สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 101 สินบน
เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน ชายหนุ่มจึงแสดงตราประจำจวนของตนเอง
ตรานั้นไม่ใช่ตราที่ทำจากทองแดง แต่เป็นตราเหล็กที่สลักลาย
แม้ว่ากู้เจียวเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน อยู่แต่กับแค่ชาวบ้านในหมู่บ้านเท่านั้น ไม่ค่อยได้ไปคบค้าสมาคมกับพวกคนใหญ่คนโตเท่าใดนัก แต่นางก็รู้ว่าการจะออกตราลักษณะนี้ได้นั้นเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์เงื่อนไขอันเข้มงวดของแคว้นอย่างแน่นอน
พวกตระกูลใหญ่ๆ ปกติจะถือแค่ตราที่ทำจากไม้ ขยับขึ้นมาอีกนิดก็เป็นตราที่ทำจากกระดูกปลา มีแต่คนระดับข้าราชสำนักเท่านั้นที่จะมีตราเหล็กเช่นนี้
แต่ตราของข้าราชสำนักจะมีสัญลักษณ์ประจำจวน แต่อันที่นางเห็นนี้กลับไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ
ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ เขาผู้นี้มิได้เป็นข้าราชสำนัก แต่อาจมีเบื้องหลังที่มีอิทธิพลมากกว่านั้น
“เจียวเจียว” เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าสงสัย เขายังเด็กนัก เลยยังไม่เข้าสถานการณ์
กู้เจียวลูบหัวเขา จากนั้นหันไปเอ่ยกับชายหนุ่ม “ตกลง ข้าไปกับท่าน” จากนั้นก็หันมาพูดกับจิ้งคง “ไปอยู่กับท่านย่านะ”
“ไม่เอา ไม่เอา!” เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัวรัวๆ ที่ผ่านเขาเอาแต่เรียน เรียน แล้วก็เรียน แทบจะไม่มีเวลาอยู่เล่นกับเจียวเจียว แล้วนี่อะไร ได้โอกาสหยุดเรียนทั้งที เขาอยากจะตัวติดกับนางบ้างนี่นา!
กู้เจียวมองจิ้งคงที่กำลังส่งสายตาให้ตัวเองดูน่าสงสาร และแล้ว กู้เจียวก็ไม่อาจปฏิเสธเณรน้อยได้ “ก็ได้”
ชายหนุ่มยิ้มให้พลางผายมือเชิญ “ทางนี้ขอรับ!”
กู้เจียวไปหาหนิงเซียงเพื่อให้นางช่วยดูเรือนให้ แล้วขึ้นไปนั่นบนรถม้าพร้อมกับจิ้งคง ส่วนชายหนุ่มควบม้าประกบข้าง
พวกเขาเดินทางมาถึงร้านน้ำชาร้านเดียวที่อยู่ในเมือง
ว่ากันว่าเจ้าของร้านน้ำชาผู้นี้มาจากเมืองใหญ่และมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ร้านของเขามักจะมีแขกบ้านแขกเมืองคนใหญ่คนโตมาใช้บริการ และในวันนี้เอง ร้านของเขาไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว ดูเหมือนว่ามีคนเหมาร้านไปสินะ
ดูท่าแล้ว ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
กู้เจียวและจิ้งคงถูกพาเข้าไปในห้องรับรองด้านในที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราและประณีต
ชายหนุ่มสั่งน้ำชาและของว่างให้พวกเขา
ชายหนุ่มดูแลกู้เจียวอย่างดี หากเป็นคนทั่วไป พอเจอใครทำแบบนี้ให้คงเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ส่วนกู้เจียวทำหน้านิ่งไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาให้เห็น
โบราณกล่าวไว้ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน นางรู้สถานะของตัวเองดีว่านางไม่ได้อยู่ในจุดที่จะต้องมีใครมาดูแลและทำดีกับนางเช่นนี้
“แม่นางเซียวรอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปเชิญผู้ดูแลโจวขอรับ” ชายหนุ่มบอกนาง
กู้เจียวขานรับ
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงความดูแคลนของชายหนุ่ม นางรู้ว่าที่เขาทำดีกับนางก็แค่เปลือกนอก กู้เจียวเองก็ไม่อยากจะสาธยายให้มากความ เพราะนั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของนาง
ชาวบ้านตาดำๆ อย่างนางไม่มีทางอยู่ในสายตาของเขาเป็นแน่ โดยเฉพาะคนที่มีรูปลักษณ์เช่นนาง
เขาแค่ทำตามคำสั่งของผู้ดูแลว่าต้องทำดีต่อภรรยาของเซียวซิ่วไฉ
ชายหนุ่มเดินไปเรียกผู้ดูแล
ทันใดนั้น ผู้ดูแลโจวก็ปรากฏกายขึ้น
สมกับเป็นผู้ดูแล สีหน้าท่าทางของเขาแลดูสำรวมกว่าชายหนุ่มคนนั้น อย่างน้อยๆ รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าเขายังดูมีความจริงใจมากกว่า
กู้เจียวหยิบของว่างแล้วยื่นให้จิ้งคง “ออกไปเล่นที่สวนก่อน ข้ามีธุระต้องคุย”
“อือ ได้เลย!” เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงจากเก้าอี้ไม้ รับถาดของว่าง แล้วเดินดุ่มๆ ออกไปข้างนอก
ตำแหน่งที่กู้เจียวนั่งสามารถมองเห็นบริเวณสวนทั้งหมดได้ดี
จิ้งคงมองหาเก้าอี้หินอ่อนแล้วนั่งลง กินขนมไปแกว่งขาไป เขารู้ว่ากู้เจียวกำลังมองเขาอยู่จากด้านใน จึงหันทางนางแล้วฉีกยิ้มให้หนึ่งที!
