขึ้นเขา เขาวิ่งตึงตังไปข้างหน้า ส่วนกู้เจียวเดินตามหลังเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน พอถึงแนวสันเขา ในที่สุดเรี่ยวแรงกายของเขาก็ใช้ไปจนหมดแล้ว อ่อนเปลี้ยอยู่บนบันไดกลายเป็นปลาเค็มน้อย
กู้เจียวอุ้มปลาเค็มน้อยเสี่ยวจิ้งคงขึ้นเขา
ณ หน้าประตูวัด เสี่ยวจิ้งคงที่เรี่ยวแรงฟื้นคืนแล้วโบกมือให้กู้เจียว “เจียวเจียวเจ้าไปทำงานเถอะ ข้าจะไปหาจิ้งฝาน จิ้งซินและจิ้นซั่นเอง!”
“อืม” กู้เจียวมองเสี่ยวจิ้งคงเข้าวัดไปทักทายภิกษุรูปหนึ่งด้วยความสนิทสนม ซ้ำยังเรียกเขาว่าศิษย์พี่จิ้งเฉิน นางจึงได้ไปสำรวจภูเขาของตัวเองอย่างวางใจ
ใช้เงินซื้อภูเขาลูกนี้มาไม่น้อย แต่ยิ่งเดินมากเท่าใดกู้เจียวก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้มเงิน ไม่รู้ว่ามีสมุนไพรและสัตว์ป่าทั้งหมดเท่าใดในภูเขาลูกนี้ที่เป็นของนาง
โชคของวันนี้คงไม่เลวจริงๆ ครึ่งทางนางก็ขุดโสมได้สองหัวแล้ว ไม่นับว่าเป็นโสมหัวใหญ่เท่าใดนัก แต่ก็เพียงพอให้ตุ๋นน้ำแกงไก่ได้แล้ว
ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ กู้เจียวก็นึกถึงหลุมกับดักสัตว์ที่ตัวเองทำขึ้นในป่าขึ้นมา แต่คราวนี้น่าจะไม่มีใครโชคร้ายเพียงนั้นแล้วล่ะ
ใครจะรู้ความคิดเพิ่งวาบผ่าน ก็มีเสียงเคลื่อนไหวลอยมาจากในป่า เหมือนว่ามีบางอย่างกระโดดไปทางตะวันตกเฉียงใต้
ทางนั้นเป็นกับดักที่นางเคยตั้งไว้
“คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกกระมัง…”
กู้เจียวเลิกคิ้ว
บางทีอาจจะเป็นเสือ
หมาป่าสักตัวก็ได้นะ
กู้เจียวไปเก็บสัตว์ที่ตัวเองล่าด้วยความคาดหวังเต็มอก ผลสุดท้ายพอเดินมาถึงตรงนั้นแล้วมองดู
เอ่อ…คราวนี้เป็นคนอีกแล้ว
กู้เจียวค่อนข้างมึนงง
นางทำไว้เพื่อจับสัตว์ป่านะ เหตุใดที่ตกลงไปจึงเป็นคนตลอดเลยเล่า
แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นนักบวชรูปหนึ่ง
เขาสวมชุดนักบวชสีขาวมอซอ รูปร่างสูงโปร่ง ไม่รู้ว่ากอดอะไรไว้ในอก กระดูกข้อมือที่โผล่ออกมาจากนอกแขนเสื้อขาวสะอาดราวกับหยก
อาจเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเขาจึงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาละทางโลกตกสู่สายตาของกู้เจียว
นักบวชรูปนี้มีดวงตาทรงดอกท้อเรียวยาวคู่หนึ่ง ใต้ตาขวามีไฝอยู่หนึ่งเม็ด มองไม่ออกว่าอายุมากเท่าใด สรุปก็คือยังหนุ่มอยู่มาก
กู้เจียวสะทกสะท้อนใจ โลกใบนี้…นึกไม่ถึงว่ากระทั่งภิกษุก็ยังรูปงามเช่นนี้ คงไม่ใช่ปีศาจในป่ากลายเป็นภูตมาล่อลวงเด็กสาวดีๆ อย่างพวกนางโดยแฉพาะหรอกกระมัง
กู้เจียวมองเขาด้วยความระแวดระวัง
เขาหยักยกริมฝีปากบางสีแดงเรื่อยิ้มให้จางๆ “โยมน้อยท่านนี้ดึงอาตมาขึ้นไปได้หรือไม่”
เสียงไพเราะน่าฟังมาก!
มีชีวิตชีวาราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
กู้เจียวครุ่นคิด สุดท้ายก็หยิบเชือกออกมาจากตะกร้า ดึงเขาขึ้นมา
จากนั้นกู้เจียวจึงได้พบว่าในอ้อมอกเขามีกระต่ายป่าตัวน้อยสีขาวนุ่มนิ่มตัวหนึ่ง ซ้ำยังมีศพงูพิษตัวหนึ่งนอนตายอยู่ก้นหลุมที่เขาเพิ่งตกลงไปเมื่อครู่
กู้เจียวมองงูพิษตัวนั้นแล้วมองกระต่ายขาวตัวน้อยในอ้อมอกเขา ก่อนเอ่ยว่า “ท่านกระโดดลงไปในหลุมกับดักเพื่อช่วยกระต่ายน้อยตัวนี้น่ะหรือ”
“อื้ม” เขาอมยิ้มพยักหน้า
ยามเขาแย้มยิ้มออกมานั้นอ่อนโยนยิ่ง ทว่าหาใช่ความอ่อนโยนของแม่อย่างแม่นางเหยา แต่ทำให้คนมองหน้ามืดตาลาย หน้าแดงหูแดงระเรื่อเลย
น่าเสียดายที่กู้เจียวไม่ขี้เขินขี้อายเป็นนิสัยอยู่แล้ว
เพราะเขารูปงาม กู้เจียวจึงได้มองเขาอยู่นาน แต่ในใจกู้เจียวกลับสงบนิ่งยิ่ง
กู้เจียวได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้ก็ส่งเสียงอ้อไป “ท่านช่างใจ…”
คำว่า ‘ดี’ ยังไม่ทันได้เอ่ยออกมาก็เห็นอีกฝ่ายชักกริชออกมาฆ่ากระต่ายป่าตัวนั้นเสียแล้ว
กู้เจียว “…”
นักบวชฆ่ากระต่ายป่าแล้วก็ขอน้ำจากกู้เจียวมานิดหน่อย ล้างกระต่ายตัวนั้นให้เรียบร้อย แล้วก่อไฟขึ้นตรงนั้นเริ่มย่างเนื้อกระต่าย
กู้เจียวค่อนข้างมึนงง
ฆ่าสัตว์ซ้ำยังกินเนื้อ เกรงว่านี่คงจะเป็นภิกษุปลอมแล้วล่ะ
“เจ้าเอาหรือไม่” เขาปาดเนื้อกระต่ายส่วนที่นุ่มและมันเยิ้มที่สุดมาชิ้นหนึ่ง ใช้กริชเสียบมันส่งมาตรงหน้านาง “คนเห็นมีส่วนร่วมด้วย”
กู้เจียว ไม่ใช่ว่าข้าช่วยเจ้าไว้ ดังนั้นเจ้าจึงได้ตอบแทนข้าให้ดีหรอกหรือ
กู้เจียวกินมื้อกลางวันมานิดเดียว ยามนี้จึงเริ่มหิวแล้ว นางรับเนื้อกระต่ายมากัดคำหนึ่ง
ไม่ได้กินยากแล้วก็ไม่ได้อร่อยด้วย ค่อนข้างเปลืองวัตถุดิบนิดหน่อย
“อ๊ะ ลืมใส่เกลือ” นักบวชรูปนั้นตบหัวตัวเอง ก่อนจะล้วงเอากระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อกว้าง ดึงฝาออก โรยเกลือใส่เนื้อกระต่าย
“ทีนี้น่าจะอร่อยขึ้นเยอะเลย” เขาปาดเนื้อชิ้นหนึ่งส่งให้นาง
กู้เจียวรับเนื้อกระต่ายมา พอใส่เกลือแล้วรสชาตดีขึ้นมาไม่น้อยจริงๆ ด้วย นางถามว่า “ท่านช่วยมันก็เพื่อจะกินมันหรือ”
นักบวชเอ่ยอย่างสบายๆ ยิ่ง “ก็ใช่น่ะสิ”
กู้เจียวมุมปากกระตุก คิดในใจว่า นี่นักบวชจากวัดไหนกัน เหตุใดตนจึงไม่เคยเห็นมาก่อน
นักบวชชี้ไปที่หลุมด้านข้าง “กินเนื้องูหรือไม่ หากอยากกินก็ไปเอามันขึ้นมา”
กู้เจียวเอ่ยว่า “แล้วทำไมท่านไม่เอาขึ้นมาเอง”
นักบวชถอนนใจเอ่ยว่า “ข้ากลัว”
กู้เจียวเอ่ยด้วยความแปลกใจว่า “ขนาดกลัวท่านยังตีมันตายเลย”
“ไม่ได้ตีตาย” นักบวชหยุดเว้นครู่หนึ่งจึงเอ่ยแก้ให้นาง “กัดตายต่างหาก”
กู้เจียว “…”
“ท่านไม่เป็นไรแล้วกัดมันทำไม”