กู้เจียวเองก็ส่งยิ้มให้เขาตอบ จิ้งคงดีใจมาก แล้วกินขนมต่ออย่างเอร็ดอร่อย
ผู้ดูแลโจวรอให้กู้เจียวและจิ้งคงโบกไม้โบกมือกันให้เสร็จก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไปใกล้ๆ นาง ประสานมือขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ แล้วเอ่ยทักทาย “ยินดีที่ได้พบแม่นางเซียว”
กู้เจียวไม่ได้ลุกขึ้นยืนเพื่อตอบรับเขาแต่อย่างใด และไม่ได้มีท่าทีตระหนกตกใจ ก็แค่ทำมือว่ารับรู้แล้ว และปล่อยผ่านไป
เขาชำเลืองมองกู้เจียวช้าๆ หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะดูยังไง นางเป็นเพียงเด็กสาวในหมู่บ้านธรรมดาในแง่ของเสื้อผ้าและรูปลักษณ์ ซ้ำยังมีรอยบนใบหน้าอันแปลกประหลาดและอัปลักษณ์กว่าคนทั่วไป นางควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนกับเขาให้ได้มากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ
ทว่า นางก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซ้ำยังให้ความรู้สึกว่านางเป็นคนเข้าถึงยาก
ผู้ดูแลโจวพยายามเก็บอาการ จากนั้นเอ่ยทักทายกู้เจียว “แม่นางเซียว ข้ามาจากตระกูลหลินแห่งหัวเมือง ไม่ทราบว่าแม่นางเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”
“ข้าไม่เคย” กู้เจียวเอ่ยตอบสั้นๆ
พ่อบ้านโจวชะงักงันไปครู่ นี่นางเป็นคนพื้นที่ไม่ใช่รึ เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของตระกูลหลินผู้เป็นเจ้าอสังหาแห่งเมืองโยวโจว และแม้แต่เจ้าของปศุสัตว์ใหญ่แห่งเมืองเหลียนโจวยังให้เกียรติตระกูลหลินมากกว่าเสียอีก
ตระกูลหลินทำธุรกิจเกี่ยวกับขนส่งเกลือ แต่ก่อนพวกเขาเคยทำมาค้าขายเกลืออย่างลับๆ จนเป็นขบวนการ ราชสำนักส่งคนมาทำลายขบวนการของพวกเขา ผลสุดท้ายเกิดเสียเปรียบกันทั้งสองฝ่าย จนสุดท้ายมีคำสั่งให้สั่งเก็บเกลือทั้งหมด
แม้จะถูกเก็บก็จริง แต่ตระกูลหลินก็ยังเป็นผู้ดูแลควบคุม เงินที่ได้มาจึงมีการแบ่งปันกับทางราชสำนัก
และแน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจขูดรีดชาวบ้านตาดำๆ เฉกเช่นเมื่อก่อนได้อีก ทั้งเวลาเกิดวิกฤติบ้านเมือง พวกเขาจะต้องออกตัวช่วยเหลือด้วย
หลังจากที่ผู้ดูแลโจวสาธยายที่มาที่ไปของตระกูลหลินแล้ว เขาเฝ้ารอปฏิกิริยาตกใจจากกู้เจียวหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจบ
ที่ไหนได้ กู้เจียวยังคงมีท่าทีนิ่งเฉยตามเดิม
นางหนูนี่เพี้ยนรึเปล่า
เอาเถอะ ก็ดี เพี้ยนก็เพี้ยนไป
ผู้ดูแลโจวยิ้มให้ พลางเอ่ยกับกู้เจียว “ครั้งนี้ที่ข้ามาเยือนเมืองชิงเฉวียนก็เพื่อมาแสดงความยินดีกับศิษย์น้องเซียวที่สอบหลิ่นเซิงได้ นี่เป็นของขวัญจากข้า แม่นางโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
พูดจบ ผู้ดูแลโจวก็ส่งสายตาให้บ่าว
ปรากฏสาวใช้หอบกล่องๆ หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
สาวใช้วางกล่องลงบนโต๊ะ จากนั้นผู้ดูแลโจวก็ให้นางออกไป
ผู้ดูแลโจวค่อยๆ เปิดกล่องออก ในนั้นมีแท่งเงินวิบวับจำนวนมาก
สายตากู้เจียวจับจ้องไปที่แท่งเงินพวกนั้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านผู้ดูแลโจวต้องการอะไรก็ว่ามาตรงๆ เถิด”
ไม่มีทางที่ชาวบ้านตาดำๆ เห็นเงินจำนวนมากเช่นนี้แล้วจะเก็บอาการอยู่ แต่นางกลับแปลก ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยสักนิด ผู้ดูแลโจวเริ่มจะเคลือบแคลงในตัวนาง เขาเก็บความสงสัยไว้ ทำหน้ายิ้มแย้มดังเดิม พลางเอ่ย “แม่นางเซียวช่างเป็นคนตรงไปตรงมานัก ที่จริงแล้ว ศิษย์น้องเซียวสอบได้ลำดับต้นๆ ทั้งตอนที่สอบระดับตำบล และตอนที่สอบระดับจังหวัด คะแนนของเขาโดดเด่นมาก นายท่านของข้าได้ลองอ่านบทความที่เขาเขียน และชื่นชมความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก เลยอยากจะเชิญศิษย์น้องเซียวไปเป็นแขกของตระกูลหลินขอรับ”
กู้เจียวยังไม่รีบตอบรับ
ผู้ดูแลโจวเอ่ยต่อ “นายท่านรู้สึกผูกพันกับศิษย์น้องเซียวเป็นอย่างมาก เลยอยากจะขอแม่นางเซียวโปรดให้ทางสะดวกแก่พวกเราด้วยขอรับ”
กู้เจียวเอ่ยถามเสียงเบา “เหตุใดพวกท่านถึงไม่ไปถามเขาตรงๆ เล่า หรือท่านเคยไปหาเขาแล้ว แล้วถูกเขาปฏิเสธกลับมา”
ผู้ดูแลโจวนิ่งเงียบไป
“คงถูกเขาปฏิเสธมาสินะ”
เอ่ยจบ กู้เจียวพลันลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ผู้ดูแลโจวถึงกับผงะ
ง่ายๆ แบบนี้เลยรึ ไม่มีแม้แต่จะให้โอกาสเขาได้ต่อรองหน่อยรึ นี่นางยังเป็นผู้หญิงอยู่รึเปล่า ไม่สิ นี่นางยังเป็นคนอยู่รึเปล่า!
ผู้ดูแลโจวตะโกนรั้งนางไว้ “แม่นางเซียว! ช้าก่อน แม่นางเซียว! หรือแม่นางเห็นว่าข้าไม่แสดงความจริงใจมากพอ เงินพวกนี้เป็นแค่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มีเรื่องอันใดค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้ขอรับ!”
กู้เจียวไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับท่าทีของเขาแต่อย่างใด
ผู้ดูแลโจวยังคงเดินตามนางจนเหงื่อแตกพลั่ก “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสอบระดับมณฑลแล้ว อย่างไรเสีย ศิษย์น้องเซียวก็ต้องเดินทางไปยังหัวเมืองอยู่ดี ให้เขาได้พำนักที่หัวเมืองไปเลยจะไม่ดีกว่ารึ! รับรองว่าตระกูลหลินจะคอยดูแลศิษย์น้องเซียวอย่างดีขอรับ!”
จริงอย่างที่เขาว่า อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสอบระดับมณฑลแล้ว
กู้เจียวนิ่งไปสักพัก จากนั้นหันไปตอบเขา “แล้วเขาต้องทำอะไรหรือ ย้ายเข้าหัวเมือง พอสอบเสร็จก็กลับบ้าน อย่างนั้นรึ”
“เอ่อ…” ความขวานผ่าซกของกู้เจียวทำเอาผู้ดูแลโจวถึงกับไปไม่ถูก “คืออย่างนี้ขอรับ คุณชายที่เรือนข้าเองก็กำลังจะเข้าสอบระดับมณฑลด้วยเช่นกัน เลยประสงค์ให้ศิษย์น้องเซียวเข้ามาพำนักที่หัวเมือง และช่วยติวหนังสือให้ขอรับ”
กู้เจียวร้องอ๋อ พลางเอ่ย “ที่แท้ก็จะให้เขาไปเป็นครูนี่เอง แต่ว่า เขาปฏิเสธไปแล้วนี่นา…”
“ไม่ขอรับ! เขายังไม่ปฏิเสธขอรับ!”