“มันกัดข้าก่อน!” นักบวชพูดด้วยความมีเหตุมีผล ดึงขากางเกงข้างซ้ายของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นน่องที่บวมเป็นขาหมู
กู้เจียวปากอ้าตาค้าง
งูกัดเจ้า เจ้าก็กัดงู นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย
จนกระทั่งตายงูมันคงไม่คิดเลยกระมังว่าวันหนึ่งตัวเองจะโดนคนกัดตาย!
อีกทั้งเจ้าก็โดนงูกัดสภาพขนาดนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะยังมีอารมณ์มาย่างกระต่ายกิน นี่เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองใกล้จะตายเลยหรือไร
คล้ายนักบวชจะมองความคิดของกู้เจียวออก เขาถอนหายใจเอ่ยว่า “ข้ารู้น่า”
กล่าวจบก็ล้มลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตุ้บ’ ปากกระอักเลือดดำออกมา หมดลมหายใจไปแล้ว!
กู้เจียว “…”
นี่มันนักบวชแปลกประหลาดอะไรเช่นนี้!
งูเห่ามีพิษกัดเขา โชคดีที่ในกระเป๋ายาของกู้เจียวมีเซรุ่มป้องกันพิษงูเห่าอยู่
เซรุ่มป้องกันพิษงูเป็นของเซรุ่มม้า มีโปรตีนต่างรูปกันอยู่ ง่ายต่อการแพ้มาก
เวลากระชั้นเข้ามา กู้เจียวละทิ้งการฉีดยาแก้แพ้ไป ใช้ยาป้องกันการแพ้ให้เขาสองเข็ม
ตอนที่นักบวชฟื้นขึ้นมานั้นไม่ได้อยู่ที่พื้นหญ้าดังเดิมแล้ว เขาพบว่าตัวเองนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ฟากฟ้ากำลังมีฝนตกเปาะแปะลงมา
เขาเหลือบมองกู้เจียวที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ฤดูใบไม้ผลิฟ้าชอบผ่า มาหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ได้ รู้หรือไม่”
กู้เจียวค่อยๆ ปรายตามองเขาอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยว่า “คนที่ถูกงูกัดแล้วยังสามารถย่างกระต่ายอย่างสบายๆ ได้ ข้าก็คิดว่าท่านไม่กลัวตายเสียอีก”
นักบวชจุกอยู่ในลำคอ กระแอมขึ้นเบาๆ “นั่นน่ะเพราะข้าคิดว่าจะตายแน่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตายไปเป็นผีอิ่มท้องต่างหาก จะว่าไปแล้ว…เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้หรือ”
เขาดึงกางเกงขึ้นดู บาดแผลถูกใส่ยาพันผ้าไว้เรียบร้อยแล้ว ความเจ็บปวดโดยมากหายไปแล้ว อาการบวมก็เช่นกัน
“ขนาดงูพิษเจ้ายังรักษาได้ เจ้าเป็นผู้วิเศษอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยด้วยความแปลกใจ
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยต่อคำเขา นางทำเพียงนั่งหลบฝนอยู่ด้านข้างเงียบๆ เท่านั้น
นักบวชคงจะรู้สึกว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณถึงสองครั้งสองคราจึงรู้สึกเกรงใจแปลกๆ เขาแย้มยิ้มแหยเอ่ยว่า “โยมแซ่อะไรหรือ”
“กู้” กู้เจียวเอ่ยบอกทั้งๆ ที่สายตาไม่ได้มองไปยังเขา แต่จดจ้องอยู่ที่ฝนเม็ดโตซึ่งโปรยปรายลงมาไม่หยุดเสียที