กู้เจียวทำหน้างุนงง
ผู้ดูแลโจวเลยอธิบายต่อ “หมายความว่า ที่เขาปฏิเสธไม่ใช่ข้อเสนอเมื่อครู่นี้ขอรับ”
ครั้งก่อนที่ผู้ดูแลโจวไปหาเซียวลิ่วหลังถึงสำนักบัณฑิต ก็เพื่อยื่นข้อเสนอให้เขาช่วยติวหนังสือให้ท่านชายตระกูลหลินสอบเข้าจวี่เหรินให้ได้ แล้วนายท่านจะมอบเงินรางวัลให้เขาสองพันสองร้อยตำลึง
ถึงแม้จะพอรู้มาบ้างว่าการเป็นครูสอนสำหรับเข้าสอบจวี่เหรินนั้นค่าตัวแพงมาก แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะแพงได้ขนาดนี้
เป็นเศรษฐีนอนกินนอนใช้สบายๆ มันน่าเบื่อนักหรืออย่างไร
ถึงต้องมาทรมานกายทรมานจิตเข้าสอบจวี่เหรินแข่งกับคนอื่นเขา
และนี่ก็เป็นปมในใจของตระกูลหลิน แม้พวกเขาจะมีชื่อเสียงในด้านธุรกิจเกลือ แต่อีกแง่หนึ่ง พวกเขาก็คือพ่อค้าเกลือธรรมดาๆ ที่เริ่มจะตกอับ
ที่ราชสำนักไว้ใจพวกตระกูลหลิน นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าลูกหลานของพวกเขาไม่มีปัญญาสานต่อธุรกิจ พอเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าตระกูลหลินกำลังจะล่มสลายในไม่ช้า
อีกทั้งธุรกิจของพวกเขาอยู่ในกำมือของราชสำนัก ย่อมไม่มีทางเสียผลประโยชน์
ตระกูลหลินเองก็เคยกังวลเรื่องวิกฤติของตระกูลอยู่หลายครั้ง เปลือกนอกพวกเขาดูแข็งแกร่งมีอิทธิพล แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่อาจต่อสู้อำนาจของราชสำนักได้ ต่อให้ก่อกบฏขึ้น อาจมีทหารของราชสำนักล้มตายหลักพัน แต่พวกเขานี่สิที่จะไม่เหลือใครไว้เบื้องหลังอีกแล้ว
ทุกวันนี้ที่ทำไปก็เพื่อต่อลมหายใจไปวันๆ เท่านั้น พวกตระกูลหลินจึงคาดหวังให้ลูกหลานได้มีหน้ามีตาในสังคม เพื่อพยุงตระกูลเอาไว้
ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ ตระกูลหลินมีลูกมีหลานมากมายเป็นโหล แต่ไม่มีใครได้เรื่องเลยสักคน จะมีก็แต่คุณชายหกที่สอบซิ่วไฉได้
แม้คุณชายหกเป็นเด็กที่เกิดจากนางสนม แต่เขารักการเรียน เป็นคนขยัน นายใหญ่หลินและฮูหยินหลินจึงให้ความสำคัญกับเขาเป็นพิเศษ
ทุกคนในตระกูลคอยประคบประหงมเขาราวกับไข่ในหิน เพราะเขาอาจเป็นความหวังเดียวของตระกูลหลินรุ่นต่อไป
ที่พวกเขารู้จักเซียวลิ่วหลังก็เพราะท่านอาจารย์ซีสีประจำเรือนตระกูลหลินเป็นคนแนะนำ นายใหญ่หลินเป็นคนไม่มีความรู้ แน่นอนว่าเขาไม่รู้หรอกว่าบทความปากู่เหวินที่เซียวลิ่วหลังเขียนนั้นดีหรือไม่ดี แต่เขาเลือกที่จะรับฟังท่านอาจารย์ซีสีที่มาจากเมืองหลวงคนนี้
ท่านอาจารย์กล่าวว่าภาษาของเซียวลิ่วหลังดีกว่าทุกคนในจวนหลิน ถ้าเกิดให้เขามาช่วยสอนอีกแรง ท่านชายหกจะต้องเก่งยิ่งขึ้นแน่นอน