นักบวชยิ้มเอ่ยว่า “อาตมาพอจะรู้วิชาพยากรณ์ลักษณะคนอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าพอจะดูลายมือให้โยมกู้ได้หรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก” กู้เจียวปฏิเสธเรียบนิ่ง
ปกติแล้วไม่เคยมีใครปฏิเสธนักบวชรูปงามเช่นนี้มาก่อน กู้เจียวเป็นคนแรก
นักบวชจึงแปลกใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขามองนางอยู่พักใหญ่ กู้เจียวสวมหมวกฟางเอาไว้แล้ว เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน เหลือเพียงคางอันงดงามเท่านั้น
นักบวชหยักยกมุมปากกำลังจะดึงสายตากลับ ทว่าจู่ๆ ก็เห็นป้ายสำริดแผ่นหนึ่งที่กู้เจียวถือเล่นอยู่ในมือ
นางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน เอ่ยว่า “ที่แท้แม่นางก็เป็นคนของจวนเซวียนผิงโหวนี่เอง”
“ว่าอย่างไรนะ” กู้เจียวหันหน้าไปหา
สายตานักบวชกวาดมองปานตรงแก้มซ้ายของนาง ไร้สีหน้าแปลกประหลาดใด ก่อนจะเอ่ยว่า “แผ่นป้ายในมือเจ้าน่ะ”
กู้เจียวมองแผ่นผ้ายแล้วมองเขาอีกครั้ง “ท่านรู้จักหรือ”
นักบวชหยักยกมุมปากยิ้มออกมา เหยียดขายาวๆ ทั้งสองข้างออก ยกแขนข้างหนึ่งรองท้ายทอยไว้ ก่อนจะเอนพิงต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง มองไปยังสายฝนพรำตรงหน้า เอ่ยว่า “ใช่น่ะสิ อาตมารู้จัก”
“ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ” กู้เจียวเอ่ย
นักบวชเหลือบมองนางด้วยความนึกสนุก “ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้จักรึ ถ้าอย่างนั้นเจ้าได้ป้ายนี้มาได้อย่างไร”
“เก็บได้” กู้เจียวบอก
“โธ่” สีหน้านักบวชยิ่งนึกสนุกขึ้นมากกว่าเดิม ดวงตาลูกท้องดงามหรี่ลงจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวที่เต็มไปด้วยธาราวสันต์เกลียวคลื่นสารท เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ “เช่นนั้นเจ้าก็โชคดียิ่งนัก สิ่งของสูงค่าเช่นนี้ก็ยังมีให้เก็บได้”
เขาเอ่ยพลางดึงสายตากลับมาจากร่างกู้เจียว ก่อนจะมองไปยังสายฝนที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะหยุดตก “จวนเซวียนผิงโหวเป็นตระกูลข้าราชการระดับสูงมาหลายร้อยปี ซ้ำยังเป็นเชื้อพระวงศ์ มีอำนาจยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง เคยมีรัฐบุรุษอาวุโสสองคนและฮองเฮามาจากตระกูลนี้ โยมกู้อยากจะทราบเรื่องใดล่ะ”
กู้เจียวไม่ได้ถามเขาว่าเหตุใดนักบวชในป่าลึกคนหนึ่งจึงได้รู้เรื่องราวในเมืองหลวงดีนัก นางเอ่ยเพียงว่า “อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
นักบวชยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็คืออยากฟังทั้งหมด น่าเสียดายที่เรื่องของจวนเวียนผิงโหวเล่าได้ไม่หมดในสามวันสามคืน โยมกู้อยากจะรู้เรื่องคน หรือว่าอยากจะฟังเรื่องสนุกดีล่ะ”
กู้เจียวครุ่นคิด “คน”
“เจ้านายหรือลูกน้องล่ะ”
“แล้วแต่เจ้า”
นักบวชยิ้มกว้างขึ้น “เจ้าเป็นคนสืบถามเองแท้ๆ เหตุใดจึงมาตามใจข้าล่ะ ช่างเถอะ หากเจ้าอยากรู้เรื่องของคนใช้ขึ้นมาจริงๆ ข้าก็คงเล่าไม่ค่อยได้เพราะไม่ค่อยรู้นักหรอก เช่นนั้นก็เริ่มเล่าจากจวนเซวียนผิงโหวก็แล้วกัน ตำแหน่งโหวนี้สืบทอดมาตั้งแต่ท่านโหวอาวุโสผู้นั้น เป็นลูกชายคนโตของจวนเซวียนผิงโหวและเป็นบุตรสายตรงด้วย รับสืบทอดกิจการของตระกูล ดำเนินการตามสถานการณ์ที่เป็นไป ไม่มีอะไรน่าเล่าหรอก”
“เขามีน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่ง น้องชายคนละแม่อีกคนหนึ่ง น้องสาวเป็นฮองเฮาคนปัจจุบัน น้องชายเป็นแม่ทัพใหญ่เวยหย่วน อ๊ะ ลืมบอกไปเลย เขาแต่งองค์หญิงซิ่นหยางมาเป็นภรรยา เขากับองค์หญิงซิ่นหยางมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง เป็นเด็กที่เก่งกาจยอดเยี่ยมมาก น่าเสียดายที่จากโลกนี้ไปตั้งแต่อายุยังน้อย”
“มีคนแค่นี้หรือ” กู้เจียวถาม
“ยังมีลูกชายสายรองอีกคน ไม่เพียงพอให้เอ่ยถึงหรอก” นักบวชเอ่ยพลางอมยิ้มมองกู้เจียวอีกหน แต่คราวนี้รอยยิ้มเขาแฝงไว้ด้วยความระแวดระวัง “เด็กน้อย แผ่นป้ายนี้เจ้าเก็บได้ก็เก็บเอาไว้ อย่าเอาออกมาโบกเล่นไปทั่ว มันจะเรียกภัยถึงตายมาสู่ตนได้ง่าย อย่าไปยุ่งกับคนของจวนเซวียนผิงโหวเลย จะนำภัยถึงตายมาสู่ตนด้วยเช่นกัน”
เขาเคร่งขรึมขึ้นมา นึกไม่ถึงว่ากระทั่งคำเรียกก็เปลี่ยนไปแล้ว
กู้เจียวไม่สนใจคำเตือนของเขา แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ใช่คนที่จะเอาอันตรายไปให้คนอื่นตัดสิน
แต่ว่า จวนเซวียนผิงโหวนี้ฟังดูแล้วท่าทางจะเก่งกาจยิ่ง ในตัวเซียวลิ่วหลังมีป้ายของจวนเซวียนผิงโหวได้อย่างไร เขาเกี่ยวข้องอะไรกันกับจวนเซวียนผิงโหวกันแน่
“เช่นนั้นหาก…” กู้เจียวเอ่ยมาครึ่งเดียวจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงบางย่างจึงหันหน้าไปมอง ก่อนจะพบว่านักบวชที่พล่ามไม่หยุดข้างกายนางเมื่อครู่นี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ นึกไม่ถึงว่ากู้เจียวจะไม่รู้ว่าเขาจากไปตั้งแต่เมื่อใด
กู้เจียวมาต่างโลกเนิ่นนานเพียงนี้ ยามนี้ได้เจอยอดฝีมือเข้าจริงๆ แล้ว
กู้เจียวมองที่ที่นักบวชนั่งอยู่เมื่อครู่นี้ ตรงนั้นจู่ๆ ก็มีตัวอักษรที่เขียนด้วยปลายนิ้วโผล่ขึ้นมาว่า ‘เซียว’
กู้เจียวครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “จวนเซวียนผิงโหว…แซ่เซียวอย่างนั้นรึ”
เซียวลิ่วหลังก็แซ่เซียวเช่นกัน เหตุใดจึงบังเอิญขนาดนี้